รู้ อิริยาบถ ขั้น ที่ สอง ของ การ ฝึก มี สติ อยู่ กับ กาย
มหาสติปัฏฐานสูตร จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 27 ค่ะ


เพียง ด้วย การ มี สติ รู้ความ ไม่ เที่ยง ของ ลม หายใจ เรา ไม่ อาจ ละ อุปาทาน ใน ตัว ตน
ได้ ทั้งหมด เพราะ ลม หายใจ ไม่ ใช่ สิ่ง เดียว ที่ ถูก ยึด มั่น ว่าเป็น ของ เรา พระพุทธเจ้า จึง
ตรัส ว่าน อก จาก ฝึก รู้ ลม หายใจ แล้ว ยัง มี การ ฝึก อย่าง อื่น อยู่ อีก ซึ่ง อันดับ ต่อ ไป ก็ได้
แก่ อิริยาบถ
ปกติ คน เรา จะ รู้สึก ว่า มี ร่างกาย ก็ ต่อ เมื่อ ค้าง คา อยู่ ใน ท่า ใด ท่า หนึ่ง นาน เกินไป
กระทั่ง ต้อง ระบาย ความ อึดอัด เมื่อย ขบ ด้วย การ ปรับ เปลี่ยน ท่าทาง เสีย ใหม่ ให้ สบาย
ขึ้น กว่า เดิม นอก นั้น แม้ ร่างกาย มี ก็ เหมือน ไม่ มี ใน การ รับ รู้ ของ เรา
ที่ อยู่ๆจะ ให้ สามารถ ระลึก ถึง ร่างกาย ได้ เรื่อยๆ นั้น มิ ใช่ วิสัย ธรรมชาติ ต่อ เมื่อ ฝึก
รู้ ลม หายใจ ได้ ผล มา แล้ว เรา จะ มีค วาม รู้สึก เข้า มา ใน กาย อย่าง เป็น ไป เอง โดย ไม่ ต้อง
บังคับ กล่าว คือ ทันที ที่ รู้สึก ถึง ลม หายใจ เข้า ออก อย่าง สบาย เดี๋ยวนี้ ร่างกาย ใน ท่าทาง
ปัจจุบัน ก็ จะ พลอย ปรากฏ ให้ รู้ ไป ด้วย เดี๋ยวนี้ เช่น กัน ความ รู้สึก ว่า มี หัว มี ตัว มี แขน
ขา ปรากฏ เป็น ท่าทาง หนึ่งๆ โดย ปราศจาก ความ เพ่งเล็ง หรือ เครียด เกร็ง นั่นแหละ
เรียก ว่าการ รู้ อิริยาบถ
ขอ ให้ เข้าใจ ดีๆ ด้วยว่า การ ก้ม ลง มอง เห็น ด้วย ตา เปล่า ว่า ร่างกาย ปรากฏ ใน ท่า ใด
หา ใช่ การ รู้ อิริยาบถ ไม่ การ รู้ อิริยาบถ ต้อง ใช้ ใจ รู้เท่า นั้น ไม่ ใช่ ใช้ สายตา มอง เห็น
เมื่อ ฝึก รู้ อิริยาบถ ให้ มาก แล้ว เรา จะ ได้ ฐาน ของ การ มี สติ อย่าง ถูก ต้อง แม้ ต่อย อด
ไป รู้ อะไร อีก แค่ ไหน ก็ แน่ใจ ได้ ว่า ไม่ หลง คิด ไป เอง ทั้งนี้ เพราะ การ รู้ อิริยาบถ คือ การ รู้
ของ จริง ใน ปัจจุบัน ไม่ มี ทาง เป็น อื่น เช่น ถ้า นั่ง อย่าง มี สติ ย่อม ไม่ มี ทาง รู้สึก ว่า กำลัง
ยืน และ เมื่อ รู้ ชัด ตาม จริง ว่า กำลัง นั่ง ก็ ย่อม รู้ ตาม จริง ด้วยว่า นั่ง อย่าง สบาย หรือ อึดอัด
นั่ง อย่าง ฟุ้งซ่าน หรือ สงบ นั่ง อย่าง คิด ดี หรือ คิด ร้าย เป็นต้น
เบื้องต้น ขอ ให้ สังเกต ว่า ลม หายใจ ที่ ยาว และ นิ่มนวล นั้น ทำให้ เรา รู้สึก ว่า กาย เป็น
ของ โปร่ง เบา เกิด สติ อยู่ กับ กาย อย่าง ง่ายดาย เหมือน เป็น ไป เอง ส่วน ลม หายใจ ที่ สั้น
และ หยาบ จะ ทำให้ เรา รู้สึก ว่า กาย เป็น ของ ทึบ หนัก แม้ พยายาม ตั้ง สติ อยู่ กับ กาย ก็
ลำบาก เห็น ไม่ ชัด เหมือน อยู่ กลาง หมอก ควัน ดำ จะ ให้ มอง ฝ่า ออก ไป เห็น อะไร นั้น
ยาก
เมื่อ เฝ้า สังเกต ความ สัมพันธ์ ระหว่าง ลม กับ กาย โดย ไม่ คาด หวัง อะไร ใน ที่สุด จะ
เกิด ความ เพลิดเพลิน สติ ไม่ ไป ไหน เฝ้า แต่ เห็น ความ จริง ที่ ปรากฏ อยู่ เช่น ลม ยาว
กาย โปร่ง ลม สั้น กาย ทึบ และ หาก รู้ ลม ได้ สบายๆก็ พลอย รู้ กาย ได้ สบายๆ แต่ ถ้า เพ่ง
จ้อง ลม มาก กาย ก็ พลอย อึดอัด คัด แน่น ตาม ไป ด้วย เป็นต้น
หลังจาก ดู ลม จน รู้ อิริยาบถ ได้ เรา ก็ จะ สามารถ เข้าถึง การ ฝึก ที่ พระพุทธเจ้า ตรัส
แนะ ไว้ อย่าง ง่ายดาย นั่น คือ เมื่อ เดิน ก็ รู้ ว่า เดิน เมื่อ ยืน ก็ รู้ ว่า ยืน เมื่อ นั่ง ก็ รู้ ว่า นั่ง เมื่อ
นอน ก็ รู้ ว่าน อน เมื่อ อยู่ ใน ท่าทาง อย่างไร ก็ รู้ ว่า อยู่ ใน ท่าทาง อย่าง นั้น แจกแจง โดย
ละเอียด ได้ ดังนี้
๑) เมื่อ เดิน ก็ รู้ ว่า เดิน
ท่าทาง ใน การ เดิน ที่ สนับสนุน ให้ เกิด สติ คือ หัว ตั้ง ตรง ตัวตั้ง ตรง สอง ขา เตะ ไป ข้าง
หน้า สลับ กัน โดย มี สัมผัส ที่ ฝ่า เท้า กระทบ พื้น เกิด ขึ้น อยู่ ตลอด เวลา ที่ ดำเนิน ไป
ฉะนั้น
หาก มี สติ เดิน อย่าง รู้ ว่า เดิน ก็ ย่อม ต้อง รู้สึก ถึง ฝ่า เท้า กระทบ พื้น ไม่ ขาด เพราะ เท้า
กระทบ พื้น เป็น สัมผัส ที่ เกิด ขึ้น จริง โดย ไม่ ต้อง ใช้ จินตนาการ
การ เดิน ไม่ ใช่ เรื่อง ยาก ไม่ ต้อง ฝึก ก็ เดิน กัน ได้ แต่ ที่ จะ รู้ อาการ เดิน ให้ ถูก ต้อง
ตาม จริง นั้น จำเป็น ต้อง ฝึก กัน มิ ฉะนั้น ระหว่าง เดิน มัก จินตนาการ ไป ต่างๆ เช่น
จินตนาการ ไป ว่า เรา กำลัง เดิน อยู่ ด้วย บุคลิก สงบ สำรวม เรา กำลัง เดิน ด้วย ท่าที ที่ น่า
เกรงขาม เรา กำลัง เดิน อย่าง มีค วาม สุข ล้น เหลือ เรา กำลัง เดิน ไป สู่ มรรค ผล นิพพาน
ที่ รอ อยู่ ไม่ กี่ ก้าว ข้าง หน้า หรือ ใน ทาง ตรง ข้าม คือ จินตนาการ ไป ว่า เรา กำลัง เดิน อย่าง
คน ทอดอาลัย ตาย อยาก เรา กำลัง เดิน อย่าง คน แพ้ ที่ ไม่ มี วัน ชนะ เรา กำลัง เดิน อย่าง
คน ที่ ไม่ มี ทาง ไป ถึง จุดหมาย ฯลฯ
การ แกะ เอา จิต ออก มา จาก จินตนาการ กลับ สู่ โลก ความ จริง ที่ กำลัง ปรากฏ อยู่
เฉพาะหน้า ก็ ต้อง อาศัย ของ จริง เช่น สัมผัส กระทบ ระหว่าง เท้า กับ พื้น
เมื่อ ใด มี สติ
อยู่ กับ สัมผัส กระทบ ตาม จริง เมื่อนั้น จินตนาการ จะ หาย ไป และ จินตนาการ หาย
ไป นาน ขึ้น เท่าใด ใจ เรา ก็ จะ อยู่ ใน ภาวะ รู้ จริง ไม่ ผิดเพี้ยน นาน ขึ้น เท่านั้น
นี่ จึง เป็น ที่มา ของ การ เดิน จงกรม นัก เจริญ สติ ตั้งแต่ สมัย พุทธกาล เป็นต้น มา จะ
ให้ เวลา กับ การ เดิน จงกรม เพื่อให้ แน่ใจ ว่า สติ ไม่ หาย ไป ไหน เป็น เวลา นาน พอ ซึ่ง เมื่อ
บ่ม เพาะ กำลัง สติ ให้ แข็งแรง ดีแล้ว ต่อ ไป ไม่ ว่า เดิน ที่ไหน ใกล้ ไกล เพียง ใด ก็ จะ เป็น
โอกาส ของ การ เจริญ สติ ได้ หมด
จงกรม คือ การ เดิน กลับไปกลับมา บน ทาง เท่า ที่ จะ หา ได้ อาจ เป็น ใน ร่ม หรือ
กลางแจ้ง อาจ สั้น เพียง สิบ ก้าว หรือ ยาว ถึง ห้า สิบ ก้าว ความ ยาว และ สภาพ ของ ทาง
จงกรม ไม่ สำคัญ ไป กว่า วิธี รู้ เท้า กระทบ อย่าง ถูก ต้อง
การ จะ รู้ เท้า กระทบ อย่าง ถูก ต้อง นั้น เริ่ม แรก ควร เน้น ที่ ใจ อัน เปิด กว้าง สบาย
ทำนอง เดียว กับ เดิน เล่น ชม สวน ขอ ให้ เอา มือ ไพล่หลัง เงย หน้า มอง ตรง แบบ ไม่ จดจ้อง
เพ่งเล็ง จุด ใด จุด หนึ่ง ก้าว เท้า แบบ เดียว กับ ทอดน่อง เดิน เพื่อ ความ ผ่อนคลาย แต่ ใน
การ เดิน อย่าง ผ่อนคลาย นั่นเอง ให้ กำหนด รู้ ผัสสะ ระหว่าง เท้า กับ พื้น ไป ด้วย
ขอ ให้
สังเกต ว่า ถ้า เท้า เกร็ง จะ รู้ กระทบ ไม่ ชัด แต่ ถ้า เท้า อ่อน และ วาง เหยียบ พื้น ได้ เต็ม ฝ่า
เท้า จะ รู้สึก ถึง กระทบ ได้ ชัด ยิ่ง รู้ ต่อ เนื่อง นาน เท่าใด เท้า ก็ ยิ่ง ปรากฏ ชัด ขึ้น เรื่อยๆ
เท่านั้น
ที่ เท้า จะ อ่อน และ วาง เหยียบ ได้ เต็ม ฝ่า เท้า นั้น ต้อง ไม่ มีค วาม เร่ง ร้อน ไม่ มีค วาม
เพ่งเล็ง เคร่งเครียด ไม่ มีค วาม ฟุ้งซ่าน ซัด ส่าย ออก นอก ตัว ใจ ต้อง อ่อนโยน อยู่ กับ เรื่อง
เฉพาะหน้า คือ เท้า กระทบ ก้าว ต่อ ก้าว อย่าง เดียว
หาก กำลัง ฟุ้งซ่าน จัด ขอ ให้ ลอง เดิน ด้วย อัตราเร็ว ขึ้น กว่า ปกติ การ รู้ สัมผัส กระทบ
ถี่ๆ ตาม จริง จะ ช่วย ลด คลื่น ความ ฟุ้ง ลง มา ได้ เท้า จะ ลด ความ กระด้าง ลง และ แม้ กาย
เคลื่อน ไป ข้าง หน้า อย่าง เร็ว ก็ ไม่ มีค วาม กำ เกร็ง ที่ ส่วน ใด ส่วน หนึ่ง เมื่อ รู้สึก ถึง เท้า
กระทบ พื้น ชัดเจน อย่าง สบาย ตลอด กาย ช่วง บน ปลอดโปร่ง ดีแล้ว ก็ ค่อย ลด ระดับ
ความเร็ว ลง มา เป็น ปกติ เหมือน ทอดน่อง เช่น เคย
จังหวะ กลับ ตัว ที่ ปลายทาง จงกรม ก็ สำคัญ หาก รีบ เร่ง กลับ ตัว แบบ ไม่ทัน รู้ เท้า
กระทบ จะ มี ผล เสีย ระยะ ยาว เช่น ทำให้ เคว้ง งง หรือ ทำให้ สติ ขาดลอย ไป ที ละ น้อย
รอบ ต่อ รอบ ทาง ที่ ดี คือ เมื่อ หยุด ที่ ปลายทาง ควร ให้ เท้า เสมอ กัน แน่ใจ ว่า รู้สึก ถึง ฝ่า
เท้า ที่ เหยียบ ยืน หยุด นิ่ง ชั่ว ขณะ นั้น แล้ว จึง กลับ หลัง หัน โดย แบ่ง ออก เป็น ขวา หัน สอง
ครั้ง เท้า ขวา นำ เท้า ซ้าย แต่ละ การ ขยับ เท้า ยก เหยียบ ให้ รู้สึก ถึง สัมผัส กระทบ ไม่ ต่าง
จาก ก้าว เดิน ธรรมดา
การ ฝึก เดิน จงกรม ใน ที่ เฉพาะ เป็น เรื่อง ดี แต่ จะ ดี ยิ่ง ขึ้น ถ้า เรา ทำ ทุก ก้าว ใน ชีวิต
ประจำ วัน ให้ เหมือน เดิน ใน ทาง จงกรม เพราะ สติ รู้ เท้า กระทบ จะ นำ ไป สู่ ความ รู้ตัว
ว่า กำลัง เดิน และ ความ รู้ตัว ว่า กำลัง เดิน จะ นำ ไป สู่ ความ รู้ อิริยาบถ ต่างๆ อย่าง ทั่วถึง
ใน ที่สุด
รู้ อิริยาบถ ขั้น ที่ สอง ของ การ ฝึก มี สติ อยู่ กับ กาย มหาสติปัฏฐานสูตร จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 27 ค่ะ
มหาสติปัฏฐานสูตร จาก หนังสือธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 27 ค่ะ
เพียง ด้วย การ มี สติ รู้ความ ไม่ เที่ยง ของ ลม หายใจ เรา ไม่ อาจ ละ อุปาทาน ใน ตัว ตน
ได้ ทั้งหมด เพราะ ลม หายใจ ไม่ ใช่ สิ่ง เดียว ที่ ถูก ยึด มั่น ว่าเป็น ของ เรา พระพุทธเจ้า จึง
ตรัส ว่าน อก จาก ฝึก รู้ ลม หายใจ แล้ว ยัง มี การ ฝึก อย่าง อื่น อยู่ อีก ซึ่ง อันดับ ต่อ ไป ก็ได้
แก่ อิริยาบถ
ปกติ คน เรา จะ รู้สึก ว่า มี ร่างกาย ก็ ต่อ เมื่อ ค้าง คา อยู่ ใน ท่า ใด ท่า หนึ่ง นาน เกินไป
กระทั่ง ต้อง ระบาย ความ อึดอัด เมื่อย ขบ ด้วย การ ปรับ เปลี่ยน ท่าทาง เสีย ใหม่ ให้ สบาย
ขึ้น กว่า เดิม นอก นั้น แม้ ร่างกาย มี ก็ เหมือน ไม่ มี ใน การ รับ รู้ ของ เรา
ที่ อยู่ๆจะ ให้ สามารถ ระลึก ถึง ร่างกาย ได้ เรื่อยๆ นั้น มิ ใช่ วิสัย ธรรมชาติ ต่อ เมื่อ ฝึก
รู้ ลม หายใจ ได้ ผล มา แล้ว เรา จะ มีค วาม รู้สึก เข้า มา ใน กาย อย่าง เป็น ไป เอง โดย ไม่ ต้อง
บังคับ กล่าว คือ ทันที ที่ รู้สึก ถึง ลม หายใจ เข้า ออก อย่าง สบาย เดี๋ยวนี้ ร่างกาย ใน ท่าทาง
ปัจจุบัน ก็ จะ พลอย ปรากฏ ให้ รู้ ไป ด้วย เดี๋ยวนี้ เช่น กัน ความ รู้สึก ว่า มี หัว มี ตัว มี แขน
ขา ปรากฏ เป็น ท่าทาง หนึ่งๆ โดย ปราศจาก ความ เพ่งเล็ง หรือ เครียด เกร็ง นั่นแหละ
เรียก ว่าการ รู้ อิริยาบถ
ขอ ให้ เข้าใจ ดีๆ ด้วยว่า การ ก้ม ลง มอง เห็น ด้วย ตา เปล่า ว่า ร่างกาย ปรากฏ ใน ท่า ใด
หา ใช่ การ รู้ อิริยาบถ ไม่ การ รู้ อิริยาบถ ต้อง ใช้ ใจ รู้เท่า นั้น ไม่ ใช่ ใช้ สายตา มอง เห็น
เมื่อ ฝึก รู้ อิริยาบถ ให้ มาก แล้ว เรา จะ ได้ ฐาน ของ การ มี สติ อย่าง ถูก ต้อง แม้ ต่อย อด
ไป รู้ อะไร อีก แค่ ไหน ก็ แน่ใจ ได้ ว่า ไม่ หลง คิด ไป เอง ทั้งนี้ เพราะ การ รู้ อิริยาบถ คือ การ รู้
ของ จริง ใน ปัจจุบัน ไม่ มี ทาง เป็น อื่น เช่น ถ้า นั่ง อย่าง มี สติ ย่อม ไม่ มี ทาง รู้สึก ว่า กำลัง
ยืน และ เมื่อ รู้ ชัด ตาม จริง ว่า กำลัง นั่ง ก็ ย่อม รู้ ตาม จริง ด้วยว่า นั่ง อย่าง สบาย หรือ อึดอัด
นั่ง อย่าง ฟุ้งซ่าน หรือ สงบ นั่ง อย่าง คิด ดี หรือ คิด ร้าย เป็นต้น
เบื้องต้น ขอ ให้ สังเกต ว่า ลม หายใจ ที่ ยาว และ นิ่มนวล นั้น ทำให้ เรา รู้สึก ว่า กาย เป็น
ของ โปร่ง เบา เกิด สติ อยู่ กับ กาย อย่าง ง่ายดาย เหมือน เป็น ไป เอง ส่วน ลม หายใจ ที่ สั้น
และ หยาบ จะ ทำให้ เรา รู้สึก ว่า กาย เป็น ของ ทึบ หนัก แม้ พยายาม ตั้ง สติ อยู่ กับ กาย ก็
ลำบาก เห็น ไม่ ชัด เหมือน อยู่ กลาง หมอก ควัน ดำ จะ ให้ มอง ฝ่า ออก ไป เห็น อะไร นั้น
ยาก
เมื่อ เฝ้า สังเกต ความ สัมพันธ์ ระหว่าง ลม กับ กาย โดย ไม่ คาด หวัง อะไร ใน ที่สุด จะ
เกิด ความ เพลิดเพลิน สติ ไม่ ไป ไหน เฝ้า แต่ เห็น ความ จริง ที่ ปรากฏ อยู่ เช่น ลม ยาว
กาย โปร่ง ลม สั้น กาย ทึบ และ หาก รู้ ลม ได้ สบายๆก็ พลอย รู้ กาย ได้ สบายๆ แต่ ถ้า เพ่ง
จ้อง ลม มาก กาย ก็ พลอย อึดอัด คัด แน่น ตาม ไป ด้วย เป็นต้น
หลังจาก ดู ลม จน รู้ อิริยาบถ ได้ เรา ก็ จะ สามารถ เข้าถึง การ ฝึก ที่ พระพุทธเจ้า ตรัส
แนะ ไว้ อย่าง ง่ายดาย นั่น คือ เมื่อ เดิน ก็ รู้ ว่า เดิน เมื่อ ยืน ก็ รู้ ว่า ยืน เมื่อ นั่ง ก็ รู้ ว่า นั่ง เมื่อ
นอน ก็ รู้ ว่าน อน เมื่อ อยู่ ใน ท่าทาง อย่างไร ก็ รู้ ว่า อยู่ ใน ท่าทาง อย่าง นั้น แจกแจง โดย
ละเอียด ได้ ดังนี้
๑) เมื่อ เดิน ก็ รู้ ว่า เดิน
ท่าทาง ใน การ เดิน ที่ สนับสนุน ให้ เกิด สติ คือ หัว ตั้ง ตรง ตัวตั้ง ตรง สอง ขา เตะ ไป ข้าง
หน้า สลับ กัน โดย มี สัมผัส ที่ ฝ่า เท้า กระทบ พื้น เกิด ขึ้น อยู่ ตลอด เวลา ที่ ดำเนิน ไป ฉะนั้น
หาก มี สติ เดิน อย่าง รู้ ว่า เดิน ก็ ย่อม ต้อง รู้สึก ถึง ฝ่า เท้า กระทบ พื้น ไม่ ขาด เพราะ เท้า
กระทบ พื้น เป็น สัมผัส ที่ เกิด ขึ้น จริง โดย ไม่ ต้อง ใช้ จินตนาการ
การ เดิน ไม่ ใช่ เรื่อง ยาก ไม่ ต้อง ฝึก ก็ เดิน กัน ได้ แต่ ที่ จะ รู้ อาการ เดิน ให้ ถูก ต้อง
ตาม จริง นั้น จำเป็น ต้อง ฝึก กัน มิ ฉะนั้น ระหว่าง เดิน มัก จินตนาการ ไป ต่างๆ เช่น
จินตนาการ ไป ว่า เรา กำลัง เดิน อยู่ ด้วย บุคลิก สงบ สำรวม เรา กำลัง เดิน ด้วย ท่าที ที่ น่า
เกรงขาม เรา กำลัง เดิน อย่าง มีค วาม สุข ล้น เหลือ เรา กำลัง เดิน ไป สู่ มรรค ผล นิพพาน
ที่ รอ อยู่ ไม่ กี่ ก้าว ข้าง หน้า หรือ ใน ทาง ตรง ข้าม คือ จินตนาการ ไป ว่า เรา กำลัง เดิน อย่าง
คน ทอดอาลัย ตาย อยาก เรา กำลัง เดิน อย่าง คน แพ้ ที่ ไม่ มี วัน ชนะ เรา กำลัง เดิน อย่าง
คน ที่ ไม่ มี ทาง ไป ถึง จุดหมาย ฯลฯ
การ แกะ เอา จิต ออก มา จาก จินตนาการ กลับ สู่ โลก ความ จริง ที่ กำลัง ปรากฏ อยู่
เฉพาะหน้า ก็ ต้อง อาศัย ของ จริง เช่น สัมผัส กระทบ ระหว่าง เท้า กับ พื้น เมื่อ ใด มี สติ
อยู่ กับ สัมผัส กระทบ ตาม จริง เมื่อนั้น จินตนาการ จะ หาย ไป และ จินตนาการ หาย
ไป นาน ขึ้น เท่าใด ใจ เรา ก็ จะ อยู่ ใน ภาวะ รู้ จริง ไม่ ผิดเพี้ยน นาน ขึ้น เท่านั้น
นี่ จึง เป็น ที่มา ของ การ เดิน จงกรม นัก เจริญ สติ ตั้งแต่ สมัย พุทธกาล เป็นต้น มา จะ
ให้ เวลา กับ การ เดิน จงกรม เพื่อให้ แน่ใจ ว่า สติ ไม่ หาย ไป ไหน เป็น เวลา นาน พอ ซึ่ง เมื่อ
บ่ม เพาะ กำลัง สติ ให้ แข็งแรง ดีแล้ว ต่อ ไป ไม่ ว่า เดิน ที่ไหน ใกล้ ไกล เพียง ใด ก็ จะ เป็น
โอกาส ของ การ เจริญ สติ ได้ หมด
จงกรม คือ การ เดิน กลับไปกลับมา บน ทาง เท่า ที่ จะ หา ได้ อาจ เป็น ใน ร่ม หรือ
กลางแจ้ง อาจ สั้น เพียง สิบ ก้าว หรือ ยาว ถึง ห้า สิบ ก้าว ความ ยาว และ สภาพ ของ ทาง
จงกรม ไม่ สำคัญ ไป กว่า วิธี รู้ เท้า กระทบ อย่าง ถูก ต้อง
การ จะ รู้ เท้า กระทบ อย่าง ถูก ต้อง นั้น เริ่ม แรก ควร เน้น ที่ ใจ อัน เปิด กว้าง สบาย
ทำนอง เดียว กับ เดิน เล่น ชม สวน ขอ ให้ เอา มือ ไพล่หลัง เงย หน้า มอง ตรง แบบ ไม่ จดจ้อง
เพ่งเล็ง จุด ใด จุด หนึ่ง ก้าว เท้า แบบ เดียว กับ ทอดน่อง เดิน เพื่อ ความ ผ่อนคลาย แต่ ใน
การ เดิน อย่าง ผ่อนคลาย นั่นเอง ให้ กำหนด รู้ ผัสสะ ระหว่าง เท้า กับ พื้น ไป ด้วย ขอ ให้
สังเกต ว่า ถ้า เท้า เกร็ง จะ รู้ กระทบ ไม่ ชัด แต่ ถ้า เท้า อ่อน และ วาง เหยียบ พื้น ได้ เต็ม ฝ่า
เท้า จะ รู้สึก ถึง กระทบ ได้ ชัด ยิ่ง รู้ ต่อ เนื่อง นาน เท่าใด เท้า ก็ ยิ่ง ปรากฏ ชัด ขึ้น เรื่อยๆ
เท่านั้น
ที่ เท้า จะ อ่อน และ วาง เหยียบ ได้ เต็ม ฝ่า เท้า นั้น ต้อง ไม่ มีค วาม เร่ง ร้อน ไม่ มีค วาม
เพ่งเล็ง เคร่งเครียด ไม่ มีค วาม ฟุ้งซ่าน ซัด ส่าย ออก นอก ตัว ใจ ต้อง อ่อนโยน อยู่ กับ เรื่อง
เฉพาะหน้า คือ เท้า กระทบ ก้าว ต่อ ก้าว อย่าง เดียว
หาก กำลัง ฟุ้งซ่าน จัด ขอ ให้ ลอง เดิน ด้วย อัตราเร็ว ขึ้น กว่า ปกติ การ รู้ สัมผัส กระทบ
ถี่ๆ ตาม จริง จะ ช่วย ลด คลื่น ความ ฟุ้ง ลง มา ได้ เท้า จะ ลด ความ กระด้าง ลง และ แม้ กาย
เคลื่อน ไป ข้าง หน้า อย่าง เร็ว ก็ ไม่ มีค วาม กำ เกร็ง ที่ ส่วน ใด ส่วน หนึ่ง เมื่อ รู้สึก ถึง เท้า
กระทบ พื้น ชัดเจน อย่าง สบาย ตลอด กาย ช่วง บน ปลอดโปร่ง ดีแล้ว ก็ ค่อย ลด ระดับ
ความเร็ว ลง มา เป็น ปกติ เหมือน ทอดน่อง เช่น เคย
จังหวะ กลับ ตัว ที่ ปลายทาง จงกรม ก็ สำคัญ หาก รีบ เร่ง กลับ ตัว แบบ ไม่ทัน รู้ เท้า
กระทบ จะ มี ผล เสีย ระยะ ยาว เช่น ทำให้ เคว้ง งง หรือ ทำให้ สติ ขาดลอย ไป ที ละ น้อย
รอบ ต่อ รอบ ทาง ที่ ดี คือ เมื่อ หยุด ที่ ปลายทาง ควร ให้ เท้า เสมอ กัน แน่ใจ ว่า รู้สึก ถึง ฝ่า
เท้า ที่ เหยียบ ยืน หยุด นิ่ง ชั่ว ขณะ นั้น แล้ว จึง กลับ หลัง หัน โดย แบ่ง ออก เป็น ขวา หัน สอง
ครั้ง เท้า ขวา นำ เท้า ซ้าย แต่ละ การ ขยับ เท้า ยก เหยียบ ให้ รู้สึก ถึง สัมผัส กระทบ ไม่ ต่าง
จาก ก้าว เดิน ธรรมดา
การ ฝึก เดิน จงกรม ใน ที่ เฉพาะ เป็น เรื่อง ดี แต่ จะ ดี ยิ่ง ขึ้น ถ้า เรา ทำ ทุก ก้าว ใน ชีวิต
ประจำ วัน ให้ เหมือน เดิน ใน ทาง จงกรม เพราะ สติ รู้ เท้า กระทบ จะ นำ ไป สู่ ความ รู้ตัว
ว่า กำลัง เดิน และ ความ รู้ตัว ว่า กำลัง เดิน จะ นำ ไป สู่ ความ รู้ อิริยาบถ ต่างๆ อย่าง ทั่วถึง
ใน ที่สุด