สวัสดีครับ ผมมีประสบการณ์ ส่วนตัวมาเล่าเพื่อให้คนที่ไม่มีทางเลือก เผื่อจะนำไปใช้ในชีวิตนะครับ (จากประสบการณ์จริง)
ผมเป็นวิศวกร คอมพิวเตอร์ และเป็น CEO บริษัทแห่งหนึ่ง รวมทั้งอาจารย์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ชีวิตเหมือนจะเพรียบร้อมนะครับ แต่เรื่องมันเริ่มมาจากตั้งแต่ผมได้เลิกกับแฟน
ผมได้หมดหวัง ชีวิตพังทะลาย จนไม่เป็นคน ดื่มเหล้าจัด ทุกวัน เป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี จนผมได้ตั้งสติกลับมา สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ จนพร้อมทุกย่าง แต่ช่วงเวลาหนึ่งก็กลับพบว่า แฟนที่คบกันมา เค้ามีสามีและลูกอยู่แล้ว จนผมคิดประชดชีวิต ด้วยการ ไปแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักเค้า เค้าเป็น อาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่ผมก็ประชดประชันจนเกิดเป็นเรื่องราวมากมาย จน ณวันหนึ่ง ผมได้คุยกับเพื่อนสาว ของเพื่อน เธอสวยมาก น่ารักและเข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเธอมีแฟนแล้ว และพอคุยกันมากขึ้น ก็ได้ทราบว่าเธอมีลูกอีก 2 ซึ่งสามีเธอ ได้เสียชีวิตลง ซึ่ง แรกๆ ก็คุยกันปรึกษากันตลอด จนสนิทกันมากคุยได้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวมากกมาย
เธอเป็นคนภาคกลาง และ อยู่ข้างหลังคอนโดฯของครอบครัวผม ส่วนผมเป็นคนภาคเหนือสุดเรามีพื้นฐานครอบครัว ไกล้ๆกันเพราะเป็นลูกข้าราชการเหมือนกัน
ณ ขณะนั้นชีวิตผมกำลังรุ่งเรือง ไปได้ด้วยดีทุกอย่าง แต่พอ กลางปี 56 ผมเริ่มมีปัญหากับงาน และคนที่ผมประชดแต่งงานด้วย จนมีปากเสียงกันอย่างรุณแรง และผมได้ตัดสินใจครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะแยกทางกับเธอ โดยที่ผม กลับมาคบกับผู้หญิงคนที่ผมคุยด้วย แรกๆเธอไม่รู้ครับ แต่พอรู้เธอก็เสียใจมากเพราะเธอก็รักผมเข้าแล้ว จนวันหนึ่ง เธอตัดสินใจถามผมว่า เรามาคบกันไหม ผมเลยเลือกคบกับเธอ และเลิกรากับ คนที่เป็น อาจารย์ไป
ชีวิตคู่ผมมีความสุขมาก เธอเป็นคนอัธยาศัยดี คุยเก่งทำให้ผมหัวเหราะ ขณะเดียวกัน ผมก็ทำให้เธอมีความสุขมาก ทุกคนคงคิดว่าชีวิตผม มีความสุขมาก เพื่อนๆ และครอบครัวผม รวมทั้งคนสนิท
ผมชอบเวลาเธออ้อน เวลาเธอเอาใจใส่ผมทุกเรื่อง แต่ข้อเสียของผมคือ ผมทำงาน ทำแต่งาน แล้วก็ตวาดเธอ หลายครั้ง บางครั้งก็ปิดโทรศัพท์ ผมรู้ผมทำไม่ดี ทุกครั้งผมจะขอโทษ *** เรื่องมีอยู่ว่า ที่ผมบ้างาน เพราะว่าตอนที่ผมอกหัก ผมทำงานจนผมไม่สนใจใครทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นมาได้*** เธอก็จะให้อภัยผมมาตลอด ผมทำเธอเสียใจไหม(บ่อยครับ จากการที่เวลานั่งรถยนต์ เธอจะชอบป้อนอาหาร แต่ผมเป็นคนไม่ชอบกินอะไีรถ้าผมไม่กิน) เธอดิ้นรนมากครับ ช่วยเหลือผมทุกทางที่จะทำได้ แม้แต่เงินทอง รวมทั้งเวลาของเธอ ผมได้ไปเจอครอบครัว คุณแม่เธอ น่ารักครับ ผมสามารถเข้ากับครอบครัวเธอได้ กับลูกเธอได้ (เคยคุยกันแล้วและผมเคยบอกว่า ถ้าผมรักเธอ ผมต้องรักลูกเธอด้วย)
ตลอดเวลาที่คบกันมาผมมีความสุขมาก มากจนบอกไม่ถูกผมคิดว่า ผมเจอคนที่ใช่แล้ว ครั้งนี้จะเป็นรักครั้งสุดท้ายในชีวิตผม ผมคิดอนาคตตลอด ผมพาเธอมาพบครอบครัวผม และรู้จักครอบครัวผม ครอบครัวผม ไม่ได้โกรธ ไม่เกลียดเค้าเลย เพราะเค้าเป็นคนดีมาก ทุกคนรักเธอ และเวลามีปัญหา เธอจะยื่นมือมาช่วย ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องเงิน จำนวนมากที่เธอโอนให้ เพื่อให้ผมไปลงทุน
จนมาถึงเมื่อ กลางปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 เหตุการณ์
1. ธุรกิจผมเริ่มไปได้สวย Order มูลค่าหลายล้านมาก แต่ ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ ผมต้องแบกรับพาระ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทางหน่วยงานราชการก็ไม่มีคำตอบให้ผม ผมตามทุกวัน โทร วิ่งเรื่อง แต่ก็ถูกปฏิเสธ และอ้างงบประมาณ ทั้งๆที่ผมมีสัญญา และรอบคอบแล้ว
2. ทางบ้านผมมีแต่ผู้สูงอายุ แม่ผมป่วย และ ต้องดูแลป้าที่เป็นโรคซิมเศร้า และคุณตาที่เป็นอัมพาตแขนขวา คุณพ่อผมเป็นข้าราชการ ทำงานเพื่อรักษาคุณแม่จนแทบไม่มีเวลา
3. เมื่อเดือนกันยายน 58 ลูกน้องทะยอยลาออก และออกไปติดทหาร ทำให้ธุรกิจผมยิ่งแย่ลง เพราะผมคนเดียวต้องรักษาลูกค้าและตามซ่อมบำรุง(งานติดตั้ง Data Center และ Server ) ทำให้ผมมีเวลาให้เธอน้อยลง พอกลับมาบ้านผมก็หมดแรง ทำให้คุยได้น้อยลง เราทะเลาะกันหลายรอบเพราะเธอแนะนำให้ผมหยุด แต่ ปัญหาเธอไม่รู้ว่าที่ผมต้องรักษา ลูกค้า ให้อยู่เพราะมีสัญญามัดตัวผมไว้ เพื่อไม่ให้เป็นคดีความ
เราคุยกันน้อยลง ผมโมโหและปิดโทรศัพท์ใส่เธอหลายครั้ง จนเธอเริ่มไม่สนใจผม
4. ด้านมหาวิทยาลัยกดดันเรื่องตำแหน่ง และ การทำงานพอผมไปแก้ปัญหางาน ที่พนักงานลาออก ทำให้มีปัญหากับทางมหาวิทยาลัย หนักมากถึงขั้นผมต้องพิจารณาตัวเองเพื่อออกงาน(ผมมานั่งคิด ไปเป็นเจ้าของกิจการ ก็ไม่มีพนักงาน ที่ไว้ใจได้ และเงินที่หน่วยงานราชการติดค้าง มีจำนวนมากผมไม่ทุนขนาดนั้น)
และไม่กี่เดือน ทั้งที่ไม่ค่อยได้คุยกัน ผมและเธอได้คิดสร้างอนาคต โดยการซื้อคนโดหรู หน้าเซนทรัล จังหวัดเชียงราย โดยมีความคิดที่ว่า ถ้าไม่ใช้อยู่ ก็ไว้ขายเป็นกำไร หรือให้ นักธุรกิจเช่า ผมก็ตัดสินใจ กู้ธนาคาร โดยตอนนั้น ผมก็สามารถกู้ได้ 100% ก็ได้คอนโดฯ มา และคำพูดคำหนึ่ง เธอพูดว่า "นี่คือบ้านของเรานะ" ผมเริ่มน้ำตาไหล จากคนที่ไม่มีหัวใจ คนที่แข็งกระด้าง ผมฝันว่าผมจะมีลูก และขอเธอแต่งงาน..... และเธอก็ออกจากงานที่เดิม เป็นบริษัทด้านเครื่องมือทางการแพทย์ และ ได้มาอยู่บริษัทใหม่ แต่กลับทำให้เธอเหนื่อยมากขึ้น
และไม่กี่วันปลายเดือน ตุลาคม จนเธอไปพบเพื่อนชายคนหนึ่ง ได้พูดคุยถึงธุรกิจขายไก่ทอด เกาหลี เธอก็มาปรึกษาผม แต่ผมก็มัวแต่ต้องหาเงินมาให้ทันค่าใช้จ่าย รวททั้งปัญหารุมเร้า เธอบอกว่าเธอจะไปทำธุรกิจนี้และชวนผมมาพูดคุย แต่ผมก็บ่ายเบี่ยง (เพราะปัญหาผมยังแก้ไม่หมด และ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งทวงถามเงินที่ยังตบเบิกราชการไม่ได้อีกจำนวนมาก และ***ความกดดันที่ เธอวาดหวังกับผม และค่าใช้จ่ายที่เธอต้องการใช้
ดังนั้น เราคุยกันน้อยลง จน เธอเริ่มไปศึกษาขายไก่ เราแทบไม่ได้คุยกัน เพราะเธอรับโทรศัพท์ไม่ได้ จนกว่าเธอจะกลับมา ผมก็เพลียที่จะนอนเพราะความเหนื่อยล้า มากมาย แต่ผมก็ไม่ละที่จะตื่นมาดูเฟสของเธอ กลับว่าเธอ สามารถ Post เฟสบุคขณะที่ผมโทรหาเธอบอกไม่ได้ยิน
ผมเริ่มเครียดแต่เธอบอกไม่มีอะไรแค่เพื่อน ผมก็พยายามคิดไปในทางที่ดี จริงๆ ผมน้อยใจที่เธอรับโทรศัพท์ ผมไม่ได้ และเราคุยกันน้อยลง พอเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน 58 วันที่ 9 เธอเริ่มไม่โทร ไม่ตามผม ผมรู้ตัวเพราะเธอเคยบอกว่า "ถ้าไม่สนใจเธอ สักวันเธอจะไป" ผมทำได้แค่ เก็บความรู้สึกและก้มหน้าหาเงิน เพื่อมาให้เธอ ที่เธอจำเป็นต้องใช้ในการเปิดกิจการขายไก่ทอด เกาหลี จนไม่ได้คุยกันมากขึ้นและ อยู่ดีๆ เธอก็หายไปจากชีวิตผม
สำคัญ
เธอไม่โทรมา เธอไม่ว่างรับ จนได้ส่งข้อความหากัน สรุปคือ เธอบอกว่าผมไม่มีเวลาให้เธอ และห่างไกลกันมาก อีกอย่าง เธอก็มีพาระเหมือนกัน
......... ผมเงียบ ทั้งๆในใจอยากอธิบาย จนผมเสียใจ เสียใจมาก ไม่เคยถูกเลิกแบบไม่ตั้งตัว และผมได้ทราบจากเพื่อนสนิทผม ซึ่งเป็นเพื่อเธอด้วยว่า
" ผมไม่เคยสนใจเค้า โมโหก็ปิดโทรศัพท์ ใส่ อีกอย่างระยะทางมันไกล
คนที่เค้าคุยด้วยตอนนี้และคบอยู่ ให้สิ่งที่ผมให้เค้าไม่ได้ คือ เวลา และ ความเอาใจใส่ "
ในวันนี้ ผมพูดอะไรไม่ออก และ ใช้วิธีนำรถยนต์ ไปเข้า ไฟแนนซ์ เพื่อโอนเงินให้เธอ เพื่อเธอจะได้ใช้และ ทำตามสัญญาที่ให้เธอไว้ ทั้งๆที่เงินยังไม่ออกไม่ได้ และไม่รู่ว่าชีวิตผมทำไมเป็นแบบนี้ ผมได้โอนเงินให้เธอ และเงินที่เหลือจากการ เอารถยนต์เข้าไฟนแนนซ์ ผมนำมาจ่ายค่าคอนโดน ที่ผมซื้อด้วยกัน ที่จะเป็นบ้าน และค่าใช้จ่ายให้คุณแม่ที่ป่วยโดยไม่ได้บอกใครแม้แต่คนในครอบครัวผม
- ผมต้องหาเงินมาจ่ายภาษีทุกเดือนที่ลูกค้ายังไม่ตั้งเบิก
- เธอโทรมาบอกผมว่าลูกต้องใช้เงิน ค่าเทอม 2 คนเกือบห้าหมื่น (แต่ผมเหลือเงินในบัญชีไม่ถึง 5000 บาท) โดยค่าใช้จ่ายผมก็มาก และเจอลูกค้าสั่งของแล้วไม่เอาอีกหลายราย รวมทั้งขอผ่อน พอติดตั้ง แม้กระทั่ง ซื้อสินค้า แล้วจ่ายเป็นบัตรกำนัล ไม่ใช่ตัวเงิน จนผมเริ่มเครียด
- ตอนนี้ เธอเลือกคนที่เค้ามีอนาคตกว่าผม มีเวลา และอยู่ไกล้กัน และเพื่อนเธอก็แนะนำให้เลิกกับผม ผมยอมรับครับผมเสียใจมาก มากจนผมไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร อีกความรู้สึกผมต้องข่มอารมณ์ ไม่ให้คุณแม่ที่ป่วย คุณป้าที่เป็นโรคซึมเศร้า ในบ้านรับรู้ และผมได้ให้ออกจากการเป็นอาจารย์ รวมทั้ง ได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ที่จะปิดกิจการของตัวเอง ที่เปิดมานับสิบกว่าปี ลงในวันนี้
ผมเสียใจตรงที่ เธอเลิกกับผมโดยไม่รู้ตัว ไม่ตั้งตั้ว และไม่ใช่เพราะผมมีคนอื่นด้วย
ผมทราบดีว่า ผมไม่ใช่คนที่ดี ร่ำรวย ทำให้เธอทุกอย่างได้ และนิสัยแย่ๆของผม แต่ทุกอย่างผมมีเหตุผล และ มีเพียงผมคนเดียวที่รู้ พอผมอยากรักษาเธอไว้ มันก็....สายเสียแล้ว
สุดท้าย....
ผมอยากให้เรื่องส่วนตัวผมเป็นบทความ ข้อคิดต่างๆ ให้คนที่ต้องเลิอกระหว่างหน้าที่ และคนรัก และครอบครัว ลองไปทบทวนนะครับ
ว่าเราทำอะไรให้ที่สุดแล้ว ณ วันหนึ่ง เราเลือกที่จะทำเพื่อคนที่เรารัก ทั้งคนที่ขึ้นชื่อว่า ภรรยา และต้องดูแลครอบครัวไปด้วย และต้องรักษาหน้าที่การงาน อย่าลืมที่จะ หาเวลาใส่ใจคนที่คุณรักนะครับ และวันหนึ่ง คุณจะไม่เหลืออะไรเลย ทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว คนรัก ......
ปล. ความเสียใจบางครั้งมันมากเกินกว่าจะลุกขึ้นมาได้อีก ขอให้คนที่มาอ่านบทความนี้ รักษาคนที่รักไว้ดีๆนะครับ อย่าปล่อยมือเค้าไป ถึงแม้เราเอง จะโดนทิ่มแทงแทบเหลือดไม่เหลือสักหยด.... ผมก็อยากย้อนไปจับมือเค้าไว้และทนเจ็บไว้คนเดียว
ขอบคุณครับที่สละเวลาอ่านครับ กับเรื่อง "ชั่วชีวิตคนเราจะมีใครที่โชคร้ายเท่าผมอีก"
คนเราจะโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกเหรอ.....
ผมเป็นวิศวกร คอมพิวเตอร์ และเป็น CEO บริษัทแห่งหนึ่ง รวมทั้งอาจารย์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ชีวิตเหมือนจะเพรียบร้อมนะครับ แต่เรื่องมันเริ่มมาจากตั้งแต่ผมได้เลิกกับแฟน
ผมได้หมดหวัง ชีวิตพังทะลาย จนไม่เป็นคน ดื่มเหล้าจัด ทุกวัน เป็นระยะเวลาเกือบ 2 ปี จนผมได้ตั้งสติกลับมา สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ จนพร้อมทุกย่าง แต่ช่วงเวลาหนึ่งก็กลับพบว่า แฟนที่คบกันมา เค้ามีสามีและลูกอยู่แล้ว จนผมคิดประชดชีวิต ด้วยการ ไปแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักเค้า เค้าเป็น อาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน แต่ผมก็ประชดประชันจนเกิดเป็นเรื่องราวมากมาย จน ณวันหนึ่ง ผมได้คุยกับเพื่อนสาว ของเพื่อน เธอสวยมาก น่ารักและเข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ตอนนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเธอมีแฟนแล้ว และพอคุยกันมากขึ้น ก็ได้ทราบว่าเธอมีลูกอีก 2 ซึ่งสามีเธอ ได้เสียชีวิตลง ซึ่ง แรกๆ ก็คุยกันปรึกษากันตลอด จนสนิทกันมากคุยได้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องส่วนตัวมากกมาย
เธอเป็นคนภาคกลาง และ อยู่ข้างหลังคอนโดฯของครอบครัวผม ส่วนผมเป็นคนภาคเหนือสุดเรามีพื้นฐานครอบครัว ไกล้ๆกันเพราะเป็นลูกข้าราชการเหมือนกัน
ณ ขณะนั้นชีวิตผมกำลังรุ่งเรือง ไปได้ด้วยดีทุกอย่าง แต่พอ กลางปี 56 ผมเริ่มมีปัญหากับงาน และคนที่ผมประชดแต่งงานด้วย จนมีปากเสียงกันอย่างรุณแรง และผมได้ตัดสินใจครั้งหนึ่งในชีวิต ที่จะแยกทางกับเธอ โดยที่ผม กลับมาคบกับผู้หญิงคนที่ผมคุยด้วย แรกๆเธอไม่รู้ครับ แต่พอรู้เธอก็เสียใจมากเพราะเธอก็รักผมเข้าแล้ว จนวันหนึ่ง เธอตัดสินใจถามผมว่า เรามาคบกันไหม ผมเลยเลือกคบกับเธอ และเลิกรากับ คนที่เป็น อาจารย์ไป
ชีวิตคู่ผมมีความสุขมาก เธอเป็นคนอัธยาศัยดี คุยเก่งทำให้ผมหัวเหราะ ขณะเดียวกัน ผมก็ทำให้เธอมีความสุขมาก ทุกคนคงคิดว่าชีวิตผม มีความสุขมาก เพื่อนๆ และครอบครัวผม รวมทั้งคนสนิท
ผมชอบเวลาเธออ้อน เวลาเธอเอาใจใส่ผมทุกเรื่อง แต่ข้อเสียของผมคือ ผมทำงาน ทำแต่งาน แล้วก็ตวาดเธอ หลายครั้ง บางครั้งก็ปิดโทรศัพท์ ผมรู้ผมทำไม่ดี ทุกครั้งผมจะขอโทษ *** เรื่องมีอยู่ว่า ที่ผมบ้างาน เพราะว่าตอนที่ผมอกหัก ผมทำงานจนผมไม่สนใจใครทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นมาได้*** เธอก็จะให้อภัยผมมาตลอด ผมทำเธอเสียใจไหม(บ่อยครับ จากการที่เวลานั่งรถยนต์ เธอจะชอบป้อนอาหาร แต่ผมเป็นคนไม่ชอบกินอะไีรถ้าผมไม่กิน) เธอดิ้นรนมากครับ ช่วยเหลือผมทุกทางที่จะทำได้ แม้แต่เงินทอง รวมทั้งเวลาของเธอ ผมได้ไปเจอครอบครัว คุณแม่เธอ น่ารักครับ ผมสามารถเข้ากับครอบครัวเธอได้ กับลูกเธอได้ (เคยคุยกันแล้วและผมเคยบอกว่า ถ้าผมรักเธอ ผมต้องรักลูกเธอด้วย)
ตลอดเวลาที่คบกันมาผมมีความสุขมาก มากจนบอกไม่ถูกผมคิดว่า ผมเจอคนที่ใช่แล้ว ครั้งนี้จะเป็นรักครั้งสุดท้ายในชีวิตผม ผมคิดอนาคตตลอด ผมพาเธอมาพบครอบครัวผม และรู้จักครอบครัวผม ครอบครัวผม ไม่ได้โกรธ ไม่เกลียดเค้าเลย เพราะเค้าเป็นคนดีมาก ทุกคนรักเธอ และเวลามีปัญหา เธอจะยื่นมือมาช่วย ทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องเงิน จำนวนมากที่เธอโอนให้ เพื่อให้ผมไปลงทุน
จนมาถึงเมื่อ กลางปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 เหตุการณ์
1. ธุรกิจผมเริ่มไปได้สวย Order มูลค่าหลายล้านมาก แต่ ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ ผมต้องแบกรับพาระ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทางหน่วยงานราชการก็ไม่มีคำตอบให้ผม ผมตามทุกวัน โทร วิ่งเรื่อง แต่ก็ถูกปฏิเสธ และอ้างงบประมาณ ทั้งๆที่ผมมีสัญญา และรอบคอบแล้ว
2. ทางบ้านผมมีแต่ผู้สูงอายุ แม่ผมป่วย และ ต้องดูแลป้าที่เป็นโรคซิมเศร้า และคุณตาที่เป็นอัมพาตแขนขวา คุณพ่อผมเป็นข้าราชการ ทำงานเพื่อรักษาคุณแม่จนแทบไม่มีเวลา
3. เมื่อเดือนกันยายน 58 ลูกน้องทะยอยลาออก และออกไปติดทหาร ทำให้ธุรกิจผมยิ่งแย่ลง เพราะผมคนเดียวต้องรักษาลูกค้าและตามซ่อมบำรุง(งานติดตั้ง Data Center และ Server ) ทำให้ผมมีเวลาให้เธอน้อยลง พอกลับมาบ้านผมก็หมดแรง ทำให้คุยได้น้อยลง เราทะเลาะกันหลายรอบเพราะเธอแนะนำให้ผมหยุด แต่ ปัญหาเธอไม่รู้ว่าที่ผมต้องรักษา ลูกค้า ให้อยู่เพราะมีสัญญามัดตัวผมไว้ เพื่อไม่ให้เป็นคดีความ
เราคุยกันน้อยลง ผมโมโหและปิดโทรศัพท์ใส่เธอหลายครั้ง จนเธอเริ่มไม่สนใจผม
4. ด้านมหาวิทยาลัยกดดันเรื่องตำแหน่ง และ การทำงานพอผมไปแก้ปัญหางาน ที่พนักงานลาออก ทำให้มีปัญหากับทางมหาวิทยาลัย หนักมากถึงขั้นผมต้องพิจารณาตัวเองเพื่อออกงาน(ผมมานั่งคิด ไปเป็นเจ้าของกิจการ ก็ไม่มีพนักงาน ที่ไว้ใจได้ และเงินที่หน่วยงานราชการติดค้าง มีจำนวนมากผมไม่ทุนขนาดนั้น)
และไม่กี่เดือน ทั้งที่ไม่ค่อยได้คุยกัน ผมและเธอได้คิดสร้างอนาคต โดยการซื้อคนโดหรู หน้าเซนทรัล จังหวัดเชียงราย โดยมีความคิดที่ว่า ถ้าไม่ใช้อยู่ ก็ไว้ขายเป็นกำไร หรือให้ นักธุรกิจเช่า ผมก็ตัดสินใจ กู้ธนาคาร โดยตอนนั้น ผมก็สามารถกู้ได้ 100% ก็ได้คอนโดฯ มา และคำพูดคำหนึ่ง เธอพูดว่า "นี่คือบ้านของเรานะ" ผมเริ่มน้ำตาไหล จากคนที่ไม่มีหัวใจ คนที่แข็งกระด้าง ผมฝันว่าผมจะมีลูก และขอเธอแต่งงาน..... และเธอก็ออกจากงานที่เดิม เป็นบริษัทด้านเครื่องมือทางการแพทย์ และ ได้มาอยู่บริษัทใหม่ แต่กลับทำให้เธอเหนื่อยมากขึ้น
และไม่กี่วันปลายเดือน ตุลาคม จนเธอไปพบเพื่อนชายคนหนึ่ง ได้พูดคุยถึงธุรกิจขายไก่ทอด เกาหลี เธอก็มาปรึกษาผม แต่ผมก็มัวแต่ต้องหาเงินมาให้ทันค่าใช้จ่าย รวททั้งปัญหารุมเร้า เธอบอกว่าเธอจะไปทำธุรกิจนี้และชวนผมมาพูดคุย แต่ผมก็บ่ายเบี่ยง (เพราะปัญหาผมยังแก้ไม่หมด และ ค่าใช้จ่ายรวมทั้งทวงถามเงินที่ยังตบเบิกราชการไม่ได้อีกจำนวนมาก และ***ความกดดันที่ เธอวาดหวังกับผม และค่าใช้จ่ายที่เธอต้องการใช้
ดังนั้น เราคุยกันน้อยลง จน เธอเริ่มไปศึกษาขายไก่ เราแทบไม่ได้คุยกัน เพราะเธอรับโทรศัพท์ไม่ได้ จนกว่าเธอจะกลับมา ผมก็เพลียที่จะนอนเพราะความเหนื่อยล้า มากมาย แต่ผมก็ไม่ละที่จะตื่นมาดูเฟสของเธอ กลับว่าเธอ สามารถ Post เฟสบุคขณะที่ผมโทรหาเธอบอกไม่ได้ยิน
ผมเริ่มเครียดแต่เธอบอกไม่มีอะไรแค่เพื่อน ผมก็พยายามคิดไปในทางที่ดี จริงๆ ผมน้อยใจที่เธอรับโทรศัพท์ ผมไม่ได้ และเราคุยกันน้อยลง พอเริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน 58 วันที่ 9 เธอเริ่มไม่โทร ไม่ตามผม ผมรู้ตัวเพราะเธอเคยบอกว่า "ถ้าไม่สนใจเธอ สักวันเธอจะไป" ผมทำได้แค่ เก็บความรู้สึกและก้มหน้าหาเงิน เพื่อมาให้เธอ ที่เธอจำเป็นต้องใช้ในการเปิดกิจการขายไก่ทอด เกาหลี จนไม่ได้คุยกันมากขึ้นและ อยู่ดีๆ เธอก็หายไปจากชีวิตผม
สำคัญ
เธอไม่โทรมา เธอไม่ว่างรับ จนได้ส่งข้อความหากัน สรุปคือ เธอบอกว่าผมไม่มีเวลาให้เธอ และห่างไกลกันมาก อีกอย่าง เธอก็มีพาระเหมือนกัน
......... ผมเงียบ ทั้งๆในใจอยากอธิบาย จนผมเสียใจ เสียใจมาก ไม่เคยถูกเลิกแบบไม่ตั้งตัว และผมได้ทราบจากเพื่อนสนิทผม ซึ่งเป็นเพื่อเธอด้วยว่า
" ผมไม่เคยสนใจเค้า โมโหก็ปิดโทรศัพท์ ใส่ อีกอย่างระยะทางมันไกล
คนที่เค้าคุยด้วยตอนนี้และคบอยู่ ให้สิ่งที่ผมให้เค้าไม่ได้ คือ เวลา และ ความเอาใจใส่ "
ในวันนี้ ผมพูดอะไรไม่ออก และ ใช้วิธีนำรถยนต์ ไปเข้า ไฟแนนซ์ เพื่อโอนเงินให้เธอ เพื่อเธอจะได้ใช้และ ทำตามสัญญาที่ให้เธอไว้ ทั้งๆที่เงินยังไม่ออกไม่ได้ และไม่รู่ว่าชีวิตผมทำไมเป็นแบบนี้ ผมได้โอนเงินให้เธอ และเงินที่เหลือจากการ เอารถยนต์เข้าไฟนแนนซ์ ผมนำมาจ่ายค่าคอนโดน ที่ผมซื้อด้วยกัน ที่จะเป็นบ้าน และค่าใช้จ่ายให้คุณแม่ที่ป่วยโดยไม่ได้บอกใครแม้แต่คนในครอบครัวผม
- ผมต้องหาเงินมาจ่ายภาษีทุกเดือนที่ลูกค้ายังไม่ตั้งเบิก
- เธอโทรมาบอกผมว่าลูกต้องใช้เงิน ค่าเทอม 2 คนเกือบห้าหมื่น (แต่ผมเหลือเงินในบัญชีไม่ถึง 5000 บาท) โดยค่าใช้จ่ายผมก็มาก และเจอลูกค้าสั่งของแล้วไม่เอาอีกหลายราย รวมทั้งขอผ่อน พอติดตั้ง แม้กระทั่ง ซื้อสินค้า แล้วจ่ายเป็นบัตรกำนัล ไม่ใช่ตัวเงิน จนผมเริ่มเครียด
- ตอนนี้ เธอเลือกคนที่เค้ามีอนาคตกว่าผม มีเวลา และอยู่ไกล้กัน และเพื่อนเธอก็แนะนำให้เลิกกับผม ผมยอมรับครับผมเสียใจมาก มากจนผมไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร อีกความรู้สึกผมต้องข่มอารมณ์ ไม่ให้คุณแม่ที่ป่วย คุณป้าที่เป็นโรคซึมเศร้า ในบ้านรับรู้ และผมได้ให้ออกจากการเป็นอาจารย์ รวมทั้ง ได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ ที่จะปิดกิจการของตัวเอง ที่เปิดมานับสิบกว่าปี ลงในวันนี้
ผมเสียใจตรงที่ เธอเลิกกับผมโดยไม่รู้ตัว ไม่ตั้งตั้ว และไม่ใช่เพราะผมมีคนอื่นด้วย
ผมทราบดีว่า ผมไม่ใช่คนที่ดี ร่ำรวย ทำให้เธอทุกอย่างได้ และนิสัยแย่ๆของผม แต่ทุกอย่างผมมีเหตุผล และ มีเพียงผมคนเดียวที่รู้ พอผมอยากรักษาเธอไว้ มันก็....สายเสียแล้ว
สุดท้าย....
ผมอยากให้เรื่องส่วนตัวผมเป็นบทความ ข้อคิดต่างๆ ให้คนที่ต้องเลิอกระหว่างหน้าที่ และคนรัก และครอบครัว ลองไปทบทวนนะครับ
ว่าเราทำอะไรให้ที่สุดแล้ว ณ วันหนึ่ง เราเลือกที่จะทำเพื่อคนที่เรารัก ทั้งคนที่ขึ้นชื่อว่า ภรรยา และต้องดูแลครอบครัวไปด้วย และต้องรักษาหน้าที่การงาน อย่าลืมที่จะ หาเวลาใส่ใจคนที่คุณรักนะครับ และวันหนึ่ง คุณจะไม่เหลืออะไรเลย ทั้งหน้าที่การงาน ครอบครัว คนรัก ......
ปล. ความเสียใจบางครั้งมันมากเกินกว่าจะลุกขึ้นมาได้อีก ขอให้คนที่มาอ่านบทความนี้ รักษาคนที่รักไว้ดีๆนะครับ อย่าปล่อยมือเค้าไป ถึงแม้เราเอง จะโดนทิ่มแทงแทบเหลือดไม่เหลือสักหยด.... ผมก็อยากย้อนไปจับมือเค้าไว้และทนเจ็บไว้คนเดียว
ขอบคุณครับที่สละเวลาอ่านครับ กับเรื่อง "ชั่วชีวิตคนเราจะมีใครที่โชคร้ายเท่าผมอีก"