ขอกำลังใจและคำแนะนำให้ผมสามารถพาคนรักผ่านเหตุการณ์ที่เลวร้ายทางจิตใจไปได้หน่อยครับ

ผมและแฟน อายุ 30 กว่าทั้งคู่ เป็นข้าราชการบรรจุใหม่ทำงานอยู่คนละหน่วยงานกัน บ้านแฟนเป็นคนจีนทำธุรกิจค้าขาย เป็นเถ้าแก่ระดับอำเภอมีแต่ลูกสาวและมีแนวคิดแบบกงสี ผมคบกับแฟนเมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ตอนนั้นแฟนยังช่วยค้าขายอยู่ทางบ้าน เธอเรียนจบมาสายเทคจึงอยากพัฒนาธุรกิจของที่บ้าน หลังจากที่เธอเรียนจบปริญญาโทและทำงานในองค์การมหาชนมาได้ 5 ปีเธอก็ลาออกเพื่อกลับมาช่วยที่บ้านเต็มตัว แต่เกิดปัญหาขึ้นบางอย่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แฟนผมเริ่มเบนเข็มมาสอบราชการแต่ถูกขัดขวางจากทางบ้าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แฟนผมโดนคุณแม่พาคนมาจับคู่ให้ เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่แต่งงานมีลูกแต่เลิกราไปแล้วเป็นผอ.อะไรสักอย่าง แฟนผมปฏิเสธไปด้วยเหตุผลว่ามีแฟนแล้ว แต่คุณแม่ไม่พอใจและขังไว้ในบ้าน เธอจึงวางแผนหนี
แฟนผมหนีมาก่อนวันสอบพนักงานราชการ 1 วัน จึงมาพักกับผม ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ผมบรรจุเริ่มงานที่ใหม่พอดี ทำให้คุณแม่ของเธอตามมาเอาเรื่องผมที่ที่ทำงาน คุณแม่เธอพา น้องสาวแฟนผม พี่ชายของคุณแม่ของแฟนผม และผู้ชายวัยรุ่นมาข่มขู่ผม และนำแฟนผมกลับบ้าน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากนั้นแฟนผมก็ได้รับคำสั่งเรียกเข้าทำงานเป็นพนักงานราชการ ทางบ้านก็ยังตั้งเงื่อนไขอีกว่าถ้าไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการภายใน 2 ปีจะให้ออกและกลับมาขายของที่บ้าน หรือถ้าบรรจุได้ก็จะให้โอนย้ายมาอยู่ใกล้บ้านให้ได้
เรื่องราวของพวกผมก็ดูจะนิ่ง ๆ มาสักระยะหนึ่ง ผมเริ่มเข้ากับที่บ้านเธอได้ ไปช่วยงานที่ร้านเธอทุกวันหยุดยาว ผมไปเที่ยวกับที่บ้านเธอ ไปไหว้พระด้วยกัน จนที่บ้านเธออนุญาตให้เราพักอยู่ด้วยกัน ส่วนเธอก็ได้บรรจุเป็นข้าราชการในปีถัดมา
แต่แล้วก็เกิดเรื่องซ้ำรอยขึ้นเป็นครั้งที่ 2
แฟนของผมไม่สบาย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ผมกลับมาพักที่บ้าน ในระหว่างนี้แม่ของเขาก็ส่งลูกสาวอีกคนมาคอยจับตาดูพฤติกรรมแฟนผมช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ และบังคับให้เลิกกันกับผม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
มีอยู่วันหนึ่งฝนตก รถติดหนักมาก แฟนผมนั่งรถ ปอ. เรื่อย ๆ กลับคอนโด กลับถึงเกือบสองทุ่ม คุณแม่ถามว่า กินข้าวหรือยัง เธอตอบว่าเธอไม่หิว เพียงเท่านั้น คุณแม่เธอก็ด่าสวนกลับมาว่า ยิ้ม xึงไปกินกับอี..(ผม) มาใช่ไหม แล้วก็หาเรื่องทะเลาะหนัก สุดท้ายก็ขึ้นมาจากต่างจังหวัด ยึดโทรศัพท์แฟนผม บังคับให้ส่งข้อความมาบอกเลิกผม จะบังคับให้ออกจากราชการ ตบตี ทำร้ายร่างกาย ด่าทอ และกักขัง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น แฟนผมก็พยายามอยู่ให้เงียบที่สุด คุณแม่ของเธอเก็บเครื่องใช้ของผมมาฝากนิติของคอนโดเอาไว้ หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ ผมติดต่อนิติเพื่อรับของ นิติแจ้งว่าไม่ทราบ ผมจึงเข้าไปติดต่อที่นิติของคอนโดเอง และได้พบว่า นิติของคอนโดร่วมกับ รปภ. นำข้อมูลของแฟนผม (ซึ่งเป็นเจ้าของ) ไปแจ้งให้คนภายนอกทราบ ผมก็โดนข่มขู่ทำร้ายและขู่ว่าจะใส่ร้ายให้ออกจากราชการ

เหตุการณ์ในวันนั้นแฟนผมตัดสินใจปรึกษาผู้บังคับบัญชา และได้รับคำแนะนำให้หาที่พักบริเวณใกล้ที่ทำงาน และตัดการติดต่อทุกช่องทางกับทางบ้าน โดยมีอยู่วันหนึ่งผมกับแฟนของผมตัดสินใจมาเอาของใช้สำหรับดำรงชีวิตเพื่อไปอยู่ที่พักใหม่ให้แฟน จากที่พักข้าราชการของผม ปรากฏว่า คุณแม่ของแฟนผม พร้อมพวกนั่งรถแท๊กซี่มาดักทางเข้าที่พักของผมและวิ่งไล่ โชคดีที่ผมเข้ามาด้านในรั้วได้ก่อน และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ได้เข้ามากั้นไว้ได้ทัน ผมแจ้งตำรวจให้เข้ามาระงับเหตุ คุณแม่แฟนผมและพรรคพวกพยายามจับมอเตอร์ไซค์ผม ผมก็หักมอเตอร์ไซค์หนี จนเธอล้มเพราะพยายามหยุดมอเตอร์ไซค์ด้วยมือเปล่า เธอพยายามแจ้งความผมว่าทำร้ายร่างกายและล่อลวงลูกสาวเธอ แต่ตำรวจไม่รับ เธอพยายามพาตัวแฟนผมกลับแต่แฟนผมไม่ยินยอม ตำรวจจึงเข้ามาไกล่เกลี่ยให้และแจ้งว่าแฟนผมบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่สามารถบังคับได้

ต่อมาแม่ของแฟนผมได้ยื่นเสนอมาสองข้อว่า ให้แฟนผมเปลี่ยนชื่อผู้รับเงินในบัญชีของร้านออนไลน์จากชื่อแฟนผมเป็นชื่อน้องสาว (แฟนผมทำเอกสารมอบอำนาจให้ไปทำหลายครั้งแล้วแต่เขาไม่ยอมทำต่อ) ส่วนอีกข้อคือให้ยกคอนโดให้กงสี
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แล้วจะไม่มายุ่งอีก ตอนนี้แฟนผมได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอว่าเป็นโรคซึมเศร้ารุนแรง และภาวะหวาดวิตก เธอฝันว่าถูกคนที่บ้านตามรังควาญ เธอกลัวรถแท็กซี่เขียวเหลือง (รถญาติที่คุณแม่เอาคนมาบุกบ้านพักผมวันนั้น) กลัวการอยู่คนเดียว ส่วนตัวผมมีภาวะเครียดและภูมิคุ้มกันตก

ที่จริงแล้วพวกผมมีการยื่นขอคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพจากศาลเยาวชนและครอบครัวกลางไปแล้วด้วย แต่ทางผู้พิพากษาวินิจฉัยว่าไม่เป็นเคสเร่งด่วน ต้องดำเนินการตามกระบวนการซึ่งต้องเผชิญหน้าในกระบวนการไกล่เกลี่ยและใช้เวลาพอสมควร แฟนผมทนความกดดันไม่ไหวจึงขอถอนไปทั้งสองครั้ง
ส่วนการขอความช่วยเหลือจากองค์กรต่าง ๆ เคยขอไป ทางกระทรวง พม. ก็แจ้งว่าไม่อยู่ในอำนาจ คุยกับทางอัยการก็แจ้งว่าไม่มีคดี ทางตำรวจไม่รับแจ้งเป็นคดี มูลนิธิกับสื่อแจ้งไปก็เงียบ

ตอนนี้ที่ผมทำได้ ผมทำได้แค่รับฟังคำว่ากลัว รู้สึกไม่ปลอดภัย อยู่ทุกวัน ผมพยายามปลอบเธอแล้ว แต่ตัวผมเองก็ไม่สามารถปลอบเธอได้มากนักเพราะตัวผมเองก็กลัวเหมือนกัน เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแปร ไม่มีกฏหมาย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่