น้องพัชไม่ได้เครมประกันและแถมถูกยกเลิกสัญญา ข้ออ้างชัดเจนแล้วหลังจากพิจารณาแล้วพิจารณาอีก คือทางประกันไทยพานิชย์บอกว่าวันที่13เมษา58น้องได้รับการรักษาปอดแตกแอดมิดที่โรงพยาบาลอุบลรักษ์ หมอผู้ทำการรักษาคือนพ.บัลลังษ์ และทางพนักงานคนขายประกันยืนยันว่าเค้าไม่ได้พิจารณาที่น้องพัชป่วยแต่เกิด แต่พิจารณาวันที่13 และได้รับการยืนยันจากเวชระเบียงของโรงบาลเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทางเรายืนยันว่าลูกเราป่วยตอนแรกเกิดติดเชื้อหลังจากนั้นลูกเราก็ไม่เคยป่วยอีกเลยจนมาเดือนตุลาคม58ซึ่งหลังจากที่พนักงานโทรมาตอน6โมงครึ่ง เราก็ยืนยันเช่นเดิมและได้โทรไปเวชระเบียงแล้วเหมือนกัน ทางโรงพยาบาลก็ยังคงยืนยันกับเราว่าน้องไม่เคยแอดมิดวันที่13มารับวัคซีน จนคุยกันและถูกเราต่อว่าอย่างหนักและวางสายกันไป พี่จอมได้โทรไปโรงพยาบาลอีกครั้งตอน1ทุ่มคุยกับเวชระเบียงทางนั้นก็ยืนยันเหมือนเดิมว่าลูกเราไม่เคยแอดมิด มีแต่เดือนตุลารักษาอยู่11วัน และทางเราจะดำเนินการอีกครั้งโดยไปที่โรงบาลพร้อมใบยืนยันอีกครั้ง 2-3ครั้งที่รู้สึกว่าทางธนาคารเข้าใจเจตนาของคนใช้บริการแบบผิดๆซึ่งถ้าเป็นคนอื่นเราไม่รู้ แต่ทางเราไม่ได้แคกับเงินที่จะเครมได้ แต่เราโกรธตรงที่ว่าลูกเราไม่ได้รับความเป็นธรรมมันไม่ยุติธรรมสำหรับเค้า ลูกเราแข็งแรงดีและไม่เคยได้รับการรักษาใดๆขนาดหวัดธรรมดาก็ไม่เคย เราถามว่าถ้าลูกเราป่วยตั้งแต่แรกหลักฐานเราให้ทุกอย่างคุณพิจารณาผ่านทำไม เราไม่สนว่าจะทำได้หรือไม่ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ช่างมัน แต่ทางพนักงานยืนยันว่าทางที่พิจารณาเรื่องยืนยันว่าตั้งแต่แรกเกิดไม่ใช่สาเหตุจบไปแล้วพิจารณาแล้ว แต่ที่เครมไม่ผ่านคือวันที่13เมษายน58ลูกเราได้รับการรักษาปอดฉีก เรานี่ยิ่งโกรธ ในเมื่อคุณเป็นบริษัทใหญ่โต แต่คุณกลับไม่เชื่อการยืนยันของเราหรือให้ทางเราหาหลักฐานมาแสดงแม้แต่น้อย คุณยืนยันหลักฐานจากโรงพยาบาลเท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดผิดพลาดจากทางแพทย์ทางโรงพยาบาลหรือคนพิจารณาเรื่องก็แล้วแต่ แต่ในเมื่อเรายืนยันว่าลูกเราไม่ได้รับการรักษาและไม่เคยป่วยคุณก็ควรที่จะฟังเราหรือรอหรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ตัดแบบเรานี่ผิดเต็มๆ ถ้าเป็นคนอื่นเราไม่รู้แต่ด้วยนิสัยสันดารของเรา ไม่ชอบความไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ที่เราฝากเงินกับทางธนาคารไทยพานิชย์ เพราะเราไว้วางใจและทำไมถึงทำประกันถ้าคุณถามพนักงานเก่าสาขาใหญ่จังหวัดศรีสะเกษคุณจะรู้เลยว่าเราไม่เคยคิดจะทำถึงจะอ้อนแค่ไหนเราก็ไม่ทำ แต่เมื่อเรามีลูก เรามองอนาคตไกลกว่าที่ตอนไม่มีอย่างมาก เราจึงทำการฝากกรมธรรม์ปี190,000บาทฝาก5ปีในชื่อของสามีซึ่งเงินนี้เป็นเงินเก็บฝากไว้ให้น้องพัชตั้งแต่รู้ว่าท้องคนละ12,000บาทรวมแล้วฝากให้น้องพัชต่อเดือน24,000บาท และพอน้องพัชเกิดก็ได้ทำเพิ่มส่งปีละ5หมื่น ถือคนละฉบับกับน้องพัชและประกันสุขภาพอีกคนละฉบับ เงิน3แสนกว่าบาทต่อปีที่เราเสียไปให้กับธนาคารถามว่าสุดท้ายแล้วคุ้มไหมกับส่วนต่างที่ได้บอกเลยไม่คุ้มแม้แต่น้อย แต่ที่เรายอมเพราะเราต้องการสร้างหลักประกันให้กับลูกเรา เราไม่ได้มีสมบัติอะไรมากมายให้กับเค้า เราก็หวังเงินที่ออมในอนาคต
นี่แหละ โดยที่ไม่ได้หวังส่วนต่างนะแต่ก็ดีกว่าฝากออมทรัพย์เพราะจะถอนออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ ตัวเราๆไม่ได้คิด แต่ที่เราทำทั้งหมดเพื่อลูก แต่คำที่คุยทางโทรศัพท์แล้วทำให้ตัดสินใจว่าจะทิ้งเงินทั้งหมดที่เสียไปคือเราถามถึงความยุติธรรมแต่พนักกับบอกให้เราไปร้องเรียนกับ คปภ และได้ยินจากอีกคนว่าเราต้องการเงินเครมมากเลยเหรอ เฮ้ยง่ายไปไหมกับคำพูดระดับผู้บริหาร ถ้าเป็นเราๆจะไม่ใช้สมองซีกซ้ายคิด เราจะใช้ซีกขวา ว่าเงินที่ได้ไม่ได้คุ้มเลยนะ กับเสียทั้งเวลาความรู้สึกความไว้วางใจ ลูกเราอยู่โรงบาลเราเสียไปแสนกว่าบาท เราเครมได้ก็น่าจะประมาณ5หมื่น เฮ้ยเราอยากให้ลูกเราป่วยเหรอ เฮ้ยเราอยากเสียเงินส่วนตัว5-6หมื่นทิ้งเหรอ สิ่งที่เราต้องการคือความยุติธรรมให้กับลูกเรา ถ้าเราถูกตัดสิทธิ์แล้วเรายอม เราเท่ากับเป็นแม่ที่แย่ที่ทิ้งรอยแผลให้กับลูก เพราะถ้าเรายอมเท่ากับลูกเราเสียประวัติ และประกันตัวอื่นลูกเราจะไปทำที่ไหนได้ และที่สำคัญคือถ้าเรายอมเท่ากับว่าเราผิดเต็มๆ ก็ลูกเราไม่ได้ป่วยลูกเราไม่ได้เป็นอะไรเราจะยอมได้ไงความยุติธรรมความเป็นธรรม อาจจะเรียกร้องจากธนาคารไม่ได้ แต่จะได้ไม่ได้เราก็ต้องทำ เรายังคนยืนยันกับทางพนักงานไทยพานิชย์พร้อมสมุดสีชมพูมีประวัติการรักษาตัวยาที่ใช้ เรายื่นให้หมดโดยไม่ปกปิดและรับรู้ด้วยว่าลูกเราเกิดวันที่9ก.พ58 ออกจากโรงพยาบาลวันที่10มีนาคม58โดยติดเชื้อจากในช่องคลอด และเข้ารับการรักษาอีกทีคือเดือนตุลาคม58เป็นการติดไวรัสRSVซึ่งเป็นการป่วยไข้ปกติ และทุกครั้งที่มีประวัติกับทางโรงพยาบาลวันที่13เมษายน58คือน้องพัชเข้าไปรับวัคซีนครบ2เดือน ไม่ได้ปอดฉีกตามที่คนที่พิจารณาเรื่องของธนาคารไทยพานิชย์เป็นผู้กล่าวหา 10-12ก.พ58น้องพัชอยู่ขอนแก่นไปหาปู่กับย่า 13รับวัคซีน 16เรากลับไปรับวัคซีนที่คลีนิคหมอบัลลังอีกครั้ง เพราะฉนั้นถ้าน้องพัชปอดฉีก จะไม่สามารถรับวัคซีนได้ ดีที่เป็นคนชอบโพสต์ทุกอย่างลงเฟสบุคถึงย้อนกลับไปดูเรื่องราวได้ทั้งหมด เรามีรูปและช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตกับน้องพัชในแต่ละวันเราทำอะไรที่ไหนในภาพคอมเม้นบางภาพจะมีตัวแทนที่ขายประกันให้เรา น้องตัวแทนอะดีคอยขอร้องให้เราใจเย็นๆไม่ได้เอาน้องมาต่อว่าหรืออะไร แต่อยากบอกผู้บริหารที่มีหน้าที่ดูแลทั้งหมดคุณควรให้เกียรติพนักงานของคุณบ้างถามเค้าซักนิดว่าสิ่งที่เค้าโต้แย้งให้กับลูกค้าเป็นแบบไหน เวลาให้เค้าทำงานเค้าหาเงินหาลูกค้าให้คุณเลือดที่แทบกระเด็น แต่พอลูกค้าไม่ได้รับการดูแลกลับมองข้ามเค้า กูไม่สนกูไม่ฟัง ความคิดเห็นกูถูกเสมอ กูตัดสินแล้วคือจบ เราไม่ได้อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เรามีหน้าที่ของเราที่ต้องเลี้ยงชีพต่อไป แต่ที่ออกมาเพื่อเรียกร้องความถูกต้องความยุติธรรมให้กับเด็ก8เดือนกับ2วัน เด็กเค้าตอบโต้ไม่ได้แต่ด้วยหน้าที่ของคนเป็นแม่ฉันจึงต้องทำหน้าที่ปกปกหาความเป็นธรรมให้กับเค้า
เราลงรูปข้อความเพื่อนๆในเฟสที่เข้ามาเม้นตั้งแต่วันที่10-18เมษายน58ซึ่งลูกเราแค่ไปฉีดวัคซีนไม่ได้ป่วยจนปอดแตกและถ้าป่วยคงต้องรักษานานอาการต้องหนัก
ประกันไทยพานิชย์ทำไม่ถูกต้อง
นี่แหละ โดยที่ไม่ได้หวังส่วนต่างนะแต่ก็ดีกว่าฝากออมทรัพย์เพราะจะถอนออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ ตัวเราๆไม่ได้คิด แต่ที่เราทำทั้งหมดเพื่อลูก แต่คำที่คุยทางโทรศัพท์แล้วทำให้ตัดสินใจว่าจะทิ้งเงินทั้งหมดที่เสียไปคือเราถามถึงความยุติธรรมแต่พนักกับบอกให้เราไปร้องเรียนกับ คปภ และได้ยินจากอีกคนว่าเราต้องการเงินเครมมากเลยเหรอ เฮ้ยง่ายไปไหมกับคำพูดระดับผู้บริหาร ถ้าเป็นเราๆจะไม่ใช้สมองซีกซ้ายคิด เราจะใช้ซีกขวา ว่าเงินที่ได้ไม่ได้คุ้มเลยนะ กับเสียทั้งเวลาความรู้สึกความไว้วางใจ ลูกเราอยู่โรงบาลเราเสียไปแสนกว่าบาท เราเครมได้ก็น่าจะประมาณ5หมื่น เฮ้ยเราอยากให้ลูกเราป่วยเหรอ เฮ้ยเราอยากเสียเงินส่วนตัว5-6หมื่นทิ้งเหรอ สิ่งที่เราต้องการคือความยุติธรรมให้กับลูกเรา ถ้าเราถูกตัดสิทธิ์แล้วเรายอม เราเท่ากับเป็นแม่ที่แย่ที่ทิ้งรอยแผลให้กับลูก เพราะถ้าเรายอมเท่ากับลูกเราเสียประวัติ และประกันตัวอื่นลูกเราจะไปทำที่ไหนได้ และที่สำคัญคือถ้าเรายอมเท่ากับว่าเราผิดเต็มๆ ก็ลูกเราไม่ได้ป่วยลูกเราไม่ได้เป็นอะไรเราจะยอมได้ไงความยุติธรรมความเป็นธรรม อาจจะเรียกร้องจากธนาคารไม่ได้ แต่จะได้ไม่ได้เราก็ต้องทำ เรายังคนยืนยันกับทางพนักงานไทยพานิชย์พร้อมสมุดสีชมพูมีประวัติการรักษาตัวยาที่ใช้ เรายื่นให้หมดโดยไม่ปกปิดและรับรู้ด้วยว่าลูกเราเกิดวันที่9ก.พ58 ออกจากโรงพยาบาลวันที่10มีนาคม58โดยติดเชื้อจากในช่องคลอด และเข้ารับการรักษาอีกทีคือเดือนตุลาคม58เป็นการติดไวรัสRSVซึ่งเป็นการป่วยไข้ปกติ และทุกครั้งที่มีประวัติกับทางโรงพยาบาลวันที่13เมษายน58คือน้องพัชเข้าไปรับวัคซีนครบ2เดือน ไม่ได้ปอดฉีกตามที่คนที่พิจารณาเรื่องของธนาคารไทยพานิชย์เป็นผู้กล่าวหา 10-12ก.พ58น้องพัชอยู่ขอนแก่นไปหาปู่กับย่า 13รับวัคซีน 16เรากลับไปรับวัคซีนที่คลีนิคหมอบัลลังอีกครั้ง เพราะฉนั้นถ้าน้องพัชปอดฉีก จะไม่สามารถรับวัคซีนได้ ดีที่เป็นคนชอบโพสต์ทุกอย่างลงเฟสบุคถึงย้อนกลับไปดูเรื่องราวได้ทั้งหมด เรามีรูปและช่วงเวลาที่เราใช้ชีวิตกับน้องพัชในแต่ละวันเราทำอะไรที่ไหนในภาพคอมเม้นบางภาพจะมีตัวแทนที่ขายประกันให้เรา น้องตัวแทนอะดีคอยขอร้องให้เราใจเย็นๆไม่ได้เอาน้องมาต่อว่าหรืออะไร แต่อยากบอกผู้บริหารที่มีหน้าที่ดูแลทั้งหมดคุณควรให้เกียรติพนักงานของคุณบ้างถามเค้าซักนิดว่าสิ่งที่เค้าโต้แย้งให้กับลูกค้าเป็นแบบไหน เวลาให้เค้าทำงานเค้าหาเงินหาลูกค้าให้คุณเลือดที่แทบกระเด็น แต่พอลูกค้าไม่ได้รับการดูแลกลับมองข้ามเค้า กูไม่สนกูไม่ฟัง ความคิดเห็นกูถูกเสมอ กูตัดสินแล้วคือจบ เราไม่ได้อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ เรามีหน้าที่ของเราที่ต้องเลี้ยงชีพต่อไป แต่ที่ออกมาเพื่อเรียกร้องความถูกต้องความยุติธรรมให้กับเด็ก8เดือนกับ2วัน เด็กเค้าตอบโต้ไม่ได้แต่ด้วยหน้าที่ของคนเป็นแม่ฉันจึงต้องทำหน้าที่ปกปกหาความเป็นธรรมให้กับเค้า
เราลงรูปข้อความเพื่อนๆในเฟสที่เข้ามาเม้นตั้งแต่วันที่10-18เมษายน58ซึ่งลูกเราแค่ไปฉีดวัคซีนไม่ได้ป่วยจนปอดแตกและถ้าป่วยคงต้องรักษานานอาการต้องหนัก