
รีวิวดราม่าฮาน้ำตาไหล กับภารกิจหนีงานแต่งงานไปหลวงพระบาง ด้วยกางเกงในตัวเดียว!!!
ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอขอบคุณที่ทุกคนให้การตอบรับอย่างล้นหลามจากรีวิว2ชิ้นก่อนหน้า(ถ้าผมมีเวลาบวชทดแทนบุญคุณทุกคนได้จะทำให้นะ)จนผมได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์เกี่ยวกับการเขียนรีวิวท่องเที่ยวBackpackerออกทีวีรายการ Homeroom ที่ช่อง ThaiPBS และมีบางสำนักพิมพ์สนใจติดต่อเข้ามา ตอนนี้ก็มีรีวิวชิ้นใหม่มาล่ะนะ ไม่ต้องทนคิดถึงผมจนสะอื้นแล้ว 555+
- เหมือนเดิมภาพทุกใบที่คุณเห็นผมใช้โทรศัพท์มือถือในการถ่ายและใช้มือถือแต่งภาพทั้งหมดอาจจะไม่สวยเท่าไหร่
- ขออนุญาติ tag เรื่องผีเร้นลับเพราะส่วนหนึ่งติดตามผมมาจากในห้องนั้น ส่วนรีวิวนี้มันจะมีมั้ย เลื่อนไปอ่านเอง 555+
- รีวิวนี้อาจเป็นรีวิวครั้งสุดท้ายเพราะงั้น ภาพเยอะมากและเนื้อหายาวจนไม่เกรงใจใคร พกยาดมไว้ได้เลย
เพื่ออรรถรสในการรับชม ถ้ารู้สึกชีวิตคุณมีเวลาเหลือเฟือแนะนำอ่านรีวิวพวกนี้นี้เผื่อไปเลยจ้า
“ภูกระดึง” (เกือบ)ถึงที่ตาย!!! >>
https://pantip.com/topic/39622790
"นั่งรถไฟไปดู..."ผี"...ที่เชียงดาว">>
https://pantip.com/topic/37548826
"ปีนัง...ปัง! ปัง! โป๊ะ!">>
http://pantip.com/topic/35690354
"คนที่...5">>
http://pantip.com/topic/34528419
“แบกเป้ลำพัง...ไปลาววังเวียง” >>
http://pantip.com/topic/33074302
“เจอผี...ที่เวียงจันทร์” >>
http://pantip.com/topic/33113878
เอาล่ะ!!!...ก่อนจะเปลืองตัวอักษรไปมากกว่านี้...ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น แบกเป้ให้ดี แล้วตามมาเลยยย!!!
…

นี่...อะไร...
ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาวะในหัวที่เหมือนยืนอยู่กลางสี่แยกไฟแดงแถวเหม่งจ๋าย คือ...มันสับสน ปวดหัวและดูวุ่นวายไปหมด คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ผมซดเข้าไป ยังไม่ทันจะหายงง ก็มีเรื่องให้งงหนักขึ้นไปใหญ่
“ท่านที่จะขึ้นรถไฟขบวน 54 กรุณาเข้ามารอที่ชานชาลาค่ะ”
ทำไม...บ้านเรามีเสียงรถไฟว่ะ...

ผมลืมตาขึ้นมองรอบๆพร้อมกับภาพที่คุ้นตา ชานชาลาหน้าบ้าน ที่มีโบกี้เหล็กสีเทาตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนหย่อมขนาดใหญ่ พ่อบ้านใส่ชุดสีกรมท่ายืนโบกรถไฟวิ่งผ่านห้องครัวไปมา เป็นภาพที่ผมเจอทุกวันจนชินตา...
ชินกับผีอะไรล่ะ!!! นี่มันใช่บ้านผมที่ไหน!!! นี่มัน...หัวลำโพง!!!
ผมมองรอบๆตัวตามสัญชาตญาณ จนเผลอคลำผ่านไปเจอกระดาษหนึ่งใบ ที่เสียบอยู่เหมือนตั้งใจจะให้ปลิวหายไป เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย

บอกตรงๆ ถ้าไม่นับรวมความงงจากลายมือหวัดๆในกระดาษตอนนี้ ผม...ไม่มีปัญญามานั่งเรียงลำดับความงงอะไรงงก่อนอะไรงงหลังทั้งนั้น
เอางี้...โทรหา “จ๋อง” ก่อนล่ะกัน
“เฮ้ย...จ๋อง...อยู่ไหนว่ะ” ผมโทรหาจ๋องด้วยน้ำเสียงงงๆ (เออ! รู้แล้วว่างง!!!)
“เฮียตื่นแล้วเหรอ ผมแวะซื้อของอยู่ฝั่งตรงข้าม เดี๋ยวเข้าไปหา” (ลูกน้องผมพูดด้วยน้ำเสียงงงกว่า)
“แล้ว...นี่เฮียมาอยู่ที่นี่ได้ไงว่ะ” (ผมถามด้วยน้ำเสียงงงที่สุด)
“ก็เฮียอ่า...เมา!!!...แล้วก็กลับบ้านมาหยิบกระเป๋าใส่ชุด บอกจะไปเที่ยวให้มาส่งที่หัวลำโพง พ่อเฮียก็คงขี้เกียจห้าม เลยให้ผมมาส่งบอกเฮียได้สติสตังเมื่อไหร่ก็ค่อยถามแล้วหามกลับบ้าน...เฮียจะกลับบ้านเลยมั้ย...ผมจะได้รีบซื้อรีบไปหา”
“อ่า...งั้นไม่เป็นไร...เดี๋ยวเฮียโบกแท๊กซี่กลับเอง”
ผมวางสาย แบกเป้ขึ้นพาดไหล่ และตั้งใจจะโบกแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน ระหว่างที่ประตูแท็กซี่เปิด คำถามหนึ่งก็ดังผ่านแหวกม่านความมืดในรถแท๊กซี่ออกมา...
“ไปไหนครับ...”
อยู่ดีๆ...อย่างกับตัวเองนั่งอยู่รายการ “ปริศนาฟ้าแลบ”...ทำไมคำถามที่แทบจะธรรมดาขนาดนี้อยู่ๆถึงได้ยากอย่างกับนั่งอยู่บนเก้าอี้รายการได้นะ
“ไปไหนครับ!!!”
แท็กซี่ถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม โดยมีวอลเปเปอร์เป็นผมที่เริ่มยืนนิ่งเป็นหินโสโครกแถวชะอำเหมือนคนหลับในกำลังเปิดประตูค้างอยู่... “นั่นดิ...ผมจะไปไหน...กลับไป...เพื่อกินเหล้าหัวทิ่มเหมือนเดิมสินะ” อยู่ๆคำๆนึงก็ดังออกจากปากของผมลอยออกไป...
“หลวงพระบาง”
นั่น...เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนที่แท็กซี่จะทำหน้าเหมือนอย่างกับผมเพิ่งไปฉี่รดต้นมะยมหน้าบ้านแกยังไงยังงั้น
แต่...มันเป็นคำพูดแรก ที่เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้
ดีเหมือนกัน...จะได้มีข้ออ้างชิ่งหนี “งานแต่งงาน” ที่จะถึงได้สักที
ก่อนที่คุณจะเริ่มงง...ผมคงต้องพาพวกคุณไประลึกชาติกันก่อนน่าจะดี...
เช้าวันอังคาร 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้...

ปลายสาย : “ฮัลโหล...แอส...เรากำลังจะ...แต่งงาน”
ผม : “จริงเหรอ...ดีใจด้วยนะ...”
ปลายสาย : “อย่าลืมมางานแต่งงานเราล่ะ”
ผม : “แน่นอนสิ!!!...เตรียมเหรียญบาทเอาไปใส่ซองเยอะเลย...555+...เออ...เดี๋ยวทำงานก่อนนะ”
ขอบคุณเทคโนโลยีระบบหน้าจอสัมผัสในมือถือ คือ...ผมเป็นหนี้บุญคุณนวัตกรรมตัวนี้จริงๆ เพราะแค่เราเอานิ้วแตะหน้าจอสิ่งนี้เบาๆ เราก็สามารถจะวางหูได้โดยปราศจากน้ำหนักมือใดๆ
ไม่อย่างนั้น...“เค้าอาจจะรู้ก็ได้ว่า...มือผมกำลัง...สั่น”
**กรุณาเปิดเพลง...ทิ้งไว้กลางทาง(Potato)**

ผมรู้สึกตัวเองเข้มแข็งมาก ที่ทำกับบทสนทนาที่ยากขนาดนั้นได้เหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่...ก็รู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหนที่เผลอร้องไห้ออกมาหลังจากวางหู
แฟนเก่าผม...กำลังจะ...แต่งงาน
สภาพจิตใจที่ผ่านเรื่องนี้มาได้แค่5นาที มันกระจัดกระจาย บอกตรงๆ...เหมือนมีคนเอาผมไปผูกไว้กับกระสอบทราย แล้วมี“บัวขาว”ตัวดำๆ กล้ามล่ำๆสัก7-8คน ใส่กระจับสีแดงมาคอยถวายหน้าแข้งใส่ปลายคางผมอยู่ตอนนี้
ไม่ถึง 5 นาทีเพื่อนผมก็โทรเข้ามา...
เพื่อน : “เฮ้ย...เมิงโอเคป่ะ...กูรู้เรื่องล่ะนะ...เย็นนี้ไปหาอะไรกินกันมั้ย?”
ผม : “ ที่ไหน...”
เพื่อน : “อโศก...ล่ะกัน”
ผม : “ไปแถว...เพลินจิต...ได้ม่ะ...”
เพื่อน : “ทำไมว่ะ...”
ผม : “นาทีนี้กู...อโศก...จะแย่อยู่ล่ะ”
**กรุณาเปิดเพลง Maps (Maroon 5)**

ผมใช้เวลาเกือบสัปดาห์หมดไปกับการเดินฝ่าควันไก่ย่างและกลับบ้านมาอาบน้ำทั้งชุดทำงานท่ามกลางฝักบัวแบบพระเอกMVพร้อมๆกับมอมตัวเองด้วยเหล้าแทบทุกชนิดที่มีรึพอหาได้
จริงๆ...ถ้าแอลกอฮอล์ล้างแผลมันกินได้...ผมก็คงกินแบบไม่ลังเล
แล้ววันนึง...วันมหาวินาศก็มาถึง...
เย็นวันนั้น...ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินออกจากบ้านเพื่อไปหาเหล้าดื่มที่บาร์แถวตรอกข้าวสารเหมือนทุกวัน คนงานที่บ้านผมก็ตะโกนไล่หลังเสียงดัง
“เฮีย!!! มีจดหมายของเฮียมาแหน่ะ ซองสีขาว...วางอยู่หลังตู้เย็น”
“การ์ดแต่งงาน”...มันคงเป็นประตูบานแรกที่ผมต้องเปิดและยอมรับให้ไหว
ทุกๆก้าวระหว่างประตูหน้าบ้านจนถึงหลังตู้เย็น เป็นระยะทาง 5 เมตรที่แสนไกล ไกลมากจนดูเหมือนแรงโน้มถ่วงบนโลกมันหนักขึ้นไปกว่าที่เคยมี และเป็นเรื่องยากที่จะฝืนเดินไป ด้วยสภาพจิตใจตอนนี้

ซองจดหมายสีขาวบริสุทธิ์ จ่าหน้าซองระบุชื่อและนามสกุลของผมชัดเจนไม่ใช่ใคร เหมือนกระสุนปืนที่ตั้งใจยิงตัดขั้วหัวใจของผมไม่ผิดตัว
ผมกลั้นใจ...ฉีกซองจดหมายด้านหนึ่งออกอย่างช้าๆ และข่มใจอ่านบรรทัดแรกพร้อมน้ำตา...
...
“ร่วมทำบุญทอดผ้าป่าวัด...”
ปั่ดโถ่โว้ยยยยยยยยย!!! ใจหายใจฝว่ำหมด!!! ใครส่งมาเนี้ย!!!
เอาเหอะ...หาเหล้าย้อมใจดีกว่า...
ผมไม่ได้รู้เลยว่า...เหล้าแก้วนั้น...จะทำให้เกิดการเดินทางครั้งนี้...
---------------------------------------------
กลับมาที่หัวลำโพงกันต่อ...
ก็นะ...เรื่องราวมันก็อย่างที่ผมพาคุณไประลึกชาตินั่นแหล่ะนะ...
ใช่แล้วล่ะ...ทุก1นาทีจะมีคนบนโลก 3,111 คนต้องผิดหวังเรื่องความรัก ผมก็แค่ดันซวยที่เป็น1ในนั้น และวันนี้...ผมตัดสินใจที่จะหนีเรื่องราวชวนดราม่าต่อมน้ำตาแตกจากทุกคนที่ผมรู้จัก เพื่อไปพักไกลๆ
**กรุณาเปิดเพลง...อยากเจอ (BlueShade)**

ใจจริงผมอยากจะไปเจอหลวงพระบางมานานมากแล้ว แต่ด้วยเวลาวันหยุดอันน้อยนิดก็แห้วซะทุกที รอบนี้ไปหลบเลียแผลใจไกลๆก็ดีเหมือนกัน แต่ก่อนอื่นผมต้องเช็คดูก่อนว่าในกระเป๋าผมนั้น มีอะไรอยู่บ้าง
ต้องขอบคุณที่อาทิตย์ก่อนผมวางแผนจะเดินทางไปพักที่เกาะล้าน แต่ติดปัญหามาแอดมิดเพราะ “โรคกระเพาะ” กันซะก่อน ตอนนี้ในกระเป๋าเดินทางผมเลยมีเสื้อ2-3ตัวกับกางเกงขาสั้น แล้วก็...ไม้เกาหลัง กับอาหารปลา (อันนี้...น่าจะถูกยัดมาตอนเมา 555+) ส่วนของสำคัญๆอย่าง พาสปอร์ต ไดอารี่ สมุดบัญชีและ “ยาโปรแทสเซี่ยม” อันนี้ผมติดกระเป๋าเดินทางตลอดเวลาอยู่แล้ว
โดยเฉพาะ...ยาโปรแทสเซี่ยม ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ ถ้าคุณไม่หมดสติและมุมานะ อุสาหะ วิริยะกับเรื่องไร้สาระในรีวิวนี้ได้ อ่านๆไปเดี๋ยวก็รู้

อันที่จริงผมควรเอาของในกระเป๋ามากองกับพื้นแล้วเรียงเท่ๆ ถ่ายรูปเก๋ๆ ตามกฎของ “กระทรวงรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งชาติประจำสาธารณรัฐพันทิป” ได้บัญญัติเอาไว้...แต่ถ้าทำไป คงไม่ดูฮิปนะ...สภาพกระเป๋าผมน่าจะใกล้เคียงกับพ่อค้าขายเสื้อผ้ามือสองแบกับดินแถวตลาดคลองถมมากกว่า
สรุป...ผมต้องหาซื้ออะไรเยอะเลย ตั้งแต่สายชาร์จ สบู่ แปรง ของใช้ ยาต่างๆที่อาจจำเป็นแล้วก็...
”กางเกงใน”
อ้อ...ใช่!!! ก่อนจะซื้ออะไรผมต้องไปหาซื้อ “ตั๋วรถไฟ” ให้ได้ก่อน
บอกตรงๆ ทุกทีตอนผมแบกเป้ไปเที่ยวก็ไม่ค่อยจะเตรียมข้อมูลอะไร แต่รอบนี้แม้แต่เตรียมใจยังไม่ได้เตรียมไปเลย เคยหาๆข้อมูลเกี่ยวกับหลวงพระบางไว้บ้างเหมือนกัน นั่งรถไฟไปหนองคาย ทะลุเวียงจันทน์ แล้วหารถมันดื้อๆไปต่อหลวงพระบางนั่นล่ะ

โชคดีมาก...ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครอยากจะเที่ยวไหนสักเท่าไหร่ เพราะประเทศไทยตอนนี้พายุกำลังเข้า แถมกรุงเทพของเราก็ยังซ้อมน้ำท่วมกดดันผู้ว่าอีกสมัย และช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นที่ใครๆเค้าไม่บ้ามาเที่ยวกัน ผมก็เลยได้ตั๋วนอนแอร์เตียงล่างมันมาราคา758 บาท แบบสบายๆ
หลังจาก4ชั่วโมงก่อนผมวุ่นวายหาของใช้ที่จำเป็นตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ(ซึ่งในความจริงไม่ได้เอาไปทั้งสากกะเบือหรือเรือรบ) ตอนนี้เกือบ2ทุ่มได้เวลารถไฟออกแล้ว
ถามว่าทำไมไม่กลับบ้านไปเก็บกระเป๋าจะง่ายกว่ามั้ย...
บอกเลยว่า... “ผมกลัวว่าถ้ากลับบ้านไป...แล้วใจจะไม่อยากออกมาอีก”
ผมเดินหารถไฟขบวน69 โบกี้ที่11จนเจอ ก่อนจะเดินขึ้นไป...
อุณหภูมิในขบวนรถไฟลดต่ำลง หยดฝนเม็ดเล็กๆกำลังเริ่มแข่งกันตกใส่กระจกหน้าต่างรถไฟ พอไม่ได้มีอะไรต้องทำ และต้องมานั่งรอรถออกแบบนี้ รู้สึกได้ทันที ว่าความเหงากำลังเริ่มทำหน้าที่ของมัน ความเงียบงำกำลังโรยตัวคืบคลานลงอย่างช้าๆ
ช่วงเวลาแห่งความเงียบเหงา...ช่างยาวนาน
...
ได้ประมาณ 5 นาที…!!!
หลังจากมีฝรั่งคนนึงหุ่นเหมือนผู้พันKFCเผลออุทานเสียงดังลั่นโบกี้ว่า... "ฮ้วย!!!"
[CR] ดราม่า!...หลวงพระบาง (จากผู้เขียน "เจอผี...ที่เวียงจันทร์" และ "แบกเป้ลำพัง...ไปลาววังเวียง")
รีวิวดราม่าฮาน้ำตาไหล กับภารกิจหนีงานแต่งงานไปหลวงพระบาง ด้วยกางเกงในตัวเดียว!!!
ก่อนอื่นเลยก็ต้องขอขอบคุณที่ทุกคนให้การตอบรับอย่างล้นหลามจากรีวิว2ชิ้นก่อนหน้า(ถ้าผมมีเวลาบวชทดแทนบุญคุณทุกคนได้จะทำให้นะ)จนผมได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์เกี่ยวกับการเขียนรีวิวท่องเที่ยวBackpackerออกทีวีรายการ Homeroom ที่ช่อง ThaiPBS และมีบางสำนักพิมพ์สนใจติดต่อเข้ามา ตอนนี้ก็มีรีวิวชิ้นใหม่มาล่ะนะ ไม่ต้องทนคิดถึงผมจนสะอื้นแล้ว 555+
- เหมือนเดิมภาพทุกใบที่คุณเห็นผมใช้โทรศัพท์มือถือในการถ่ายและใช้มือถือแต่งภาพทั้งหมดอาจจะไม่สวยเท่าไหร่
- ขออนุญาติ tag เรื่องผีเร้นลับเพราะส่วนหนึ่งติดตามผมมาจากในห้องนั้น ส่วนรีวิวนี้มันจะมีมั้ย เลื่อนไปอ่านเอง 555+
- รีวิวนี้อาจเป็นรีวิวครั้งสุดท้ายเพราะงั้น ภาพเยอะมากและเนื้อหายาวจนไม่เกรงใจใคร พกยาดมไว้ได้เลย
เพื่ออรรถรสในการรับชม ถ้ารู้สึกชีวิตคุณมีเวลาเหลือเฟือแนะนำอ่านรีวิวพวกนี้นี้เผื่อไปเลยจ้า
“ภูกระดึง” (เกือบ)ถึงที่ตาย!!! >>https://pantip.com/topic/39622790
"นั่งรถไฟไปดู..."ผี"...ที่เชียงดาว">>https://pantip.com/topic/37548826
"ปีนัง...ปัง! ปัง! โป๊ะ!">>http://pantip.com/topic/35690354
"คนที่...5">>http://pantip.com/topic/34528419
“แบกเป้ลำพัง...ไปลาววังเวียง” >> http://pantip.com/topic/33074302
“เจอผี...ที่เวียงจันทร์” >> http://pantip.com/topic/33113878
เอาล่ะ!!!...ก่อนจะเปลืองตัวอักษรไปมากกว่านี้...ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น แบกเป้ให้ดี แล้วตามมาเลยยย!!!
…
นี่...อะไร...
ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาวะในหัวที่เหมือนยืนอยู่กลางสี่แยกไฟแดงแถวเหม่งจ๋าย คือ...มันสับสน ปวดหัวและดูวุ่นวายไปหมด คงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ผมซดเข้าไป ยังไม่ทันจะหายงง ก็มีเรื่องให้งงหนักขึ้นไปใหญ่
“ท่านที่จะขึ้นรถไฟขบวน 54 กรุณาเข้ามารอที่ชานชาลาค่ะ”
ทำไม...บ้านเรามีเสียงรถไฟว่ะ...
ผมลืมตาขึ้นมองรอบๆพร้อมกับภาพที่คุ้นตา ชานชาลาหน้าบ้าน ที่มีโบกี้เหล็กสีเทาตั้งตระหง่านอยู่กลางสวนหย่อมขนาดใหญ่ พ่อบ้านใส่ชุดสีกรมท่ายืนโบกรถไฟวิ่งผ่านห้องครัวไปมา เป็นภาพที่ผมเจอทุกวันจนชินตา...
ชินกับผีอะไรล่ะ!!! นี่มันใช่บ้านผมที่ไหน!!! นี่มัน...หัวลำโพง!!!
ผมมองรอบๆตัวตามสัญชาตญาณ จนเผลอคลำผ่านไปเจอกระดาษหนึ่งใบ ที่เสียบอยู่เหมือนตั้งใจจะให้ปลิวหายไป เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย
บอกตรงๆ ถ้าไม่นับรวมความงงจากลายมือหวัดๆในกระดาษตอนนี้ ผม...ไม่มีปัญญามานั่งเรียงลำดับความงงอะไรงงก่อนอะไรงงหลังทั้งนั้น
เอางี้...โทรหา “จ๋อง” ก่อนล่ะกัน
“เฮ้ย...จ๋อง...อยู่ไหนว่ะ” ผมโทรหาจ๋องด้วยน้ำเสียงงงๆ (เออ! รู้แล้วว่างง!!!)
“เฮียตื่นแล้วเหรอ ผมแวะซื้อของอยู่ฝั่งตรงข้าม เดี๋ยวเข้าไปหา” (ลูกน้องผมพูดด้วยน้ำเสียงงงกว่า)
“แล้ว...นี่เฮียมาอยู่ที่นี่ได้ไงว่ะ” (ผมถามด้วยน้ำเสียงงงที่สุด)
“ก็เฮียอ่า...เมา!!!...แล้วก็กลับบ้านมาหยิบกระเป๋าใส่ชุด บอกจะไปเที่ยวให้มาส่งที่หัวลำโพง พ่อเฮียก็คงขี้เกียจห้าม เลยให้ผมมาส่งบอกเฮียได้สติสตังเมื่อไหร่ก็ค่อยถามแล้วหามกลับบ้าน...เฮียจะกลับบ้านเลยมั้ย...ผมจะได้รีบซื้อรีบไปหา”
“อ่า...งั้นไม่เป็นไร...เดี๋ยวเฮียโบกแท๊กซี่กลับเอง”
ผมวางสาย แบกเป้ขึ้นพาดไหล่ และตั้งใจจะโบกแท็กซี่เพื่อกลับบ้าน ระหว่างที่ประตูแท็กซี่เปิด คำถามหนึ่งก็ดังผ่านแหวกม่านความมืดในรถแท๊กซี่ออกมา...
“ไปไหนครับ...”
อยู่ดีๆ...อย่างกับตัวเองนั่งอยู่รายการ “ปริศนาฟ้าแลบ”...ทำไมคำถามที่แทบจะธรรมดาขนาดนี้อยู่ๆถึงได้ยากอย่างกับนั่งอยู่บนเก้าอี้รายการได้นะ
“ไปไหนครับ!!!”
แท็กซี่ถามย้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม โดยมีวอลเปเปอร์เป็นผมที่เริ่มยืนนิ่งเป็นหินโสโครกแถวชะอำเหมือนคนหลับในกำลังเปิดประตูค้างอยู่... “นั่นดิ...ผมจะไปไหน...กลับไป...เพื่อกินเหล้าหัวทิ่มเหมือนเดิมสินะ” อยู่ๆคำๆนึงก็ดังออกจากปากของผมลอยออกไป...
“หลวงพระบาง”
นั่น...เป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนที่แท็กซี่จะทำหน้าเหมือนอย่างกับผมเพิ่งไปฉี่รดต้นมะยมหน้าบ้านแกยังไงยังงั้น
แต่...มันเป็นคำพูดแรก ที่เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้
ดีเหมือนกัน...จะได้มีข้ออ้างชิ่งหนี “งานแต่งงาน” ที่จะถึงได้สักที
ก่อนที่คุณจะเริ่มงง...ผมคงต้องพาพวกคุณไประลึกชาติกันก่อนน่าจะดี...
เช้าวันอังคาร 1 สัปดาห์ก่อนหน้านี้...
ปลายสาย : “ฮัลโหล...แอส...เรากำลังจะ...แต่งงาน”
ผม : “จริงเหรอ...ดีใจด้วยนะ...”
ปลายสาย : “อย่าลืมมางานแต่งงานเราล่ะ”
ผม : “แน่นอนสิ!!!...เตรียมเหรียญบาทเอาไปใส่ซองเยอะเลย...555+...เออ...เดี๋ยวทำงานก่อนนะ”
ขอบคุณเทคโนโลยีระบบหน้าจอสัมผัสในมือถือ คือ...ผมเป็นหนี้บุญคุณนวัตกรรมตัวนี้จริงๆ เพราะแค่เราเอานิ้วแตะหน้าจอสิ่งนี้เบาๆ เราก็สามารถจะวางหูได้โดยปราศจากน้ำหนักมือใดๆ
ไม่อย่างนั้น...“เค้าอาจจะรู้ก็ได้ว่า...มือผมกำลัง...สั่น”
**กรุณาเปิดเพลง...ทิ้งไว้กลางทาง(Potato)**
ผมรู้สึกตัวเองเข้มแข็งมาก ที่ทำกับบทสนทนาที่ยากขนาดนั้นได้เหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่...ก็รู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหนที่เผลอร้องไห้ออกมาหลังจากวางหู
แฟนเก่าผม...กำลังจะ...แต่งงาน
สภาพจิตใจที่ผ่านเรื่องนี้มาได้แค่5นาที มันกระจัดกระจาย บอกตรงๆ...เหมือนมีคนเอาผมไปผูกไว้กับกระสอบทราย แล้วมี“บัวขาว”ตัวดำๆ กล้ามล่ำๆสัก7-8คน ใส่กระจับสีแดงมาคอยถวายหน้าแข้งใส่ปลายคางผมอยู่ตอนนี้
ไม่ถึง 5 นาทีเพื่อนผมก็โทรเข้ามา...
เพื่อน : “เฮ้ย...เมิงโอเคป่ะ...กูรู้เรื่องล่ะนะ...เย็นนี้ไปหาอะไรกินกันมั้ย?”
ผม : “ ที่ไหน...”
เพื่อน : “อโศก...ล่ะกัน”
ผม : “ไปแถว...เพลินจิต...ได้ม่ะ...”
เพื่อน : “ทำไมว่ะ...”
ผม : “นาทีนี้กู...อโศก...จะแย่อยู่ล่ะ”
**กรุณาเปิดเพลง Maps (Maroon 5)**
ผมใช้เวลาเกือบสัปดาห์หมดไปกับการเดินฝ่าควันไก่ย่างและกลับบ้านมาอาบน้ำทั้งชุดทำงานท่ามกลางฝักบัวแบบพระเอกMVพร้อมๆกับมอมตัวเองด้วยเหล้าแทบทุกชนิดที่มีรึพอหาได้
จริงๆ...ถ้าแอลกอฮอล์ล้างแผลมันกินได้...ผมก็คงกินแบบไม่ลังเล
แล้ววันนึง...วันมหาวินาศก็มาถึง...
เย็นวันนั้น...ระหว่างที่ผมกำลังจะเดินออกจากบ้านเพื่อไปหาเหล้าดื่มที่บาร์แถวตรอกข้าวสารเหมือนทุกวัน คนงานที่บ้านผมก็ตะโกนไล่หลังเสียงดัง
“เฮีย!!! มีจดหมายของเฮียมาแหน่ะ ซองสีขาว...วางอยู่หลังตู้เย็น”
“การ์ดแต่งงาน”...มันคงเป็นประตูบานแรกที่ผมต้องเปิดและยอมรับให้ไหว
ทุกๆก้าวระหว่างประตูหน้าบ้านจนถึงหลังตู้เย็น เป็นระยะทาง 5 เมตรที่แสนไกล ไกลมากจนดูเหมือนแรงโน้มถ่วงบนโลกมันหนักขึ้นไปกว่าที่เคยมี และเป็นเรื่องยากที่จะฝืนเดินไป ด้วยสภาพจิตใจตอนนี้
ซองจดหมายสีขาวบริสุทธิ์ จ่าหน้าซองระบุชื่อและนามสกุลของผมชัดเจนไม่ใช่ใคร เหมือนกระสุนปืนที่ตั้งใจยิงตัดขั้วหัวใจของผมไม่ผิดตัว
ผมกลั้นใจ...ฉีกซองจดหมายด้านหนึ่งออกอย่างช้าๆ และข่มใจอ่านบรรทัดแรกพร้อมน้ำตา...
...
“ร่วมทำบุญทอดผ้าป่าวัด...”
ปั่ดโถ่โว้ยยยยยยยยย!!! ใจหายใจฝว่ำหมด!!! ใครส่งมาเนี้ย!!!
เอาเหอะ...หาเหล้าย้อมใจดีกว่า...
ผมไม่ได้รู้เลยว่า...เหล้าแก้วนั้น...จะทำให้เกิดการเดินทางครั้งนี้...
---------------------------------------------
กลับมาที่หัวลำโพงกันต่อ...
ก็นะ...เรื่องราวมันก็อย่างที่ผมพาคุณไประลึกชาตินั่นแหล่ะนะ...
ใช่แล้วล่ะ...ทุก1นาทีจะมีคนบนโลก 3,111 คนต้องผิดหวังเรื่องความรัก ผมก็แค่ดันซวยที่เป็น1ในนั้น และวันนี้...ผมตัดสินใจที่จะหนีเรื่องราวชวนดราม่าต่อมน้ำตาแตกจากทุกคนที่ผมรู้จัก เพื่อไปพักไกลๆ
**กรุณาเปิดเพลง...อยากเจอ (BlueShade)**
ใจจริงผมอยากจะไปเจอหลวงพระบางมานานมากแล้ว แต่ด้วยเวลาวันหยุดอันน้อยนิดก็แห้วซะทุกที รอบนี้ไปหลบเลียแผลใจไกลๆก็ดีเหมือนกัน แต่ก่อนอื่นผมต้องเช็คดูก่อนว่าในกระเป๋าผมนั้น มีอะไรอยู่บ้าง
ต้องขอบคุณที่อาทิตย์ก่อนผมวางแผนจะเดินทางไปพักที่เกาะล้าน แต่ติดปัญหามาแอดมิดเพราะ “โรคกระเพาะ” กันซะก่อน ตอนนี้ในกระเป๋าเดินทางผมเลยมีเสื้อ2-3ตัวกับกางเกงขาสั้น แล้วก็...ไม้เกาหลัง กับอาหารปลา (อันนี้...น่าจะถูกยัดมาตอนเมา 555+) ส่วนของสำคัญๆอย่าง พาสปอร์ต ไดอารี่ สมุดบัญชีและ “ยาโปรแทสเซี่ยม” อันนี้ผมติดกระเป๋าเดินทางตลอดเวลาอยู่แล้ว
โดยเฉพาะ...ยาโปรแทสเซี่ยม ที่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ ถ้าคุณไม่หมดสติและมุมานะ อุสาหะ วิริยะกับเรื่องไร้สาระในรีวิวนี้ได้ อ่านๆไปเดี๋ยวก็รู้
อันที่จริงผมควรเอาของในกระเป๋ามากองกับพื้นแล้วเรียงเท่ๆ ถ่ายรูปเก๋ๆ ตามกฎของ “กระทรวงรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งชาติประจำสาธารณรัฐพันทิป” ได้บัญญัติเอาไว้...แต่ถ้าทำไป คงไม่ดูฮิปนะ...สภาพกระเป๋าผมน่าจะใกล้เคียงกับพ่อค้าขายเสื้อผ้ามือสองแบกับดินแถวตลาดคลองถมมากกว่า
สรุป...ผมต้องหาซื้ออะไรเยอะเลย ตั้งแต่สายชาร์จ สบู่ แปรง ของใช้ ยาต่างๆที่อาจจำเป็นแล้วก็...
”กางเกงใน”
อ้อ...ใช่!!! ก่อนจะซื้ออะไรผมต้องไปหาซื้อ “ตั๋วรถไฟ” ให้ได้ก่อน
บอกตรงๆ ทุกทีตอนผมแบกเป้ไปเที่ยวก็ไม่ค่อยจะเตรียมข้อมูลอะไร แต่รอบนี้แม้แต่เตรียมใจยังไม่ได้เตรียมไปเลย เคยหาๆข้อมูลเกี่ยวกับหลวงพระบางไว้บ้างเหมือนกัน นั่งรถไฟไปหนองคาย ทะลุเวียงจันทน์ แล้วหารถมันดื้อๆไปต่อหลวงพระบางนั่นล่ะ
โชคดีมาก...ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีใครอยากจะเที่ยวไหนสักเท่าไหร่ เพราะประเทศไทยตอนนี้พายุกำลังเข้า แถมกรุงเทพของเราก็ยังซ้อมน้ำท่วมกดดันผู้ว่าอีกสมัย และช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่นที่ใครๆเค้าไม่บ้ามาเที่ยวกัน ผมก็เลยได้ตั๋วนอนแอร์เตียงล่างมันมาราคา758 บาท แบบสบายๆ
หลังจาก4ชั่วโมงก่อนผมวุ่นวายหาของใช้ที่จำเป็นตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ(ซึ่งในความจริงไม่ได้เอาไปทั้งสากกะเบือหรือเรือรบ) ตอนนี้เกือบ2ทุ่มได้เวลารถไฟออกแล้ว
ถามว่าทำไมไม่กลับบ้านไปเก็บกระเป๋าจะง่ายกว่ามั้ย...
บอกเลยว่า... “ผมกลัวว่าถ้ากลับบ้านไป...แล้วใจจะไม่อยากออกมาอีก”
ผมเดินหารถไฟขบวน69 โบกี้ที่11จนเจอ ก่อนจะเดินขึ้นไป...
อุณหภูมิในขบวนรถไฟลดต่ำลง หยดฝนเม็ดเล็กๆกำลังเริ่มแข่งกันตกใส่กระจกหน้าต่างรถไฟ พอไม่ได้มีอะไรต้องทำ และต้องมานั่งรอรถออกแบบนี้ รู้สึกได้ทันที ว่าความเหงากำลังเริ่มทำหน้าที่ของมัน ความเงียบงำกำลังโรยตัวคืบคลานลงอย่างช้าๆ
ช่วงเวลาแห่งความเงียบเหงา...ช่างยาวนาน
...
ได้ประมาณ 5 นาที…!!!
หลังจากมีฝรั่งคนนึงหุ่นเหมือนผู้พันKFCเผลออุทานเสียงดังลั่นโบกี้ว่า... "ฮ้วย!!!"