พระราชธรรม ในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง

กราบแทบบาทพระองค์ผู้ทรงยศ       นามปรากฏทั่วแค้วนแดนสยาม
พระองค์ทรงเลื่องชื่อระบือนาม        ยี่สิบสามตุลาข้าฯกราบกราน...

คำว่า พระพุทธเจ้าหลวงนั้น อันที่จริงคือการหมายถึงพระบาทสมเด้จพระเจ้าอยู่หัวที่เสด็จสวรรคตแล้ว แต่ในความเข้าใจของหลายๆ คน ถ้าพูดถึงพระพุทธเจ้าหลวง ก็จะนึกถึง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 ด้วยพระปรีชาสามารถ และพระราชกรณียกิจที่สำคัญๆ เพื่อประชาชนนานัปการ

ครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ ครองราชย์นั้น พระองค์เคยตรัสว่า
"...เราตั้งใจอธิษฐานว่า เราจะกระทำการจนเต็มกำลังอย่างที่สุดที่จะให้กรุงสยามเป็นประเทศอันหนึ่งซึ่งมีอิสรภาพและความเจริญ..."
และเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต ก็มีการถวายสมัญญานามแด่พระองค์ว่า พระพุทธเจ้าหลวง จึงทำให้ประชาชนเข้าใจกันว่า พระพุทธเจ้าหลวงหมายถึงพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ดาวน์โหลด
มีบทกลอนหนึ่ง อธิบายถึงบุญยาบารมีของพระองค์ไว้กระจ่างถี่ถ้วน ซึ่งเราได้ตัดตอนมาให้ท่านได้อ่านถึงพระราชกรณียกิจสำคัญ ที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นที่กล่าวขวัญถึงของปวงชน

       ด้วยเดชะพระบารมีปรานีราษฎร์        ทรงประสาธน์ยกเลิกทาสดาษทั่วหล้า
สามสิบปีทรงพากเพียรแนบเนียนตรา        เรืองถ้วนหน้าไป่เลือดนองครรลองภิน
ทรงทศพิธราชธรรมบูรณ์                      มิอากูลมีเปี่ยมล้นดำกลปิ่น
“สุวภาพ” “มารยาท” มาดประพิณ               “ปัญญา” ริน “เกียรติยศ” ปรากฏดาล
จิต “ซื่อตรง” ดำรงมั่นประคัลภ์ภาพย์        อิ่มเอิบอาบสุขแก่ตนกมลฉาน
“บริสุทธิ์” “ความเชื่อถือ” ระบือจาร              “ฉลาด” การย์ “สิ่งแยบคาย” ประกายดล
“สุจริต” เอื้ออารีวจีมอบ                             แนวระบอบนิจเนืองเมลืองผล
“มิตรสหาย” คบกันมานำพานนท์               “ยศ” ประดนลือระรองสนองธัญ
เหล่าประชาคราเกิดมาในแผ่นดิน               จงถวิล “บ้านเมือง” เราเนาถวัลย์
“ประเทศ” ชาติจุ่งจำนงดำรงพันธ์               ป้องเขตขัณฑสีมาธรายง
“ศาสนา” พุทธสั่งสอนวิวรณ์เรื้อง               “ประพฤติ” เนืองบริสุทธิ์นุตประสงค์
“ยุติธรรม” พร้ำนำจิตพินิจตรง               วุฒิจงเจิดจรัสชนอรรจน์ชม
“อกตัญญู” มิ “รู้คุณ” ยิ้มถ่อย               “มารยา” พร่อย “ริษยา” ประดาถม
“ชั่วชาติต่ำ” “ทรชน” ปราศมนยม               ชิงชังสมควรหลีกเลี่ยงเผดียงพลัน
ส่วน “คำยอ” พะนอเจตน์เลศจำนรรจ์        “หน้าเนื้อใจเสือ” ต่อกันหวั่นไหวสรร
อีก “กลับกลอก” หน้าตานะพะพรั่งนั้น        หลีกหนีกันมิควรนบเคารพใจ
พูด “ฟั่นเฟือน” จงเตือนจิตผิดนิสัย        “เกียจคร้าน” ไปอยู่บ่อยบ่อยพลอยไถล
“คำหยาบ” คายวาจานั้นจรรจานัย               ทุกคนไซร้จงหลีกห่างแนวทางตน
“อนิจจัง” วัย “ชรา” “มรณะ”                      ทุกคนจะพบพานกันบรรจงผล
คติธรรมผองประเสริฐเทิดวิมล               สำแดงผลทุกทุกรายมลายลง
พระราชธรรมส่วนน้อยนี้กวีพจน์               บริบทเปล่งรดีชุลีสงค์
ชนรำลึกตรึกตรองตราปัญญาคง               วัฒน์ประจงยังสืบทอดตลอดกาล
ยี่สิบสามตุลาคมบรมราช                      ทรงพิสาสเสด็จดลมนต์สถาน
ทรงประภาสทิพย์วิมุตติวิศุทธ์ญาณ              สถิตธารสู่สวรรค์นิรันดร์เทอญ

เท่าที่กล่าวมานี้ คงจะทำให้ทราบถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงต่อคนไทย และประเทศชาติเป็นล้นพ้น การที่พระองค์ทรง พัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง หรือทรงแก้ปัญหาด้าน ใดได้สำเร็จลุล่วงไปอย่างมีประโยชน์ยิ่งนั้น เป็นเพราะ พระองค์โปรดที่จะศึกษาให้เข้าพระราชหฤทัย อย่างแจ่มแจ้งเสียก่อน เป็นที่ทราบกันดีว่า พระองค์ โปรดการเสด็จประพาสต้นเป็นอันมาก

คำว่า “เสด็จ ประพาสต้น” คือการเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนด้วย การปลอมพระองค์เป็นสามัญชนธรรมดา ทั้งนี้มี พระราชประสงค์ที่จะทราบความเป็นอยู่ที่แท้จริง ของราษฎร เพื่อจะทรงนำข้อมูลที่เป็นเหตุการณ์จริง มาแก้ไขให้สำเร็จลุล่วง เราอาจกล่าวได้ว่า พระองค์ ทรงใกล้ชิดกับราษฎรทั่วหน้าก็ว่าได้ อีกทั้งยังทรงพระ ปรีชาสามารถในทุกสาขาวิชาและทรงนำวิทยาการ ด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติแล้ว มีพระราชประสงค์ที่จะเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนประเทศสิงคโปร์ และ ประเทศชวา ต่อมาได้เสด็จฯ เยือนประเทศอินเดีย และประเทศพม่า

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยต้องตกอยู่ในห้วงวิกฤตจากภัย คุกคามของชาติมหาอำนาจในขณะนั้น ประเทศเพื่อน บ้านโดยรอบประเทศไทยตกเป็นอาณานิคมของชาติ ตะวันตกไปแล้ว แต่ด้วยพระปรีชาสามารถ ทรงดำเนิน พระราชวิเทโศบาย จนเมืองไทยสามารถผ่านอุปสรรค มาได้จนทุกวันนี้ พระราชวิเทโศบายที่สำคัญข้อหนึ่งคือ ทรงผูกพระราชไมตรีกับราชอาณาจักรรุสเซีย ซึ่งขณะ นั้นเป็นชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งในยุโรป โดยชั้นแรก ทรงเชิญเสด็จพระเจ้าซาร์นิโคลาส ที่ 2 ซึ่งขณะนั้นยัง ทรงดำรงพระยศเป็นแกรนด์ดยุกซาร์เรวิตซ์ มกุฎราช กุมารของรัสเซีย เสด็จมาเยือนเมืองไทย และต่อมาใน ปีพุทธศักราช 2440 พระองค์ได้เสด็จประพาสยุโรป ครั้งแรก ก็ได้เสด็จฯ ไปเยือนราชอาณาจักรรุสเซียด้วย นอกจากนั้น ยังเสด็จฯ เยือนประเทศต่างๆ ในยุโรป เป็นการเจริญพระราชไมตรี อาทิ ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี เดนมาร์ก สวีเดน ออสเตรีย ฮังการี อิตาลี ฯลฯ

จากการที่ได้เสด็จประพาสประเทศแถบยุโรป นี้เอง ทำให้พระองค์ได้ทอดพระเนตรวิทยาการสมัย ใหม่ และทรงนำมาพัฒนาบ้านเมืองให้มีความเจริญ ก้าวหน้าขึ้น ทางด้านการทหาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเล็งเห็นความสำคัญของการจัดตั้งให้มีนายทหาร เพื่อการควบคุมบังคับบัญชาพลทหาร ทั้งในยาม สงคราม และยามสงบ ทั้งยังทรงปรับปรุงกิจการทหาร ให้ทันสมัย ด้วยการฝึกหัดทหารตามแบบยุโรป ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์ วรเดช ตั้งโรงเรียนทหารสราญรมย์ เสด็จพระราชดำเนิน ทรงกระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พุทธศักราช 2430 ต่อมาในปี พุทธศักราช 2440 ทรงพระ กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกิจการของโรงเรียนทหาร สราญรมย์ และกิจการโรงเรียนนายสิบเข้าด้วยกัน ชื่อโรงเรียนจึงเปลี่ยนไปให้เกิดความเหมาะสมยิ่งขึ้น เป็น โรงเรียนสอนวิชาทหารบก

ต่อมาได้ย้ายนักเรียนนาย สิบไปสังกัดกองพลทหารบก ชื่อโรงเรียนจึงเปลี่ยนเป็น โรงเรียนนายร้อยทหารบก และในปีพุทธศักราช 2447 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ซื้อที่ดินบริเวณถนน ราชดำเนินนอก ก่อสร้างโรงเรียนนายร้อยมัธยมขึ้น และทรงกระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พุทธศักราช 2452 และโรงเรียนนายร้อยมัธยมก็ได้ มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจนในสมัยพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้มีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่อ “โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า” ด้านการศึกษา ทรงปรับปรุงด้านการศึกษา โดยจัดระบบ แผนการศึกษาแบบใหม่ให้มีโรงเรียน ชั้นเรียน หลักสูตร มีครู อาจารย์ เป็นผู้สอน ทรงตั้งโรงเรียนหลวงแห่ง แรกคือ โรงเรียนมหรรณพาราม และโรงเรียนหลวง ของสตรี คือ โรงเรียนบำรุงสตรีวิทยา นอกจากนั้นยัง ศาสนาให้มีสนามสอบไล่พระปริยัติธรรม แล้วจัดตั้ง ให้กระทรวงธรรมการ เป็นหน่วยราชการที่ควบคุม นอกจากนี้ ได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดต่างๆ ขึ้นหลายวัด เช่น วัดเทพศิรินทราวาส วัดเบญจมบพิตร วัดราชบพิธ วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ ทรงจำลองพระพุทธชินราชจาก วัดมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก มาประดิษฐานเป็น พระประธาน ณ วัดเบญจมบพิตร และรวบรวม พระพุทธรูปที่ตกค้างตามสถานที่ต่างๆ มาประดิษฐาน ไว้รอบระเบียงวัดเบญจมบพิตรด้วย

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติ ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ เพื่อที่จะได้จัดสังฆมณฑล ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แบ่งคณะมหาเถรสมาคมออก เป็น 4 คณะ คือ คณะกลาง คณะเหนือ คณะใต้ และ คณะธรรมยุติกนิกาย ทรงจัดระเบียบการศึกษาพระ สมัยใหม่จากประเทศตะวันตกมาพัฒนาประเทศ ในทุกๆ ด้าน จนพสกนิกรชาวไทยพร้อมใจกันถวายพระ ราชสมัญญานามแด่พระองค์ว่า “พระปิยมหาราช” อันหมายถึงพระราชาผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักของประชาชน พระปิยมหาราชเสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม 2453 ทรงมีพระราชโอรส และพระราชธิดา รวม 77 พระองค์

เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของ พระองค์ท่านที่ทรงมีต่อประเทศชาติและประชาชน คนไทย จึงมีการบริจาคเงินสร้างพระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์ให้คนรุ่นหลังได้ถวาย สักการะ ณ บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต และถือเอา วันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันปิยมหาราช
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ประวัติศาสตร์ บทกวี ประวัติศาสตร์ไทย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่