.....การเดินทางไปลี่เจียงครั้งนี้เราไปกันสามคน คือ อ๋อย พี่หลิว และพี่ปุ้ย เป็นทริปที่เรารอคอยกันมานานมาก เพราะจองตั๋วไว้ตั้งแต่มีโปรโมชั่นของแอร์เอเชียเมื่อช่วงต้นปี
ก่อนออกเดินทางเราก็ฟิตร่างกายด้วยการเดินรอบหมู่บ้านในตอนเย็นๆ รวมทั้งไปเดิน-วิ่ง มินิมาราธอน 10 km นั่นก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เมื่อคนพร้อม ขาพร้อม ใจพร้อม ...ก็ลุยกันเลยค่า!
เมื่อไปถึงคุนหมิง... เราก็เรียกแท๊กซี่จากสนามบินไปสถานีรถไฟ เพื่อนำ voucher ที่จองผ่านเว็บไปออกตั๋วรถไฟ ...การเดินทางครั้งนี้เราทั้งสามคนไม่มีใครรู้ภาษาจีนเลย โชคดีที่ได้รับอุปการะคุณจากเฮีย (สามีเพื่อนเจี๊ยบ) จากเพื่อนจิ๊ (เอกจีน) และจากน้องบาร์ท (ลูกศิษย์พี่นุ้ยที่ มข.) ที่ช่วยแปลคำและประโยคจากภาษาไทยเป็นจีนมาให้ล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อมาถึงเราก็ควักโพยแล้วชี้เลยจ้า ฮ่าๆ...
พอมาถึงสถานีรถไฟ... ก็พุ่งตรงไปรีเซฟชั่น เพื่อจะถามว่าเราจะไปออกตั๋วได้ที่ไหนค๊า
และแล้วก็...มีหนุ่มหน้ามลซึ่งเป็นจนท.เดินเข้ามาถามว่า Where are you from? พอตอบว่า Thailand น้องก็ยกมือไหว้ บอก...สวัสดีครับ แล้วก็สปีคไทยเลยค่า คือน้องเขาเคยเรียนภาษาไทยในมหาลัยที่ คุนหมิงก็เลยพูดไทยได้ (เย้!)
น้องก็พาไปหาพนง.ที่เคาเตอร์ออกตั๋ว แต่ปรากฎว่า...!!! เขาค้นในคอมฯ เจอแต่บุ๊คกิ้งของพี่ปุ้ย ไม่เจอบุ๊คกิ้งของอ๋อยกับพี่หลิว!! อ้าว! เฮ้ย! ไรเนี่ย น้องคอยเป็นล่ามให้เรา บอกพี่อ๋อยใจเย็นๆครับ รถออกสามทุ่ม มีเวลาเยอะ เอ่อ...มีเวลาเยอะ แต่ถ้าไม่มีตั๋วเราจะทำไง โรงแรมที่คุนหมิงก็ไม่ได้จองไว้ หรือจะให้พี่ปุ้ยเดินทางไปคนเดียว ก็เอาใบคอนเฟิร์มให้น้องช่วยสื่อสารให้อีกที ปรากฎว่าเจอค่า! (โล่งอก) นี่ถ้าเราไม่มีน้องคนนี้มาช่วยสื่อสารให้ เราคงแย่แน่ๆ
ยังพูดกับน้องเค้าเลยว่า... นี่ถ้าพี่มาติดต่อเอง ต้องแย่แน่ๆ น้องก็ยิ้มกว้างแล้วบอกว่า...
"ไม่แย่หรอกครับพี่ เพราะจะมีผมแน่นอน"
ประทับใจสุดๆค่ะ ^^
นอกจากน้องจะช่วยเป็นล่ามตอนออกตั๋วแล้ว น้องยังพาไปที่ห้องสำหรับฝากสัมภาระและกระเป๋าเดินทางด้วย เพราะเราจะไปเที่ยวที่วัดหยวนทงในคุนหมิงกันก่อน ระหว่างรอเวลาขึ้นรถไฟตอนสามทุ่ม
เราเลยได้มีโอกาสไหว้พระขอพร ให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่น พบเจอแต่คนดีๆ ไม่มีอันตรายใดๆ...
ออกจากวัดหยวนทง ...เราก็แวะซื้อขนมปังไว้สำหรับกินก่อนขึ้นรถไฟคืนนี้
แล้วก็นั่งแท๊กซี่กลับมาที่สถานีรถไฟ สั่งอาหารที่ร้าน dicos กินเป็นมื้อเย็น (ไก่ทอดร้านนี้ราคาสูงใช้ได้ สั่งข้าวไก่แกงกะหรี่จานนึง ข้าวไก่คาราเกะจานนึง น่องไก่ทอดชิ้นนึง โค้กสองแก้ว เบ็ดเสร็จเกือบห้าร้อยบาท) ยังดีที่ร้านนี้มี WiFi ให้ใช้ มีห้องน้ำสะอาด...ก็โอเคล่ะ ^^
ประมาณหนึ่งทุ่ม...เราก็ไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วผ่านด่านสแกนกระเป๋าเข้าไปในสถานีเลยจ้า สถานีรถไฟที่นี่มีด่านสแกนกระเป๋าราวกับสนามบินเลยทีเดียว แถมมีด่านตรวจตั๋วกับพาสปอร์ตก่อนเข้าไป อ้อ...แล้วก็มี Waiting Room สำหรับผู้โดยสารที่รอขึ้นรถไฟแต่ละขบวน ซึ่งใหญ่โตโอ่อ่ามาก เคยคิดว่าสถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นใหญ่แล้ว ที่จีนนี่ใหญ่กว่าอีก แม่จ้าว! ใน Waiting Room (จริงๆ น่าจะเรียก Waiting Hall มากกว่า) ห้องนึงก็สำหรับผู้โดยสารที่รอขึ้นรถไฟประมาณ 4 - 5 ขบวน แล้วในตึกนี้มี Waiting Room ประมาณ 5 - 6 ห้อง แต่ละห้องก็มีประชากรเยอะมาก โอ้โห! ตื่นตาตื่นใจมากค่า
แล้วก็ได้เวลาขึ้นรถไฟ... เราจองแบบ Soft Sleeper ซึ่งเป็นห้องสำหรับสี่คน ก็แอบลุ้นว่าอีกคนที่จะมาร่วมห้องกับเราจะเป็นใคร แต่ปรากฎว่าไม่มีค่า ห้องนั้นเลยตกเป็นของเราแค่สามคน ฮี่ๆ..
ขอบอกว่า...รถไฟจีนตรงเวลามากกกก ที่นอนก็นอนสบาย ห้องน้ำ...ถ้ารีบใช้ตั้งแต่รถไฟออก ...ก็โอเคนะ แต่ถ้าใช้ก่อนรถไฟถึงปลายทางนี่ ต้องทำใจค่า ...อีกอย่างที่ทรมานคือกลิ่นควันบุหรี่ ขนาดเค้าประกาศว่าห้ามสูบบุหรี่ พี่จีนก็ไม่สนใจค่า มีกลิ่นลอยมาปะทะจมูกเป็นระยะๆ ...เฮ้อ...
ขอจบตอนแรกไว้แค่นี้ก่อนนะคะ ไว้จะมาต่อตอนต่อไปค่า... ^^ v
Remembering Lijiang
ก่อนออกเดินทางเราก็ฟิตร่างกายด้วยการเดินรอบหมู่บ้านในตอนเย็นๆ รวมทั้งไปเดิน-วิ่ง มินิมาราธอน 10 km นั่นก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะ
เมื่อคนพร้อม ขาพร้อม ใจพร้อม ...ก็ลุยกันเลยค่า!
เมื่อไปถึงคุนหมิง... เราก็เรียกแท๊กซี่จากสนามบินไปสถานีรถไฟ เพื่อนำ voucher ที่จองผ่านเว็บไปออกตั๋วรถไฟ ...การเดินทางครั้งนี้เราทั้งสามคนไม่มีใครรู้ภาษาจีนเลย โชคดีที่ได้รับอุปการะคุณจากเฮีย (สามีเพื่อนเจี๊ยบ) จากเพื่อนจิ๊ (เอกจีน) และจากน้องบาร์ท (ลูกศิษย์พี่นุ้ยที่ มข.) ที่ช่วยแปลคำและประโยคจากภาษาไทยเป็นจีนมาให้ล่วงหน้า ดังนั้น เมื่อมาถึงเราก็ควักโพยแล้วชี้เลยจ้า ฮ่าๆ...
พอมาถึงสถานีรถไฟ... ก็พุ่งตรงไปรีเซฟชั่น เพื่อจะถามว่าเราจะไปออกตั๋วได้ที่ไหนค๊า
และแล้วก็...มีหนุ่มหน้ามลซึ่งเป็นจนท.เดินเข้ามาถามว่า Where are you from? พอตอบว่า Thailand น้องก็ยกมือไหว้ บอก...สวัสดีครับ แล้วก็สปีคไทยเลยค่า คือน้องเขาเคยเรียนภาษาไทยในมหาลัยที่ คุนหมิงก็เลยพูดไทยได้ (เย้!)
น้องก็พาไปหาพนง.ที่เคาเตอร์ออกตั๋ว แต่ปรากฎว่า...!!! เขาค้นในคอมฯ เจอแต่บุ๊คกิ้งของพี่ปุ้ย ไม่เจอบุ๊คกิ้งของอ๋อยกับพี่หลิว!! อ้าว! เฮ้ย! ไรเนี่ย น้องคอยเป็นล่ามให้เรา บอกพี่อ๋อยใจเย็นๆครับ รถออกสามทุ่ม มีเวลาเยอะ เอ่อ...มีเวลาเยอะ แต่ถ้าไม่มีตั๋วเราจะทำไง โรงแรมที่คุนหมิงก็ไม่ได้จองไว้ หรือจะให้พี่ปุ้ยเดินทางไปคนเดียว ก็เอาใบคอนเฟิร์มให้น้องช่วยสื่อสารให้อีกที ปรากฎว่าเจอค่า! (โล่งอก) นี่ถ้าเราไม่มีน้องคนนี้มาช่วยสื่อสารให้ เราคงแย่แน่ๆ
ยังพูดกับน้องเค้าเลยว่า... นี่ถ้าพี่มาติดต่อเอง ต้องแย่แน่ๆ น้องก็ยิ้มกว้างแล้วบอกว่า...
"ไม่แย่หรอกครับพี่ เพราะจะมีผมแน่นอน"
ประทับใจสุดๆค่ะ ^^
นอกจากน้องจะช่วยเป็นล่ามตอนออกตั๋วแล้ว น้องยังพาไปที่ห้องสำหรับฝากสัมภาระและกระเป๋าเดินทางด้วย เพราะเราจะไปเที่ยวที่วัดหยวนทงในคุนหมิงกันก่อน ระหว่างรอเวลาขึ้นรถไฟตอนสามทุ่ม
เราเลยได้มีโอกาสไหว้พระขอพร ให้การเดินทางครั้งนี้ราบรื่น พบเจอแต่คนดีๆ ไม่มีอันตรายใดๆ...
ออกจากวัดหยวนทง ...เราก็แวะซื้อขนมปังไว้สำหรับกินก่อนขึ้นรถไฟคืนนี้
แล้วก็นั่งแท๊กซี่กลับมาที่สถานีรถไฟ สั่งอาหารที่ร้าน dicos กินเป็นมื้อเย็น (ไก่ทอดร้านนี้ราคาสูงใช้ได้ สั่งข้าวไก่แกงกะหรี่จานนึง ข้าวไก่คาราเกะจานนึง น่องไก่ทอดชิ้นนึง โค้กสองแก้ว เบ็ดเสร็จเกือบห้าร้อยบาท) ยังดีที่ร้านนี้มี WiFi ให้ใช้ มีห้องน้ำสะอาด...ก็โอเคล่ะ ^^
ประมาณหนึ่งทุ่ม...เราก็ไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ แล้วผ่านด่านสแกนกระเป๋าเข้าไปในสถานีเลยจ้า สถานีรถไฟที่นี่มีด่านสแกนกระเป๋าราวกับสนามบินเลยทีเดียว แถมมีด่านตรวจตั๋วกับพาสปอร์ตก่อนเข้าไป อ้อ...แล้วก็มี Waiting Room สำหรับผู้โดยสารที่รอขึ้นรถไฟแต่ละขบวน ซึ่งใหญ่โตโอ่อ่ามาก เคยคิดว่าสถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นใหญ่แล้ว ที่จีนนี่ใหญ่กว่าอีก แม่จ้าว! ใน Waiting Room (จริงๆ น่าจะเรียก Waiting Hall มากกว่า) ห้องนึงก็สำหรับผู้โดยสารที่รอขึ้นรถไฟประมาณ 4 - 5 ขบวน แล้วในตึกนี้มี Waiting Room ประมาณ 5 - 6 ห้อง แต่ละห้องก็มีประชากรเยอะมาก โอ้โห! ตื่นตาตื่นใจมากค่า
แล้วก็ได้เวลาขึ้นรถไฟ... เราจองแบบ Soft Sleeper ซึ่งเป็นห้องสำหรับสี่คน ก็แอบลุ้นว่าอีกคนที่จะมาร่วมห้องกับเราจะเป็นใคร แต่ปรากฎว่าไม่มีค่า ห้องนั้นเลยตกเป็นของเราแค่สามคน ฮี่ๆ..
ขอบอกว่า...รถไฟจีนตรงเวลามากกกก ที่นอนก็นอนสบาย ห้องน้ำ...ถ้ารีบใช้ตั้งแต่รถไฟออก ...ก็โอเคนะ แต่ถ้าใช้ก่อนรถไฟถึงปลายทางนี่ ต้องทำใจค่า ...อีกอย่างที่ทรมานคือกลิ่นควันบุหรี่ ขนาดเค้าประกาศว่าห้ามสูบบุหรี่ พี่จีนก็ไม่สนใจค่า มีกลิ่นลอยมาปะทะจมูกเป็นระยะๆ ...เฮ้อ...
ขอจบตอนแรกไว้แค่นี้ก่อนนะคะ ไว้จะมาต่อตอนต่อไปค่า... ^^ v