เมื่อวันที่ 4 พ.ย. เวลา 13.30 น. ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกฎาพิเศษ ในงานสัมมนาประชาชาติธุรกิจ “Thailand 2016 อนาคตเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน” ณ โรงแรมดุสิตธานี
ดร.สมคิด กล่าวว่า หลังจากที่เข้ามาบริหารประเทศในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาหลายภาคส่วนยังรู้สึกเป็นกังวล การตัดสินใจเข้ามาในครั้งนี้เนื่องจากเป็นช่วงเวลาวิกฤตของประเทศ ถ้าไม่เข้ามาปรับเปลี่ยน อนาคตประเทศไทยจะลำบาก แต่ถ้าหากเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็จะเป็นโอกาสทองของประเทศ สำหรับข้อวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อ ตนก็รับรู้และจะนำคำติชมที่เป็นประโยชน์มาประยุกต์ใช้ ครั้งนี้ถือว่ามีกำลังใจมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้วมา
“ผมแก่ตัวลง มีความรอบคอบขึ้น ไม่ค่อยสนใจคำสรรเสริญเยินยอ คำติชม ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ ผมเข้ามาด้วยหน้าที่ 2 อย่าง คือหยุดยั้งการชะลอตัว และประคับประคองเศรษฐกิจ ช่วยคนยอกจนจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผมไม่เคยคิดจะให้จีดีพีของประเทศเติบโตสวนทางกับความเป็นจริง เพราะถ้าแค่อัดงบประมาณเข้าไปจีดีพีก็จะโตขึ้น แต่ผมจะไม่ทำอย่างนั้น” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า เป้าหมายหลักของตนตอนนี้ คือทำอย่างไรเงินจะไหลเข้าสู่รากหญ้า โดยมี 3 นโยบายที่มุ่งเน้นก็คือ 1) “กองทุนหมู่บ้าน” โดยจะกระตุ้นผ่าน 2 ช่องทาง คือทางกระทรวงมหาดไทย และทางกองทุนหมูบ้าน กว่า 7,000 กว่าตำบล 2) ธุรกิจเอสเอ็มอี โดยจะช่วยเหลือด้านลดภาษีให้เหลือแค่ 10% ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำและเร่งปรับปรุง บสย. และ3)การกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างมาก ตั้งแต่ธุรกิจอุปกรณ์ก่อสร้างไปจนถึงภาคแรงงาน เราจึงต้องให้ความสำคัญกับจุดนิ โดยจะเปลี่ยนไม่ไปเน้นที่ผู้ประกอบการแต่มุ่งเน้นให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านและที่อยู่อาศัยแทน
สำหรับกองทุนหมู่บ้านจะอยู่ในความรับผิดชอบของธนาคารออมสินมีต้นทุนของแพ็คเกจอยู่ที่ราว3หมื่นกว่าล้านธุรกิจเอสเอ็มอีต้นทุนจะอยู่ในส่วนของการชดเชยดอกเบี้ย ชดเชยภาษีที่ลดลง ส่วนการกระตุ้นอสังหาจะมีต้นทุนในการลดภาษีการโอนและจำนอง
รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า เศรษฐกิจในช่วงสิ้นปี ยังอยู่ในภาวะ save and sound (ปลอดภัย) และคาดว่าปลายไตรมาสที่ 4 ถึงช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าเราจะสามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตโดยที่ประเทศไม่สึกหรอมากนักเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการขับเคลื่อนเพื่อการปฎิรูปที่สำคัญโดยการกระตุ้นให้เกิดBalanceGrowthคือการเติบโตที่สมดุลระหว่างภายในและภานนอก
“แม้ว่าต่างประเทศจะจัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง แต่จริงๆ แล้วเรายังอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ชั้นต่ำ แต่ก็ยังพอมีศักดิ์ศรี”ดร.สมคิดกล่าวและว่า
ในเมืองไทยการเติบโตสำคัญต้องอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯแม้จะถูกมองว่าเป็นกระทรวงเก่าแก่อาจจะขยับตัวได้ยากแต่การขับเคลื่อนที่รากฐานคือเป็นสิ่งสำคัญทั้งการพัฒนาแบบแนวดิ่งและแนวราบ โดยตนจะใช้แกนของกองทุนหมู่บ้านเป็นหลักในการพัฒนาประเทศ เเละที่นายกฯเสนอให้เกษตรกรปรับเปลลี่ยนพฤติกรรมเกษตรกร ทำอย่างไรให้เขามีช่องทางสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งตนก็ได้ตั้งเป้าหมายจะปรับปรุงสหกรณ์การเกษตร เพื่อการพัฒนาประเทศให้เติบโตต่อไป
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นโยบายที่เร่งด่วนของรัฐอีกเรื่องหนึ่งคือ การปฎิรูปการศึกษา สำหรับมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งผลิตวิจัย ต้องให้อิสระแก่พวกเขา และที่สำคัญที่สุดคือเราต้องพัฒนา “อาชีวะ” เป็นการสร้างช่างฝีมือที่จะกลายเป็นผู้ประกอบการในอนาคต
นอกจากนี้ ปัญหาของเศรษฐกิจไทยอีกประการหนึ่งคือ สินค้าของเราเริ่มขาดความสมารถในการแข่งขันระดับโลก การมุ่งพัฒนา “คลัสเตอร์” และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ที่ฉีกออกมาจากคู่แข่ง เรียกว่าเป็นการสร้าง “นวัตกรรมกลายพันธุ์” จากการที่ตนเคยได้พูดคุยกับผู้บริหารของซัมซุง บริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ เขาเคยบอกว่า รัฐบาลไม่บ้าแระชาธิปไตยอย่างเดียว แต่จะเน้นไปที่การสรรหาเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนประเทศด้วย ทุกคนต้องร่วมมือกันประเทศจึงจะพัฒนาแบบก้าวกะโดดได้ แม้ตอนนี้เกาหลีใต้จะประสบวิกฤต คนรุ่นใหม่คุ้นเคยกับความสบาย เสรีภาพและไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ แต่ประชาธิปไตยก็ถือเป็นสิ่งสำคัญแต่ก็จงอย่าลืมวิญญาณในการขับเคลื่อนประเทศ
ดร.สมคิด เผยอีกว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีกปีครึ่งนี้ รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างคลัสเตอร์ เดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขยายเส้นทางคมนาคม และแก้กฎหมายที่ล้าหลังเพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำธุรกิจมากขึ้น อะไรที่เก่าแก่ก็ต้องรีบแก้ไขให้เสร็จในช่วงเวลานี้ อีกทั้งจะใช้กองทุนหมู่บ้านในการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตจากภายใน ต้องเร่งปฎิรูป Capital Market ที่มันหยุดนิ่งมาตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ทำในช่วงเวลาปีครึ่งนี้ก็อาจจะไม่มีวันได้เกิดการปรับปรุงอีกเลยก็ได้ ต้องชวนคนดีเข้ามาช่วยในการบริหาร เเละขอยืนยันว่าตนจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จึงขอให้ทุกคนช่วยเหลือกัน
JJNY : "สมคิด" ขึ้นเวที Thailand2016 จัดโดยประชาชาติธุรกิจ ชูประเด็นปฎิรูปใน 1 ปีครึ่ง
ดร.สมคิด กล่าวว่า หลังจากที่เข้ามาบริหารประเทศในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาหลายภาคส่วนยังรู้สึกเป็นกังวล การตัดสินใจเข้ามาในครั้งนี้เนื่องจากเป็นช่วงเวลาวิกฤตของประเทศ ถ้าไม่เข้ามาปรับเปลี่ยน อนาคตประเทศไทยจะลำบาก แต่ถ้าหากเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็จะเป็นโอกาสทองของประเทศ สำหรับข้อวิพากษ์วิจารณ์จากสื่อ ตนก็รับรู้และจะนำคำติชมที่เป็นประโยชน์มาประยุกต์ใช้ ครั้งนี้ถือว่ามีกำลังใจมากขึ้นกว่าครั้งที่แล้วมา
“ผมแก่ตัวลง มีความรอบคอบขึ้น ไม่ค่อยสนใจคำสรรเสริญเยินยอ คำติชม ผมรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ ผมเข้ามาด้วยหน้าที่ 2 อย่าง คือหยุดยั้งการชะลอตัว และประคับประคองเศรษฐกิจ ช่วยคนยอกจนจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผมไม่เคยคิดจะให้จีดีพีของประเทศเติบโตสวนทางกับความเป็นจริง เพราะถ้าแค่อัดงบประมาณเข้าไปจีดีพีก็จะโตขึ้น แต่ผมจะไม่ทำอย่างนั้น” รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ดร.สมคิด กล่าวต่อว่า เป้าหมายหลักของตนตอนนี้ คือทำอย่างไรเงินจะไหลเข้าสู่รากหญ้า โดยมี 3 นโยบายที่มุ่งเน้นก็คือ 1) “กองทุนหมู่บ้าน” โดยจะกระตุ้นผ่าน 2 ช่องทาง คือทางกระทรวงมหาดไทย และทางกองทุนหมูบ้าน กว่า 7,000 กว่าตำบล 2) ธุรกิจเอสเอ็มอี โดยจะช่วยเหลือด้านลดภาษีให้เหลือแค่ 10% ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำและเร่งปรับปรุง บสย. และ3)การกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจในประเทศอย่างมาก ตั้งแต่ธุรกิจอุปกรณ์ก่อสร้างไปจนถึงภาคแรงงาน เราจึงต้องให้ความสำคัญกับจุดนิ โดยจะเปลี่ยนไม่ไปเน้นที่ผู้ประกอบการแต่มุ่งเน้นให้ผู้มีรายได้น้อยมีบ้านและที่อยู่อาศัยแทน
สำหรับกองทุนหมู่บ้านจะอยู่ในความรับผิดชอบของธนาคารออมสินมีต้นทุนของแพ็คเกจอยู่ที่ราว3หมื่นกว่าล้านธุรกิจเอสเอ็มอีต้นทุนจะอยู่ในส่วนของการชดเชยดอกเบี้ย ชดเชยภาษีที่ลดลง ส่วนการกระตุ้นอสังหาจะมีต้นทุนในการลดภาษีการโอนและจำนอง
รองนายกรัฐมนตรี เผยว่า เศรษฐกิจในช่วงสิ้นปี ยังอยู่ในภาวะ save and sound (ปลอดภัย) และคาดว่าปลายไตรมาสที่ 4 ถึงช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าเราจะสามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นช่วงวิกฤตโดยที่ประเทศไม่สึกหรอมากนักเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการขับเคลื่อนเพื่อการปฎิรูปที่สำคัญโดยการกระตุ้นให้เกิดBalanceGrowthคือการเติบโตที่สมดุลระหว่างภายในและภานนอก
“แม้ว่าต่างประเทศจะจัดอันดับให้ไทยเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง แต่จริงๆ แล้วเรายังอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ชั้นต่ำ แต่ก็ยังพอมีศักดิ์ศรี”ดร.สมคิดกล่าวและว่า
ในเมืองไทยการเติบโตสำคัญต้องอยู่ที่กระทรวงเกษตรฯแม้จะถูกมองว่าเป็นกระทรวงเก่าแก่อาจจะขยับตัวได้ยากแต่การขับเคลื่อนที่รากฐานคือเป็นสิ่งสำคัญทั้งการพัฒนาแบบแนวดิ่งและแนวราบ โดยตนจะใช้แกนของกองทุนหมู่บ้านเป็นหลักในการพัฒนาประเทศ เเละที่นายกฯเสนอให้เกษตรกรปรับเปลลี่ยนพฤติกรรมเกษตรกร ทำอย่างไรให้เขามีช่องทางสร้างรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งตนก็ได้ตั้งเป้าหมายจะปรับปรุงสหกรณ์การเกษตร เพื่อการพัฒนาประเทศให้เติบโตต่อไป
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า นโยบายที่เร่งด่วนของรัฐอีกเรื่องหนึ่งคือ การปฎิรูปการศึกษา สำหรับมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งผลิตวิจัย ต้องให้อิสระแก่พวกเขา และที่สำคัญที่สุดคือเราต้องพัฒนา “อาชีวะ” เป็นการสร้างช่างฝีมือที่จะกลายเป็นผู้ประกอบการในอนาคต
นอกจากนี้ ปัญหาของเศรษฐกิจไทยอีกประการหนึ่งคือ สินค้าของเราเริ่มขาดความสมารถในการแข่งขันระดับโลก การมุ่งพัฒนา “คลัสเตอร์” และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ที่ฉีกออกมาจากคู่แข่ง เรียกว่าเป็นการสร้าง “นวัตกรรมกลายพันธุ์” จากการที่ตนเคยได้พูดคุยกับผู้บริหารของซัมซุง บริษัทยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ เขาเคยบอกว่า รัฐบาลไม่บ้าแระชาธิปไตยอย่างเดียว แต่จะเน้นไปที่การสรรหาเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนประเทศด้วย ทุกคนต้องร่วมมือกันประเทศจึงจะพัฒนาแบบก้าวกะโดดได้ แม้ตอนนี้เกาหลีใต้จะประสบวิกฤต คนรุ่นใหม่คุ้นเคยกับความสบาย เสรีภาพและไม่ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ แต่ประชาธิปไตยก็ถือเป็นสิ่งสำคัญแต่ก็จงอย่าลืมวิญญาณในการขับเคลื่อนประเทศ
ดร.สมคิด เผยอีกว่า ในช่วงเวลาที่เหลืออีกปีครึ่งนี้ รัฐบาลจะต้องเร่งสร้างคลัสเตอร์ เดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ ขยายเส้นทางคมนาคม และแก้กฎหมายที่ล้าหลังเพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำธุรกิจมากขึ้น อะไรที่เก่าแก่ก็ต้องรีบแก้ไขให้เสร็จในช่วงเวลานี้ อีกทั้งจะใช้กองทุนหมู่บ้านในการขับเคลื่อนประเทศให้เติบโตจากภายใน ต้องเร่งปฎิรูป Capital Market ที่มันหยุดนิ่งมาตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ถ้าไม่ทำในช่วงเวลาปีครึ่งนี้ก็อาจจะไม่มีวันได้เกิดการปรับปรุงอีกเลยก็ได้ ต้องชวนคนดีเข้ามาช่วยในการบริหาร เเละขอยืนยันว่าตนจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศโดยที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จึงขอให้ทุกคนช่วยเหลือกัน