กลร้าย อุบัติรัก
เขียน... ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/34058785
บทที่ ๒ http://pantip.com/topic/34061303
บทที่ ๓ http://pantip.com/topic/34064438
บทที่ ๔ http://pantip.com/topic/34066898
บทที่ ๕ http://pantip.com/topic/34400930
บทที่ ๖ http://pantip.com/topic/34409252
“ตกลงมุกรวีมาทำอะไรที่นี่กันแน่ครับแม่” เขมินท์ยิงคำถามทันทีที่เดินเข้าห้องผู้เป็นมารดาเรียบร้อย
“ก็มาเป็นคู่หมั้นลูกชายแม่ไง” คุณนายจันทร์ฉายตอบปัดๆเดินไปนั่งลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง เสหยิบกระปุกครีมมาแต้มลงบนหน้า
“ไม่ใช่ว่าหนีอะไรมาหรือครับ” พูดพลางหย่อนตัวลงบนเตียง สายตาจับจ้องไปที่มารดา
คุณนายจันทร์ฉายมองหน้าลูกชายคนโตผ่านบานกระจก ถอนหายใจแรงๆหนึ่งที ยอมหันมาเผชิญหน้า
“ก็ได้ยินหมดแล้วยังจะมาถามอะไรอีก”
“ที่ผมรู้มันแค่เดา ผมอยากรู้รายละเอียดจากปากแม่มากกว่านี่ครับ”
คุณนายจันทร์ฉายพยักหน้ารับรู้ ยอมเปิดปากเล่าอย่างเสียมิได้ ตั้งแต่เรื่องมรดกตามมาด้วยจดหมายขู่ กับลูกกระสุนเจาะจงถึงมุกรวีที่ถูกส่งไปที่บ้าน มาจนกลายเป็นการหมั้นกำมะลอครั้งนี้
“ถ้าอย่างนั้น.. เรื่องหมั้น?”
“มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว” ผู้เป็นแม่ยอมรับ พยายามจับสังเกต เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้ นิ่งไปเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ไม่ได้มีท่าทางโล่งอกโล่งใจอย่างที่คิดไว้ตอนแรก จึงพูดต่อ
“อย่างกับละครน้ำเน่าเลย ว่ามั้ย”
“มีคนที่น่าสงสัยอยู่บ้างหรือยังครับ”
“เท่าที่คุยกับอรุณก็มีอยู่ เยอะด้วยละ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ไม่มีหลักฐานอะไรด้วย”
“เขาไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ยครับ”
“น้องไม่รู้หรอก แต่เรานะรู้แบบนี้แล้ว จะเอายังไงต่อ” คุณนายจันทร์ฉายถาม
“แม่ก็จะไม่บังคับหรอกนะ เพราะถ้าหนูมุกยังอยู่ใกล้ๆตัวเขม เขมก็อาจพลอยลำบากไปด้วย ดังนั้นแม่ให้สิทธิ์เขมในการตัดสินใจ”
เขมินท์นิ่งไปเมื่อฟังมารดาพูดจบ ความรู้สึกห่วงกังวลตื้อขึ้นมา แม้ที่ผ่านมาจะแสดงให้เห็นได้ชัดว่าตัวเธอไม่ใช่คนบอบบาง ที่ต้องคอยทะนุถนอมเหมือนหญิงสาวทั่วๆไป แต่อย่างไรเธอก็คือผู้หญิง หากเกิดอะไรขึ้นเธอจะสามารถรับมือ และจัดการกับมันได้หรือ
“อีกอย่างลูกชายแม่อาจจะลำบากใจที่ต้องมีพันธะกับใครก็ไม่รู้ สาวๆที่มาติดอาจจะหายเกลี้ยงด้วยนา” คุณนายจันทร์ฉายแกล้งว่า
“ถ้าผมสนใจ คงไม่อยู่เกาะแม่กินมาจนป่านนี้หรอกครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“เอ และตกลงว่ายังไงนะ” คุณนายจันทร์ฉายถามซ้ำ ทั้งที่จากแววตาของอีกฝ่ายก็ทำให้พอจะรู้คำตอบอยู่ในใจ
“ขืนปล่อยไป คงลุยดะแน่ ให้อยู่ที่นี่นะดีแล้วละครับ”
“แหม มันต้องอย่างนี้สิ”
หลังจากวางสายคุณจันทร์ฉายแล้ว คุณอรุณจึงกลับมาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวนุ่ม ความว้าวุ่นใจในตอนแรกค่อยสงบลงเมื่อรู้ว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนยังคงอยู่อย่างสุขกายสบายใจ มืออวบอุมกดรีโมตเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีรายการใดน่าสนใจจึงค้างไว้ที่รายการข่าวรายการหนึ่งที่มีพิธีกรคู่ชายหญิงกำลังรายงานพยากรณ์อากาศอยู่
กริ๊งง...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นคุณอรุณหันไปหยิบ เห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ของบ้านใหญ่ท่าทีจึงเปลี่ยนมาเป็นระแวดระวังทันที
“สวัสดีครับ อรุณครับ”
“ฉันทราบ”
“ออ คุณพิมพ์ผกา มีอะไรให้รับใช้หรือครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งๆจะประชดประชัน
“ขอบคุณสำหรับชื่อเต็มยศนะ ฉันก็ชอบให้เธอเรียกฉันแบบนั้น” อีกฝ่ายตอบมาน้ำเสียงประชดประชันไม่แพ้กัน
“ฉันอยากคุยกับยายมุก”
“อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว ยายมุกอยู่เชียงรายครับ”
“เธอแน่ใจหรือว่ายายมุกอยู่ที่นั่นจริงๆ”
“แล้วคุณพิมพ์ผการู้ได้ยังไงละครับว่ามุกไม่ได้อยู่ที่นั่น” คุณอรุณถามกลับไป
“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ ทั้งเรื่องที่อยู่ของมุก แล้วก็สิ่งที่เธอกำลังคิดที่จะทำ”
“มุกเป็นลูกสาวของผมครับ ผมไม่มีทางทำอะไรที่ทำร้ายเธอแน่ๆ”
“ยายมุกคือหลานฉันเหมือนกัน ถึงแม่อรจะตายไปแล้ว แต่เธอก็คงไม่คิดที่จะตัดขาดฉันกับหลานฉันหรอกนะ ฉันมีสิทธ์ที่จะรู้ว่าหลานฉันทำอะไร ไปร่วมหัวจมท้ายอยู่กับใครที่ไหน”
“ผมก็ไม่เคยคิดที่จะให้ยายมุกตัดญาติขาดมิตรกับญาติผู้ใหญ่ ‘ที่ควรเคารพ’ หรอกครับ” ชายสูงวัยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ติดจะเยาะในน้ำเสียง
“ไม่ตัด แต่ก็ไม่ให้คุยสินะ ฮึ ความหมายมันช่างแตกต่างกันเหลือเกินนะ” คุณพิมพ์ผกาพูดอย่างประชดประชัน
“ถึงเธอจะกีดกันฉัน ฉันก็มีหนทางของฉันได้ ฉันไม่มีวันปล่อยยายมุกไปหรอก!” พูดจบคุณพิมพ์ผกาก็กระแทกโทรศัพท์วางลงเสียงดัง
อรุณนิ่งไปอย่างครุ่นคิด รู้สึกหวั่นใจขึ้นมากับคำพูดทิ้งท้ายของพิมพ์ หล่อนจะโลภมากพอที่จะทำเรื่องแบบนี้หรือไม่ หรืออาจเป็นเขาที่คิดมากเกินไป บางทีอาจเป็นแค่ความห่วงใยที่เธอมีให้กับหลานสาวจริงๆ
ขณะที่กำลังคิดไม่ตก หูที่ยังแนบโทรศัพท์ค้างอยู่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากปลายสาย คาดว่าเกิดจากการที่คุณพิมพ์ผกาวางโทรศัพท์ลงไม่ตรงแป้น คุณอรุณที่กำลังจะเป็นฝ่ายกดตัดสายเสียเองชะงักมือ เมื่อได้ยินเสียงคล้ายเสียงทะเลาะกันดังมาจากปลายสาย ดังมากจนพอจับใจความได้
“แม่เลิกยุ่งกับชีวิตผมเสียทีเถอะ!”
“ทำไมพูดแบบนี้ แม่เป็นแม่ของฑูรนะ” เสียงคร่ำครวญตัดพ้ออีกฝ่ายที่คุณอรุณจะได้ว่าเป็นเสียงคุณวันวิสาข์
“เป็นแม่หรอ แม่ยังคิดว่าผมเป็นลูกอีกหรอ แม่ไม่เคยทำอะไรผมเลยสักอย่าง ถ้าทำหน้าที่ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาเกะกะให้รำคาญ!”
“ฑูรอยากได้อะไร แม่ก็หามาให้ฑูรทุกอย่าง ยังจะเอาอะไรอีก”
“ถ้าผมอยากได้มรดกของคุณตา แม่ให้ผมได้มั้ยละ”
“มัน.. จะเป็นไปได้ยังไงกัน”
“เฮอะ! ทั้งแม่ทั้งตาก็ลำเอียงเหมือนกันหมดรักกันแต่พี่มุก ทั้งๆที่มันไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ ไม่ได้มาดูดำดูดีอะไรกะคนที่นี่เลย แต่มันกลับได้ทุกอย่างไป!”
“แม่ไม่ได้รักฑูรน้อยกว่าใครเลยนะ ส่วนเรื่องมรดกคุณตาท่านคงมีเหตุผล ที่จริงมุกก็เป็นเด็กน่ารัก ฑูรก็น่าจะ...”
“ถ้าไม่มีพี่มุกอะไรๆก็คงจะดีกว่านี้” ไพฑูรแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ
“ฑูร! ทำไมพูดแบบนี้ ยายมุกเป็นพี่เรานะ”
“แม่รู้เอาไว้อย่างนะ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองมีพี่หรอก ผมเกลียดมัน เกลียด ตั้งแต่เกิดมาแล้ว!” จากนั้นเสียงโต้เถียงก็เงียบไปเหลือเพียงเสียงร้องเรียกตามหลังลูกชายของผู้เป็นแม่
อรุณตัดสินใจกดวางสายวางโทรศัพท์ลงข้างๆตัว รู้สึกมึนงงกับสิ่งที่พึ่งได้ยินมา ถึงเขาพอจะรู้อยู่ว่านายฑูรไม่ค่อยชอบหน้าลูกสาวของตน แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักคิดว่าคงเป็นการเขม่นกันประสาเด็กๆเท่านั้น ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นความรู้สึกที่รุนแรงขนาดนี้
อรุณเอนหลังลงพิงกับโซฟา มือข้างหนึ่งนวดขมับตัวเองเบาๆ จนตอนนี้ ในความคิดเขา ทุกๆคนรอบตัวน่าสงสัยด้วยกันทั้งนั้น ..เฮ้อ บางทีนะ บางทีถ้าทางนู้นเขาเต็มใจ ให้ยายมุกไปอยู่ซะให้เป็นเรื่องเป็นราวคงดี!
ข้าวต้มกุ้งหอมกรุ่นส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วบ้าน เขมินท์เดินตามกลิ่นเข้ามาในครัว โอบมารดาจากทางด้านหลัง สูดกลิ่นหอมของข้าวต้มกุ้งฝีมือมารดา เอ่ยเสียงออดอ้อน
“วันนี้คุณนายจันทร์ฉายลงครัวเองเลยหรอเนี่ย”
“แน่นอนจ๊ะ ต้องแสดงฝีมือซะหน่อย หนูมุกนอนซมแบบนั้นต้องบำรุงเยอะๆจะได้หายเร็วๆ” คุณจันทร์ฉายพูดยิ้มแย้มโอบอ้อมอารีเมื่อพูดถึงหญิงสาว ทำเอาชายหนุ่มยู่หน้าใส่
“เอาใจกันเข้าไป ทีกับลูกชายตัวเองแท้ๆ ไม่เห็นเอาอกเอาใจขนาดนี้ มันน่าน้อยใจนัก” ชายหนุ่มเอ่ยตัดพ้อ
“ทำไมจะเอาใจไม่ได้ ก็คนนี้ว่าที่ลูกสะใภ้แม่” ผู้เป็นแม่หันมายิ้มใส่ตาลูกชาย
“ฮะ ลูกสะใภ้แม่ได้ยังไง ผมยังไม่ได้บอกว่าผมแต่งงานกับยัยหนูมุกซะหน่อย” ชายหนุ่มตั้งแง่
“แกไม่แต่งก็ไม่เป็นไร แม่ยังมีลูกชายอยู่อีกคนนะ อย่าลืม” คุณนายจันทร์ฉายพูดอย่างไม่ใส่ใจ มือก็เปิดหม้อตักข้าวต้ม ใส่ชามกระเบื้องลายสวย
“อ้าว”
คุณจันทร์ฉายปรายตามามองลูกชายอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ ยื่นชามข้าวต้มมาตรงหน้า ไม่วายส่งสายตาล้อเลียน
“เอ้า ข้าวต้ม จะเอาไปให้เองหรือให้น้องเอาไปให้”
ชายหนุ่มยื่นมือไปรับชามข้าวต้มหอมแก้มมารดาแรงๆหนึ่งทีอย่างหมั่นเขี้ยว แล้วเดินออกจากห้องครัว ก้าวยาวๆขึ้นบันไดไป
เขมินท์ถือชามข้าวต้มขึ้นมาก็หยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของหญิงสาว เคาะประตูเบาๆ ไม่ได้รอให้คนข้างในตอบรับ เขาเดินเข้ามาพร้อมข้าวต้มในมือ มองเห็นร่างบางที่นอนหลับสนิทอยู่ก็ ค่อยๆวางชามลงบนโต๊ะ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆเตียง เท้าคางมองหญิงสาวตรงหน้า
ดวงตาสีนิลจ้องมองใบหน้ายามหลับสนิทของหญิงสาว ที่ตอนนี้ซีดเซียว ช่างดู น่าทะนุทนอม อย่างที่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน อดขันไม่ได้เมื่อคิดได้ว่าช่างแตกต่างเหลือเกินกับยามที่เจ้าหล่อนลืมตาตื่น
ร่างบนเตียงขยับตัวขยับตัวขึ้นคล้ายจะตื่น ชายหนุ่มจึงขยับตัวถอยห่าง ลุกขึ้นยืน เปลือกตาบางค่อยๆเปิดออกอย่างงัวเงีย จนเมื่อดวงตาสีน้ำตาลกลมโตสบเข้ากับร่างสูง หญิงสาวถึงได้ตื่นเต็มตา ยันตัวขึ้นมามองอีกฝ่าย
“ตื่นแล้วหรอคุณ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน
“ยังมั้งคะ” พูดแล้วก็ยิ้มทะเล้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาดุกลับมา แล้วพูดต่ออย่างไม่ยี่ระ “คุณนี่ก็แปลก ฉันลุกขึ้นมานั่งหัวโด่ขนาดนี้ยังมาถามอีก”
“คุณนี่.. ” ...ไม่น่าตื่นเลยจริงๆ ชายหนุ่มคิดในใจ แต่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนป่วย
“หิวรึยัง”
“ก็ นิดหน่อย” มุกรวีตอบ พลันจมูกก็ได้กลิ่นหอมๆ หันไปเห็นชามข้าวต้มที่วางอยู่ข้างๆ
“ข้าวต้มกุ้ง ของฉันหรอคะ” ดวงตาใสแป๋วราวกับเด็กน้อยหันมามอง จนชายหนุ่มขำกับท่าทีกระตือรือร้นเมื่อเห็นของกินของคนที่พึ่งบอกว่าหิวแค่ ‘นิดหน่อย’
“ใช่ แม่ผมทำให้ รีบกินซะจะได้มีแรง” ชายหนุ่มพูดพลางส่งสายตาไปทางชามข้าวต้มที่อยู่บนโต๊ะข้างๆเตียง
“ยุ่งยากเพราะฉันแท้ๆ” หญิงสาวบ่นพึมพำ เอื้อมมือไปหยิบชามข้าวต้มบนโต๊ะ แต่คงเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงบวกกับไม่ได้รับอาหารอะไรเลยทำให้มือหญิงสาวอ่อนแรงจนชามข้าวต้มเกือบหลุดจากมือ ดีที่มือใหญ่มาประคองชามเอาไว้ได้ทัน
เขมินท์นิ่งไปนิดนึง ก่อนนั่งลงบนเตียงหันหน้าเข้าหาหญิงสาว ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ มือหนาหยิบช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าเบาๆ แล้วยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
มุกรวีมองมือที่ถือช้อนข้ามต้มยื่นมาตรงหน้าเธออย่างงงๆ
“อะไรของคุณ”
“อ้าปาก” ชายหนุ่มเอ่ย
“ฉันกินเองได้ ง่อยไม่ได้กินเสียหน่อย มีคนมาป้อนมันขนลุกพิลึก” หญิงสาวว่าโดยไม่ลืมท่าทางประกอบ
“แค่ถือชามยังไม่มีแรงเลย เดี๋ยวก็ได้อาบหมดพอดี” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยียวนที่ฟังแล้วชวนให้หงุดหงิด
“งั้นคุณช่วยไปตามอองตองมาให้ฉันก็ได้ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณ”
“อองตองเขาก็มีงานของเขา ใครจะมานั่งเฝ้าคุณได้ตลอดเวลากัน” ชายหนุ่มพูด ด้วยท่าทางเรื่อยๆ
หญิงสาวยังทำท่าอ้าปากจะเถียง เขมินท์ที่รอจังหวะอยู่แล้วตักกุ้งตัวโตเข้าปากหญิงสาวอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายถลึงตากลับมา จะโวยวายก็ไม่ได้เพราะยังเคี้ยวอยู่เต็มปาก ด้วยความหิวโหย มุกรวีขี้เกียจจะต่อปากต่อคำอะไรอีก จึงยอมให้เขาป้อนต่อ ..ก็ดี มีคนมาบริการให้ถึงปาก สบายจะตาย!
เขมินท์นั่งมองคนป่วยเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ข้าวต้มคำแล้วคำเล่าถูกส่งจากมือเขาเข้าปากคนตรงหน้า นอกจากคนกินจะอร่อยแล้ว คนป้อนก็ป้อนอย่างไม่รู้จักเบื่อ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขันเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้ามุ้ยเวลาที่เขาแกล้งป้อนข้าวต้นเข้าปากตัวเองแทน
กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๗
เขียน... ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
“ตกลงมุกรวีมาทำอะไรที่นี่กันแน่ครับแม่” เขมินท์ยิงคำถามทันทีที่เดินเข้าห้องผู้เป็นมารดาเรียบร้อย
“ก็มาเป็นคู่หมั้นลูกชายแม่ไง” คุณนายจันทร์ฉายตอบปัดๆเดินไปนั่งลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง เสหยิบกระปุกครีมมาแต้มลงบนหน้า
“ไม่ใช่ว่าหนีอะไรมาหรือครับ” พูดพลางหย่อนตัวลงบนเตียง สายตาจับจ้องไปที่มารดา
คุณนายจันทร์ฉายมองหน้าลูกชายคนโตผ่านบานกระจก ถอนหายใจแรงๆหนึ่งที ยอมหันมาเผชิญหน้า
“ก็ได้ยินหมดแล้วยังจะมาถามอะไรอีก”
“ที่ผมรู้มันแค่เดา ผมอยากรู้รายละเอียดจากปากแม่มากกว่านี่ครับ”
คุณนายจันทร์ฉายพยักหน้ารับรู้ ยอมเปิดปากเล่าอย่างเสียมิได้ ตั้งแต่เรื่องมรดกตามมาด้วยจดหมายขู่ กับลูกกระสุนเจาะจงถึงมุกรวีที่ถูกส่งไปที่บ้าน มาจนกลายเป็นการหมั้นกำมะลอครั้งนี้
“ถ้าอย่างนั้น.. เรื่องหมั้น?”
“มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว” ผู้เป็นแม่ยอมรับ พยายามจับสังเกต เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับรู้ นิ่งไปเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ไม่ได้มีท่าทางโล่งอกโล่งใจอย่างที่คิดไว้ตอนแรก จึงพูดต่อ
“อย่างกับละครน้ำเน่าเลย ว่ามั้ย”
“มีคนที่น่าสงสัยอยู่บ้างหรือยังครับ”
“เท่าที่คุยกับอรุณก็มีอยู่ เยอะด้วยละ แต่ก็ยังไม่แน่ใจ ไม่มีหลักฐานอะไรด้วย”
“เขาไม่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ยครับ”
“น้องไม่รู้หรอก แต่เรานะรู้แบบนี้แล้ว จะเอายังไงต่อ” คุณนายจันทร์ฉายถาม
“แม่ก็จะไม่บังคับหรอกนะ เพราะถ้าหนูมุกยังอยู่ใกล้ๆตัวเขม เขมก็อาจพลอยลำบากไปด้วย ดังนั้นแม่ให้สิทธิ์เขมในการตัดสินใจ”
เขมินท์นิ่งไปเมื่อฟังมารดาพูดจบ ความรู้สึกห่วงกังวลตื้อขึ้นมา แม้ที่ผ่านมาจะแสดงให้เห็นได้ชัดว่าตัวเธอไม่ใช่คนบอบบาง ที่ต้องคอยทะนุถนอมเหมือนหญิงสาวทั่วๆไป แต่อย่างไรเธอก็คือผู้หญิง หากเกิดอะไรขึ้นเธอจะสามารถรับมือ และจัดการกับมันได้หรือ
“อีกอย่างลูกชายแม่อาจจะลำบากใจที่ต้องมีพันธะกับใครก็ไม่รู้ สาวๆที่มาติดอาจจะหายเกลี้ยงด้วยนา” คุณนายจันทร์ฉายแกล้งว่า
“ถ้าผมสนใจ คงไม่อยู่เกาะแม่กินมาจนป่านนี้หรอกครับ” ชายหนุ่มตอบด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร
“เอ และตกลงว่ายังไงนะ” คุณนายจันทร์ฉายถามซ้ำ ทั้งที่จากแววตาของอีกฝ่ายก็ทำให้พอจะรู้คำตอบอยู่ในใจ
“ขืนปล่อยไป คงลุยดะแน่ ให้อยู่ที่นี่นะดีแล้วละครับ”
“แหม มันต้องอย่างนี้สิ”
หลังจากวางสายคุณจันทร์ฉายแล้ว คุณอรุณจึงกลับมาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวนุ่ม ความว้าวุ่นใจในตอนแรกค่อยสงบลงเมื่อรู้ว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนยังคงอยู่อย่างสุขกายสบายใจ มืออวบอุมกดรีโมตเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีรายการใดน่าสนใจจึงค้างไว้ที่รายการข่าวรายการหนึ่งที่มีพิธีกรคู่ชายหญิงกำลังรายงานพยากรณ์อากาศอยู่
กริ๊งง...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นคุณอรุณหันไปหยิบ เห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นเบอร์ของบ้านใหญ่ท่าทีจึงเปลี่ยนมาเป็นระแวดระวังทันที
“สวัสดีครับ อรุณครับ”
“ฉันทราบ”
“ออ คุณพิมพ์ผกา มีอะไรให้รับใช้หรือครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งๆจะประชดประชัน
“ขอบคุณสำหรับชื่อเต็มยศนะ ฉันก็ชอบให้เธอเรียกฉันแบบนั้น” อีกฝ่ายตอบมาน้ำเสียงประชดประชันไม่แพ้กัน
“ฉันอยากคุยกับยายมุก”
“อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้ว ยายมุกอยู่เชียงรายครับ”
“เธอแน่ใจหรือว่ายายมุกอยู่ที่นั่นจริงๆ”
“แล้วคุณพิมพ์ผการู้ได้ยังไงละครับว่ามุกไม่ได้อยู่ที่นั่น” คุณอรุณถามกลับไป
“ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ ทั้งเรื่องที่อยู่ของมุก แล้วก็สิ่งที่เธอกำลังคิดที่จะทำ”
“มุกเป็นลูกสาวของผมครับ ผมไม่มีทางทำอะไรที่ทำร้ายเธอแน่ๆ”
“ยายมุกคือหลานฉันเหมือนกัน ถึงแม่อรจะตายไปแล้ว แต่เธอก็คงไม่คิดที่จะตัดขาดฉันกับหลานฉันหรอกนะ ฉันมีสิทธ์ที่จะรู้ว่าหลานฉันทำอะไร ไปร่วมหัวจมท้ายอยู่กับใครที่ไหน”
“ผมก็ไม่เคยคิดที่จะให้ยายมุกตัดญาติขาดมิตรกับญาติผู้ใหญ่ ‘ที่ควรเคารพ’ หรอกครับ” ชายสูงวัยพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ติดจะเยาะในน้ำเสียง
“ไม่ตัด แต่ก็ไม่ให้คุยสินะ ฮึ ความหมายมันช่างแตกต่างกันเหลือเกินนะ” คุณพิมพ์ผกาพูดอย่างประชดประชัน
“ถึงเธอจะกีดกันฉัน ฉันก็มีหนทางของฉันได้ ฉันไม่มีวันปล่อยยายมุกไปหรอก!” พูดจบคุณพิมพ์ผกาก็กระแทกโทรศัพท์วางลงเสียงดัง
อรุณนิ่งไปอย่างครุ่นคิด รู้สึกหวั่นใจขึ้นมากับคำพูดทิ้งท้ายของพิมพ์ หล่อนจะโลภมากพอที่จะทำเรื่องแบบนี้หรือไม่ หรืออาจเป็นเขาที่คิดมากเกินไป บางทีอาจเป็นแค่ความห่วงใยที่เธอมีให้กับหลานสาวจริงๆ
ขณะที่กำลังคิดไม่ตก หูที่ยังแนบโทรศัพท์ค้างอยู่ก็ได้ยินเสียงบางอย่างจากปลายสาย คาดว่าเกิดจากการที่คุณพิมพ์ผกาวางโทรศัพท์ลงไม่ตรงแป้น คุณอรุณที่กำลังจะเป็นฝ่ายกดตัดสายเสียเองชะงักมือ เมื่อได้ยินเสียงคล้ายเสียงทะเลาะกันดังมาจากปลายสาย ดังมากจนพอจับใจความได้
“แม่เลิกยุ่งกับชีวิตผมเสียทีเถอะ!”
“ทำไมพูดแบบนี้ แม่เป็นแม่ของฑูรนะ” เสียงคร่ำครวญตัดพ้ออีกฝ่ายที่คุณอรุณจะได้ว่าเป็นเสียงคุณวันวิสาข์
“เป็นแม่หรอ แม่ยังคิดว่าผมเป็นลูกอีกหรอ แม่ไม่เคยทำอะไรผมเลยสักอย่าง ถ้าทำหน้าที่ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาเกะกะให้รำคาญ!”
“ฑูรอยากได้อะไร แม่ก็หามาให้ฑูรทุกอย่าง ยังจะเอาอะไรอีก”
“ถ้าผมอยากได้มรดกของคุณตา แม่ให้ผมได้มั้ยละ”
“มัน.. จะเป็นไปได้ยังไงกัน”
“เฮอะ! ทั้งแม่ทั้งตาก็ลำเอียงเหมือนกันหมดรักกันแต่พี่มุก ทั้งๆที่มันไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ ไม่ได้มาดูดำดูดีอะไรกะคนที่นี่เลย แต่มันกลับได้ทุกอย่างไป!”
“แม่ไม่ได้รักฑูรน้อยกว่าใครเลยนะ ส่วนเรื่องมรดกคุณตาท่านคงมีเหตุผล ที่จริงมุกก็เป็นเด็กน่ารัก ฑูรก็น่าจะ...”
“ถ้าไม่มีพี่มุกอะไรๆก็คงจะดีกว่านี้” ไพฑูรแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงแปร่งๆ
“ฑูร! ทำไมพูดแบบนี้ ยายมุกเป็นพี่เรานะ”
“แม่รู้เอาไว้อย่างนะ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองมีพี่หรอก ผมเกลียดมัน เกลียด ตั้งแต่เกิดมาแล้ว!” จากนั้นเสียงโต้เถียงก็เงียบไปเหลือเพียงเสียงร้องเรียกตามหลังลูกชายของผู้เป็นแม่
อรุณตัดสินใจกดวางสายวางโทรศัพท์ลงข้างๆตัว รู้สึกมึนงงกับสิ่งที่พึ่งได้ยินมา ถึงเขาพอจะรู้อยู่ว่านายฑูรไม่ค่อยชอบหน้าลูกสาวของตน แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนักคิดว่าคงเป็นการเขม่นกันประสาเด็กๆเท่านั้น ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่ามันจะเป็นความรู้สึกที่รุนแรงขนาดนี้
อรุณเอนหลังลงพิงกับโซฟา มือข้างหนึ่งนวดขมับตัวเองเบาๆ จนตอนนี้ ในความคิดเขา ทุกๆคนรอบตัวน่าสงสัยด้วยกันทั้งนั้น ..เฮ้อ บางทีนะ บางทีถ้าทางนู้นเขาเต็มใจ ให้ยายมุกไปอยู่ซะให้เป็นเรื่องเป็นราวคงดี!
ข้าวต้มกุ้งหอมกรุ่นส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วบ้าน เขมินท์เดินตามกลิ่นเข้ามาในครัว โอบมารดาจากทางด้านหลัง สูดกลิ่นหอมของข้าวต้มกุ้งฝีมือมารดา เอ่ยเสียงออดอ้อน
“วันนี้คุณนายจันทร์ฉายลงครัวเองเลยหรอเนี่ย”
“แน่นอนจ๊ะ ต้องแสดงฝีมือซะหน่อย หนูมุกนอนซมแบบนั้นต้องบำรุงเยอะๆจะได้หายเร็วๆ” คุณจันทร์ฉายพูดยิ้มแย้มโอบอ้อมอารีเมื่อพูดถึงหญิงสาว ทำเอาชายหนุ่มยู่หน้าใส่
“เอาใจกันเข้าไป ทีกับลูกชายตัวเองแท้ๆ ไม่เห็นเอาอกเอาใจขนาดนี้ มันน่าน้อยใจนัก” ชายหนุ่มเอ่ยตัดพ้อ
“ทำไมจะเอาใจไม่ได้ ก็คนนี้ว่าที่ลูกสะใภ้แม่” ผู้เป็นแม่หันมายิ้มใส่ตาลูกชาย
“ฮะ ลูกสะใภ้แม่ได้ยังไง ผมยังไม่ได้บอกว่าผมแต่งงานกับยัยหนูมุกซะหน่อย” ชายหนุ่มตั้งแง่
“แกไม่แต่งก็ไม่เป็นไร แม่ยังมีลูกชายอยู่อีกคนนะ อย่าลืม” คุณนายจันทร์ฉายพูดอย่างไม่ใส่ใจ มือก็เปิดหม้อตักข้าวต้ม ใส่ชามกระเบื้องลายสวย
“อ้าว”
คุณจันทร์ฉายปรายตามามองลูกชายอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ ยื่นชามข้าวต้มมาตรงหน้า ไม่วายส่งสายตาล้อเลียน
“เอ้า ข้าวต้ม จะเอาไปให้เองหรือให้น้องเอาไปให้”
ชายหนุ่มยื่นมือไปรับชามข้าวต้มหอมแก้มมารดาแรงๆหนึ่งทีอย่างหมั่นเขี้ยว แล้วเดินออกจากห้องครัว ก้าวยาวๆขึ้นบันไดไป
เขมินท์ถือชามข้าวต้มขึ้นมาก็หยุดยืนนิ่งอยู่หน้าห้องของหญิงสาว เคาะประตูเบาๆ ไม่ได้รอให้คนข้างในตอบรับ เขาเดินเข้ามาพร้อมข้าวต้มในมือ มองเห็นร่างบางที่นอนหลับสนิทอยู่ก็ ค่อยๆวางชามลงบนโต๊ะ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างๆเตียง เท้าคางมองหญิงสาวตรงหน้า
ดวงตาสีนิลจ้องมองใบหน้ายามหลับสนิทของหญิงสาว ที่ตอนนี้ซีดเซียว ช่างดู น่าทะนุทนอม อย่างที่เค้าไม่เคยเห็นมาก่อน อดขันไม่ได้เมื่อคิดได้ว่าช่างแตกต่างเหลือเกินกับยามที่เจ้าหล่อนลืมตาตื่น
ร่างบนเตียงขยับตัวขยับตัวขึ้นคล้ายจะตื่น ชายหนุ่มจึงขยับตัวถอยห่าง ลุกขึ้นยืน เปลือกตาบางค่อยๆเปิดออกอย่างงัวเงีย จนเมื่อดวงตาสีน้ำตาลกลมโตสบเข้ากับร่างสูง หญิงสาวถึงได้ตื่นเต็มตา ยันตัวขึ้นมามองอีกฝ่าย
“ตื่นแล้วหรอคุณ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน
“ยังมั้งคะ” พูดแล้วก็ยิ้มทะเล้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายส่งสายตาดุกลับมา แล้วพูดต่ออย่างไม่ยี่ระ “คุณนี่ก็แปลก ฉันลุกขึ้นมานั่งหัวโด่ขนาดนี้ยังมาถามอีก”
“คุณนี่.. ” ...ไม่น่าตื่นเลยจริงๆ ชายหนุ่มคิดในใจ แต่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนป่วย
“หิวรึยัง”
“ก็ นิดหน่อย” มุกรวีตอบ พลันจมูกก็ได้กลิ่นหอมๆ หันไปเห็นชามข้าวต้มที่วางอยู่ข้างๆ
“ข้าวต้มกุ้ง ของฉันหรอคะ” ดวงตาใสแป๋วราวกับเด็กน้อยหันมามอง จนชายหนุ่มขำกับท่าทีกระตือรือร้นเมื่อเห็นของกินของคนที่พึ่งบอกว่าหิวแค่ ‘นิดหน่อย’
“ใช่ แม่ผมทำให้ รีบกินซะจะได้มีแรง” ชายหนุ่มพูดพลางส่งสายตาไปทางชามข้าวต้มที่อยู่บนโต๊ะข้างๆเตียง
“ยุ่งยากเพราะฉันแท้ๆ” หญิงสาวบ่นพึมพำ เอื้อมมือไปหยิบชามข้าวต้มบนโต๊ะ แต่คงเพราะร่างกายยังไม่แข็งแรงบวกกับไม่ได้รับอาหารอะไรเลยทำให้มือหญิงสาวอ่อนแรงจนชามข้าวต้มเกือบหลุดจากมือ ดีที่มือใหญ่มาประคองชามเอาไว้ได้ทัน
เขมินท์นิ่งไปนิดนึง ก่อนนั่งลงบนเตียงหันหน้าเข้าหาหญิงสาว ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ มือหนาหยิบช้อนตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าเบาๆ แล้วยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
มุกรวีมองมือที่ถือช้อนข้ามต้มยื่นมาตรงหน้าเธออย่างงงๆ
“อะไรของคุณ”
“อ้าปาก” ชายหนุ่มเอ่ย
“ฉันกินเองได้ ง่อยไม่ได้กินเสียหน่อย มีคนมาป้อนมันขนลุกพิลึก” หญิงสาวว่าโดยไม่ลืมท่าทางประกอบ
“แค่ถือชามยังไม่มีแรงเลย เดี๋ยวก็ได้อาบหมดพอดี” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยียวนที่ฟังแล้วชวนให้หงุดหงิด
“งั้นคุณช่วยไปตามอองตองมาให้ฉันก็ได้ จะได้ไม่ต้องรบกวนคุณ”
“อองตองเขาก็มีงานของเขา ใครจะมานั่งเฝ้าคุณได้ตลอดเวลากัน” ชายหนุ่มพูด ด้วยท่าทางเรื่อยๆ
หญิงสาวยังทำท่าอ้าปากจะเถียง เขมินท์ที่รอจังหวะอยู่แล้วตักกุ้งตัวโตเข้าปากหญิงสาวอย่างรวดเร็ว แล้วนั่งหัวเราะชอบใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายถลึงตากลับมา จะโวยวายก็ไม่ได้เพราะยังเคี้ยวอยู่เต็มปาก ด้วยความหิวโหย มุกรวีขี้เกียจจะต่อปากต่อคำอะไรอีก จึงยอมให้เขาป้อนต่อ ..ก็ดี มีคนมาบริการให้ถึงปาก สบายจะตาย!
เขมินท์นั่งมองคนป่วยเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ข้าวต้มคำแล้วคำเล่าถูกส่งจากมือเขาเข้าปากคนตรงหน้า นอกจากคนกินจะอร่อยแล้ว คนป้อนก็ป้อนอย่างไม่รู้จักเบื่อ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขันเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้ามุ้ยเวลาที่เขาแกล้งป้อนข้าวต้นเข้าปากตัวเองแทน