บทนำ
ลุงกับป้า ตะลุย เมียนม่าร์ แบบแบ็คแพ็ค
ก่อนไปเมียนม่าร์ไม่รู้เลย ว่าคนเมียนม่าร์ทางตอนเหนือ ส่วนใหญ่ ไม่รู้จักประเทศไทยและคนไทย พวกเขารู้จักแต่เสียมและโยเดีย เพราะแทบจะทุกมุมของกทม. มีชาวเมียนม่าร์อยู่ทั่วไป แม้วันที่ไปขอวีซ่าที่สถานทูตเมียนม่าร์ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนสาทรมีชาวเมียนม่าร์ไปขอใช้บริการเต็มไปหมดแต่ละคนพูดภาษาไทยที่ใช้สื่อสารได้เป็นอย่างดี พอได้คุยกับคนเมียนม่าร์ จึงรู้ว่า พวกที่เข้ามาทำงานในไทยส่วนใหญ่มาจากทางตอนใต้ของเมียนม่าร์ คือ มะละแหม่ง (MawLaMyine) ทวาย (Dwei) มะริด (Myeik) และ ตะนาวศรี (Tenasserim)
แบ็คแพ็คในเมียนม่าร์ 14 วัน (6-19 มีนาคม 2558) เป็นการแบกเป้เที่ยวครั้งแรกในชีวิตของลุงกับป้า สำหรับการเลือกเมียนม่าร์เป็นสนามทดลองนับได้ว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ๆ เพราะทั้งผู้คน สถานที่ ยานพาหนะ และความปลอดภัย ทำให้เรารักการแบ็คแพ็คจับใจ
การรายงานการท่องเที่ยวครั้งนี้ แบ่งเป็น 10 ตอน รายงานทั้งภาคภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เผื่อว่าจะมีใครสนใจอยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่ภาคภาษาอังกฤษนำไปเสนอในเพจ Backpacking with Uncle and Auntie ตามลิงค์นี้ค่ะ
https://www.facebook.com/Backpacking-With-Uncle-Auntie-749593508502221/ สำหรับภาษาไทยติดตามได้ที่เพจ ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตามลิงค์นี้ค่ะ
https://www.facebook.com/uncleandauntiearoundtheworld อย่าลืมกดไลค์เป็นกำลังใจที่หน้าเพจบ้างนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ลุงกับป้า ตะลุย เมียนม่าร์ แบบแบ็คแพ็ค 14 วัน ตอนที่ 1 กรุงเทพฯ-มัณฑะเลย์
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558 เราไปถึงสถานทูตในเวลา 8.30 น. แต่กว่าจะเข้าไปได้ก็เดินวนอยู่หลายรอบ ในแบบฟอร์มขอวีซ่ามีให้กรอกเที่ยวบินไป-กลับ และเลขที่บ้านระหว่างอยู่ในเมียนม่าร์ มีนายหน้ารับทำวีซ่าเต็มไปหมด ในขณะที่เรากำลังละล้าละลังว่าจะเอาอย่าไรดี บังเอิญเราเจอน้องรุ้งซึ่งเดินทางเข้า-ออกเมียนม่าร์ด้วยหน้าที่การงานอยู่เป็นประจำ เราจึงรู้ว่า มีช่องให้กรอก แต่ไม่จำเป็นต้องกรอก
กว่าจะได้คิวยื่นก็เลยเที่ยงวันไปแล้ว วันที่นัดไปรับ คือ วันอังคารสัปดาห์ต่อไปในเวลา 15.30 น.
พอถึงวันนัดเราก็ไปใกล้เวลานัด พบว่าด้านนอกสถานทูตมีคนยืนเข้าแถวม้วนไปม้วนมาจนแน่นขนัด เวลานัด 15.30-16.30 น. แต่ที่ประตูมีป้ายแปะไว้ว่าเวลาเปิด 17.00 น. หลังเวลาตามป้ายเล็กน้อย ประตูก็เปิดออก แต่เมื่อเข้าไปข้างในเป็นเวลา 17.27 น. แล้ว ออฟฟิศ ยังไม่เปิดไฟ คนรอเต็มห้อง ล้นไปข้างนอก รับรองว่าใครขยับต้องเสียที่แน่นอน เพราะวันจันทร์ก็หยุดไปแล้ว 1 วัน เปิดวันอังคาร วันพุธจะหยุดอีก เราจึงสงสัยว่าเราคงจะเจอ Incredible Myanmar อีกที่หนึ่งแล้ว
บรรยากาศการรอวีซ่าในห้องสำหรับผู้ขอรายใหม่ เป็นความกระวนกระวาย แต่สำหรับนายหน้าเป็นความเคยชิน มีน้องคนหนึ่งมีประสบการณ์การบินเข้า- ออกเมียนม่าร์บ่อยๆ ค่ำนั้นน้องต้องไปเช็คอินที่สนามบินดอนเมืองภายในทุ่มครึ่ง รอจนถึงเวลาทุ่มตรง ไฟในห้องทำงานก็ยังไม่เปิด เธอจึงตัดสินใจฝากนายหน้าคนหนึ่งให้จัดการให้ ตัวเธอต้องรีบไปเช็คอินให้ทันเวลา ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ให้ไปส่งที่ดอนเมือง และให้นายหน้าจ้างพี่วิน เอาหนังสือเดินทางตามไปให้

คนที่รอ รอแล้วรออีกสำนักงานยังมืดมิด คนที่ยืนรวมทั้งลุงจึงนั่งลงที่พื้น คนที่มีประสบการณ์มีเก้าอี้พลาสติกตัวเล็กติดไปวางนั่งด้วย ทุกคนต้องทำใจ หากิจกรรมทำ คลายเครียด คุยกันบ้าง นั่งก้มหน้าอยู่กับสมาร์ทโฟนบ้าง คนที่รู้ธรรมเนียมเมียนม่าร์ดี คือ นายหน้า พวกเขาควักของขบเคี้ยวขึ้นมาฆ่าเวลา เวลา 19.15 น. ไฟเปิด เจ้าหน้าที่แจกให้ช่องพิเศษก่อน ตามด้วยช่องคนไทย และสุดท้ายเป็นช่องชาวต่างชาติ

ผ่านด่านแรกแล้ว สิ่งที่ควรจำคือ ถ้าจะไปเมียนม่าร์ ต้องให้เวลากับการขอวีซ่า ตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้าเวลากระชั้นชิดอาจตกเครื่องบินได้ หรือถ้าเราเป็นคนมีภารกิจมาก เราควรใช้บริการนายหน้า พวกเขายินดีเสียเวลารอคอย แต่เราต้องจ่ายค่าบริการ (รายการนี้ไม่ได้สืบราคามาไม่ทราบว่าเขาคิดหัวละเท่าไร แต่พี่วินที่ยืนรออยู่ด้วยกันรับจ้างไปด้วยราคา 600 บาท แค่รับแทนอย่างเดียวแต่เขาบอกว่า ไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลารอเกือบ 5 ชม.)
เมื่อถึงวันเดินทาง 6 มีนาคม 2558 เราใช้บริการแอร์เอเชีย โทรจองแค่ข้ามคืนราคาตั๋วขึ้นไปเกือบ 4,000 บาท เราไปลงที่สนามบินมัณฑะเลย์ ขณะที่นั่งรถที่รับจากตัวเครื่องไปยังสนามบิน ก็ได้รู้จักกับคุณก้อง เจ้าของโรงสีใหญ่จากนครนายก เขาแนะนำให้เราไปแลกเงิน และซื้อซิมโทรศัพท์ก่อนออกจากสนามบิน เพราะยังมีเวลาอีกนานกว่ารถ บริการรถรับ-ส่งของสายการบินจะออกจากสนามบิน

เราแบกเป้คนละใบ จึงไม่ต้องรอกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่อง และไปกับสายพานลำเลียง เราใช้เงินดอลล่าร์แลกเงินจั๊ท แล้วซื้อซิมเน็ทในราคา 15,000 จั๊ท ทดลองส่งข้อความดู เห็นว่าใช้ได้จึงออกไปขึ้นรถ คุณก้องนั่งอยู่บนรถแล้ว เขาชวนลุงนั่งด้วย ส่วนป้านั่งคู่ไปกับฝรั่งชาวเยอรมนีที่หลงเสน่ห์เมียนม่าร์ และไทยเป็นพิเศษ คุณก้องเดินทางไปดูพระแกะสลักด้วยหินอ่อน ที่สั่งทำไว้เพื่อนำไปถวายเป็นพระประธานตามวัดที่ยังขาดพระประธาน คุณก้องบอกว่าการจ้างแกะสลักพระด้วยหินอ่อนที่เมียนม่าร์ เมื่อรวมราคาค่าขนส่งแล้วยังถูกกว่าจ้างแกะสลักในเมืองไทยถึง 4 เท่า นอกจากนั้นยังมีความละเอียดอ่อนมากกว่าช่างไทยอีกด้วย
รถผ่านเจดีย์หลายๆที่ คุณก้องเล่าว่า คนเมียนม่าร์ที่มีฐานะดี นิยมสร้างเจดีย์ไว้ในบ้าน เป็นการประกาศว่า พวกเขามีความเป็นอยู่มั่งคั่ง พอที่จะมีเจดีย์เป็นของตัวเอง พวกเขามีค่านิยมในการสร้างเจดีย์และบูชาเจดีย์กันมาตั้งแต่ก่อนเป็นประเทศพม่าแล้ว ดังนั้นในเมียนม่าร์ จึงมีเจดีย์อยู่ทุกหนทุกแห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บากัน หรือพุกามซึ่งเป็นราชธานีเก่า จึงเป็นทะเลเจดีย์อย่างที่เราทราบกัน
ที่น่าทึ่งสุดๆ เป็นขบวนแห่เจ้าบ่าว โดยรถม้า และเกวียนเทียมวัว รถและเกวียนได้รับการตกแต่งสวยงาม ด้วยผ้าสีแดงสด สีเหลืองสด สีเขียวสด และสีชมพูสด แต่เนื่องจาก ขบวนเลี้ยวเข้าไปในถนนเข้าหมู่บ้านเสียก่อน เราจึงไม่เห็นว่า เขาใช้อะไรเป็นมโหรี และไม่รู้ว่าเจ้าบ่าวนั่งรถม้า หรือ เกวียน
เราแจ้งคนรถว่า เราจะไปสถานีรถไฟ ให้ช่วยไปส่งด้วย ซึ่งเขาก็รับปาก แต่พนักงานขับรถและคนรถมีธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว จึงพยายามจับแขกให้ได้ ก่อนที่แขกจะลงจากรถ ป้าถามแล้วถามอีกว่าผ่านสถานีรถไฟหรือไม่ เขาตอบว่าผ่าน และรับปากว่าจะจอดให้เราลง แต่เมื่อถึงสถานีรถไฟ เขาไม่ทำตามที่บอก ทั้งๆ ที่เราเห็นคลับคล้ายคลับคลา ว่าเป็นสถานีรถไฟ และพอเราถามพวกเขาก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่ยอมจอดให้เราลง
รถตรงไปที่คิวรถแท็กซี่ เพื่อจะให้เราใช้บริการรถแท็กซี่ แต่เราพอจะรู้ทิศทางบ้างแล้ว เมื่อลงจากรถเราจึงต้องเดินไปสถานีรถไฟมัณฑะเลย์ ที่มีระยะทางประมาณ 1 กม. ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง เราเห็นว่า เราเพิ่งผ่านสถานีรถไฟจึงเดินย้อนกลับและถามคนข้างทางเพื่อความมั่นใจ

ด้านหน้าสถานีรถไฟมัณฑะเลย์ทำหน้ามุขยื่นออกมา มีเสากลมคล้ายๆ เสาโรมัน แต่ข้างบนเป็นแผ่นไม่แน่ใจว่าเป็นไม้ หรือ ปูนเป็นลวดลายแกะสลักด้วยสีทอง คล้ายๆ พระราชวัง มองมาจากถนน เห็นป้ายโรงแรมรถไฟ แต่ไม่เห็นป้ายสถานีรถไฟ
ขนาดเดินถึงสถานีรถไฟและเดินเข้าไปข้างในแล้วแล้วยังไม่แน่ใจ เพราะไม่มีช่องขายตั๋ว มีห้องหนึ่งเหมือนเป็นสำนักงานย่อยของธนาคาร ป้าต้องวิ่งไปถามพนักงานที่มองเห็นอยู่อีกด้านหนึ่ง เราเดินขึ้นบันไดสูงประมาณ 6 เมตรไปซื้อตั๋ว เพื่อเดินทางไปมิตจินา (Myitkyina) สถานีรถไฟเหนือสุดของเมียนม่าร์ ที่ชั้น 2 ทั้งๆ ที่เป็นบันไดเลื่อนแต่ต้องเดินขึ้น เพราะมันไม่เลื่อนขึ้น แต่ตอนกลับลงไปมันเลื่อนลงให้ อย่างนี้ก็มีด้วย! ….ให้ เดินขึ้นแต่เลื่อนลง!
ค่าโดยสารรถไฟในเมียนม่าร์ ถูกมาก ตอนที่ป้าไปซื้อชั้นพิเศษหมดไปแล้ว เหลือแต่ชั้นธรรมดา ค่าตั๋ว คนละ 4,400 จั๊ท (100 จั๊ท = 3.33 บาท) หลังจากซื้อตั๋วเสร็จแล้ว เราก็ออกไปหาข้าวกลางวัน แต่ปรากฏว่า ร้านข้าวเก็บหมดแล้ว เราจึงไปหาซื้อขนมแทน ลุงบอกให้ป้าหาซื้อแป้งแบบที่เห็นผู้หญิงเมียนม่าร์ป้ายที่แก้มมาทา เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ พอดีผ่านร้านขายเครื่องสำอาง จึงเดินเข้าไป ถามสาวหน้าร้าน เธอบอกว่า มันชื่อ ทะนาคา ไม่ใช่ ทาหน้าคะ เราซื้อได้ในราคากระปุกละ 600 จั๊ท ซื้อแล้วก็ให้เธอสาธิตวิธีใช้ และช่วยทาหน้าให้เราให้ด้วย แล้วก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก

อาหารประเภทนม และเครื่องดื่มที่เห็นในร้านค้า ล้วนส่งไปจากประเทศไทย ราคาจึงแพงกว่าในไทย
ตอนไปซื้อน้ำ แม่ค้าสาวที่ขายน้ำพูดภาษาไทยได้บ้าง บอกว่า น้ำขวดละ 3 บาท ขอเป็นเหรียญบาทไทย ผู้ชายที่อยู่ในร้าน รุมกันขอดูเหรียญบาทและเหรียญห้าบาทไทย ตอนหลังเราพบว่า ร้านนั้นขายน้ำถูกที่สุด เพราะที่อื่นขายขวดเล็ก 300 จั๊ท ขวดใหญ่ขนาดที่เธอขายราคา 500 จั๊ท
ที่สถานีรถไฟมัณฑะเลย์ มีห้องน้ำที่เสียค่าบริการในราคา 300 จั๊ทต่อ 1 ครั้ง คนใช้ห้องน้ำบางคนก็ไม่รู้วัฒนธรรมในการใช้ห้องน้ำ เพราะทิ้งกระดาษชำระเกลื่อนกลาด และไม่ราดน้ำหลังจากเสร็จกิจ!
ตอนที่ 2 มัณฑะเลย์-มิตจินา จะตามมาเร็วๆ นี้ ส่วนผู้สนใจภาษาอังกฤษ ตอนที่ 1 จะลงไว้ในความคิดเห็น ค่ะ
[CR] ลุงกับป้า ตะลุย เมียนม่าร์ แบบแบ็คแพ็ค 14 วัน ตอนที่ 1 กรุงเทพฯ-มัณฑะเลย์
ลุงกับป้า ตะลุย เมียนม่าร์ แบบแบ็คแพ็ค
ก่อนไปเมียนม่าร์ไม่รู้เลย ว่าคนเมียนม่าร์ทางตอนเหนือ ส่วนใหญ่ ไม่รู้จักประเทศไทยและคนไทย พวกเขารู้จักแต่เสียมและโยเดีย เพราะแทบจะทุกมุมของกทม. มีชาวเมียนม่าร์อยู่ทั่วไป แม้วันที่ไปขอวีซ่าที่สถานทูตเมียนม่าร์ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนสาทรมีชาวเมียนม่าร์ไปขอใช้บริการเต็มไปหมดแต่ละคนพูดภาษาไทยที่ใช้สื่อสารได้เป็นอย่างดี พอได้คุยกับคนเมียนม่าร์ จึงรู้ว่า พวกที่เข้ามาทำงานในไทยส่วนใหญ่มาจากทางตอนใต้ของเมียนม่าร์ คือ มะละแหม่ง (MawLaMyine) ทวาย (Dwei) มะริด (Myeik) และ ตะนาวศรี (Tenasserim)
แบ็คแพ็คในเมียนม่าร์ 14 วัน (6-19 มีนาคม 2558) เป็นการแบกเป้เที่ยวครั้งแรกในชีวิตของลุงกับป้า สำหรับการเลือกเมียนม่าร์เป็นสนามทดลองนับได้ว่า เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ๆ เพราะทั้งผู้คน สถานที่ ยานพาหนะ และความปลอดภัย ทำให้เรารักการแบ็คแพ็คจับใจ
การรายงานการท่องเที่ยวครั้งนี้ แบ่งเป็น 10 ตอน รายงานทั้งภาคภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เผื่อว่าจะมีใครสนใจอยากเรียนรู้ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับการท่องเที่ยว แต่ภาคภาษาอังกฤษนำไปเสนอในเพจ Backpacking with Uncle and Auntie ตามลิงค์นี้ค่ะ https://www.facebook.com/Backpacking-With-Uncle-Auntie-749593508502221/ สำหรับภาษาไทยติดตามได้ที่เพจ ลุงกับป้าแบ็คแพ็ครอบโลก ตามลิงค์นี้ค่ะ https://www.facebook.com/uncleandauntiearoundtheworld อย่าลืมกดไลค์เป็นกำลังใจที่หน้าเพจบ้างนะคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
ลุงกับป้า ตะลุย เมียนม่าร์ แบบแบ็คแพ็ค 14 วัน ตอนที่ 1 กรุงเทพฯ-มัณฑะเลย์
วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558 เราไปถึงสถานทูตในเวลา 8.30 น. แต่กว่าจะเข้าไปได้ก็เดินวนอยู่หลายรอบ ในแบบฟอร์มขอวีซ่ามีให้กรอกเที่ยวบินไป-กลับ และเลขที่บ้านระหว่างอยู่ในเมียนม่าร์ มีนายหน้ารับทำวีซ่าเต็มไปหมด ในขณะที่เรากำลังละล้าละลังว่าจะเอาอย่าไรดี บังเอิญเราเจอน้องรุ้งซึ่งเดินทางเข้า-ออกเมียนม่าร์ด้วยหน้าที่การงานอยู่เป็นประจำ เราจึงรู้ว่า มีช่องให้กรอก แต่ไม่จำเป็นต้องกรอก
กว่าจะได้คิวยื่นก็เลยเที่ยงวันไปแล้ว วันที่นัดไปรับ คือ วันอังคารสัปดาห์ต่อไปในเวลา 15.30 น.
พอถึงวันนัดเราก็ไปใกล้เวลานัด พบว่าด้านนอกสถานทูตมีคนยืนเข้าแถวม้วนไปม้วนมาจนแน่นขนัด เวลานัด 15.30-16.30 น. แต่ที่ประตูมีป้ายแปะไว้ว่าเวลาเปิด 17.00 น. หลังเวลาตามป้ายเล็กน้อย ประตูก็เปิดออก แต่เมื่อเข้าไปข้างในเป็นเวลา 17.27 น. แล้ว ออฟฟิศ ยังไม่เปิดไฟ คนรอเต็มห้อง ล้นไปข้างนอก รับรองว่าใครขยับต้องเสียที่แน่นอน เพราะวันจันทร์ก็หยุดไปแล้ว 1 วัน เปิดวันอังคาร วันพุธจะหยุดอีก เราจึงสงสัยว่าเราคงจะเจอ Incredible Myanmar อีกที่หนึ่งแล้ว
บรรยากาศการรอวีซ่าในห้องสำหรับผู้ขอรายใหม่ เป็นความกระวนกระวาย แต่สำหรับนายหน้าเป็นความเคยชิน มีน้องคนหนึ่งมีประสบการณ์การบินเข้า- ออกเมียนม่าร์บ่อยๆ ค่ำนั้นน้องต้องไปเช็คอินที่สนามบินดอนเมืองภายในทุ่มครึ่ง รอจนถึงเวลาทุ่มตรง ไฟในห้องทำงานก็ยังไม่เปิด เธอจึงตัดสินใจฝากนายหน้าคนหนึ่งให้จัดการให้ ตัวเธอต้องรีบไปเช็คอินให้ทันเวลา ต้องใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ให้ไปส่งที่ดอนเมือง และให้นายหน้าจ้างพี่วิน เอาหนังสือเดินทางตามไปให้
คนที่รอ รอแล้วรออีกสำนักงานยังมืดมิด คนที่ยืนรวมทั้งลุงจึงนั่งลงที่พื้น คนที่มีประสบการณ์มีเก้าอี้พลาสติกตัวเล็กติดไปวางนั่งด้วย ทุกคนต้องทำใจ หากิจกรรมทำ คลายเครียด คุยกันบ้าง นั่งก้มหน้าอยู่กับสมาร์ทโฟนบ้าง คนที่รู้ธรรมเนียมเมียนม่าร์ดี คือ นายหน้า พวกเขาควักของขบเคี้ยวขึ้นมาฆ่าเวลา เวลา 19.15 น. ไฟเปิด เจ้าหน้าที่แจกให้ช่องพิเศษก่อน ตามด้วยช่องคนไทย และสุดท้ายเป็นช่องชาวต่างชาติ
ผ่านด่านแรกแล้ว สิ่งที่ควรจำคือ ถ้าจะไปเมียนม่าร์ ต้องให้เวลากับการขอวีซ่า ตั้งแต่เนิ่นๆ ถ้าเวลากระชั้นชิดอาจตกเครื่องบินได้ หรือถ้าเราเป็นคนมีภารกิจมาก เราควรใช้บริการนายหน้า พวกเขายินดีเสียเวลารอคอย แต่เราต้องจ่ายค่าบริการ (รายการนี้ไม่ได้สืบราคามาไม่ทราบว่าเขาคิดหัวละเท่าไร แต่พี่วินที่ยืนรออยู่ด้วยกันรับจ้างไปด้วยราคา 600 บาท แค่รับแทนอย่างเดียวแต่เขาบอกว่า ไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลารอเกือบ 5 ชม.)
เมื่อถึงวันเดินทาง 6 มีนาคม 2558 เราใช้บริการแอร์เอเชีย โทรจองแค่ข้ามคืนราคาตั๋วขึ้นไปเกือบ 4,000 บาท เราไปลงที่สนามบินมัณฑะเลย์ ขณะที่นั่งรถที่รับจากตัวเครื่องไปยังสนามบิน ก็ได้รู้จักกับคุณก้อง เจ้าของโรงสีใหญ่จากนครนายก เขาแนะนำให้เราไปแลกเงิน และซื้อซิมโทรศัพท์ก่อนออกจากสนามบิน เพราะยังมีเวลาอีกนานกว่ารถ บริการรถรับ-ส่งของสายการบินจะออกจากสนามบิน
เราแบกเป้คนละใบ จึงไม่ต้องรอกระเป๋าที่โหลดใต้เครื่อง และไปกับสายพานลำเลียง เราใช้เงินดอลล่าร์แลกเงินจั๊ท แล้วซื้อซิมเน็ทในราคา 15,000 จั๊ท ทดลองส่งข้อความดู เห็นว่าใช้ได้จึงออกไปขึ้นรถ คุณก้องนั่งอยู่บนรถแล้ว เขาชวนลุงนั่งด้วย ส่วนป้านั่งคู่ไปกับฝรั่งชาวเยอรมนีที่หลงเสน่ห์เมียนม่าร์ และไทยเป็นพิเศษ คุณก้องเดินทางไปดูพระแกะสลักด้วยหินอ่อน ที่สั่งทำไว้เพื่อนำไปถวายเป็นพระประธานตามวัดที่ยังขาดพระประธาน คุณก้องบอกว่าการจ้างแกะสลักพระด้วยหินอ่อนที่เมียนม่าร์ เมื่อรวมราคาค่าขนส่งแล้วยังถูกกว่าจ้างแกะสลักในเมืองไทยถึง 4 เท่า นอกจากนั้นยังมีความละเอียดอ่อนมากกว่าช่างไทยอีกด้วย
รถผ่านเจดีย์หลายๆที่ คุณก้องเล่าว่า คนเมียนม่าร์ที่มีฐานะดี นิยมสร้างเจดีย์ไว้ในบ้าน เป็นการประกาศว่า พวกเขามีความเป็นอยู่มั่งคั่ง พอที่จะมีเจดีย์เป็นของตัวเอง พวกเขามีค่านิยมในการสร้างเจดีย์และบูชาเจดีย์กันมาตั้งแต่ก่อนเป็นประเทศพม่าแล้ว ดังนั้นในเมียนม่าร์ จึงมีเจดีย์อยู่ทุกหนทุกแห่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บากัน หรือพุกามซึ่งเป็นราชธานีเก่า จึงเป็นทะเลเจดีย์อย่างที่เราทราบกัน
ที่น่าทึ่งสุดๆ เป็นขบวนแห่เจ้าบ่าว โดยรถม้า และเกวียนเทียมวัว รถและเกวียนได้รับการตกแต่งสวยงาม ด้วยผ้าสีแดงสด สีเหลืองสด สีเขียวสด และสีชมพูสด แต่เนื่องจาก ขบวนเลี้ยวเข้าไปในถนนเข้าหมู่บ้านเสียก่อน เราจึงไม่เห็นว่า เขาใช้อะไรเป็นมโหรี และไม่รู้ว่าเจ้าบ่าวนั่งรถม้า หรือ เกวียน
เราแจ้งคนรถว่า เราจะไปสถานีรถไฟ ให้ช่วยไปส่งด้วย ซึ่งเขาก็รับปาก แต่พนักงานขับรถและคนรถมีธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว จึงพยายามจับแขกให้ได้ ก่อนที่แขกจะลงจากรถ ป้าถามแล้วถามอีกว่าผ่านสถานีรถไฟหรือไม่ เขาตอบว่าผ่าน และรับปากว่าจะจอดให้เราลง แต่เมื่อถึงสถานีรถไฟ เขาไม่ทำตามที่บอก ทั้งๆ ที่เราเห็นคลับคล้ายคลับคลา ว่าเป็นสถานีรถไฟ และพอเราถามพวกเขาก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่ยอมจอดให้เราลง
รถตรงไปที่คิวรถแท็กซี่ เพื่อจะให้เราใช้บริการรถแท็กซี่ แต่เราพอจะรู้ทิศทางบ้างแล้ว เมื่อลงจากรถเราจึงต้องเดินไปสถานีรถไฟมัณฑะเลย์ ที่มีระยะทางประมาณ 1 กม. ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง เราเห็นว่า เราเพิ่งผ่านสถานีรถไฟจึงเดินย้อนกลับและถามคนข้างทางเพื่อความมั่นใจ
ด้านหน้าสถานีรถไฟมัณฑะเลย์ทำหน้ามุขยื่นออกมา มีเสากลมคล้ายๆ เสาโรมัน แต่ข้างบนเป็นแผ่นไม่แน่ใจว่าเป็นไม้ หรือ ปูนเป็นลวดลายแกะสลักด้วยสีทอง คล้ายๆ พระราชวัง มองมาจากถนน เห็นป้ายโรงแรมรถไฟ แต่ไม่เห็นป้ายสถานีรถไฟ
ขนาดเดินถึงสถานีรถไฟและเดินเข้าไปข้างในแล้วแล้วยังไม่แน่ใจ เพราะไม่มีช่องขายตั๋ว มีห้องหนึ่งเหมือนเป็นสำนักงานย่อยของธนาคาร ป้าต้องวิ่งไปถามพนักงานที่มองเห็นอยู่อีกด้านหนึ่ง เราเดินขึ้นบันไดสูงประมาณ 6 เมตรไปซื้อตั๋ว เพื่อเดินทางไปมิตจินา (Myitkyina) สถานีรถไฟเหนือสุดของเมียนม่าร์ ที่ชั้น 2 ทั้งๆ ที่เป็นบันไดเลื่อนแต่ต้องเดินขึ้น เพราะมันไม่เลื่อนขึ้น แต่ตอนกลับลงไปมันเลื่อนลงให้ อย่างนี้ก็มีด้วย! ….ให้ เดินขึ้นแต่เลื่อนลง!
ค่าโดยสารรถไฟในเมียนม่าร์ ถูกมาก ตอนที่ป้าไปซื้อชั้นพิเศษหมดไปแล้ว เหลือแต่ชั้นธรรมดา ค่าตั๋ว คนละ 4,400 จั๊ท (100 จั๊ท = 3.33 บาท) หลังจากซื้อตั๋วเสร็จแล้ว เราก็ออกไปหาข้าวกลางวัน แต่ปรากฏว่า ร้านข้าวเก็บหมดแล้ว เราจึงไปหาซื้อขนมแทน ลุงบอกให้ป้าหาซื้อแป้งแบบที่เห็นผู้หญิงเมียนม่าร์ป้ายที่แก้มมาทา เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ พอดีผ่านร้านขายเครื่องสำอาง จึงเดินเข้าไป ถามสาวหน้าร้าน เธอบอกว่า มันชื่อ ทะนาคา ไม่ใช่ ทาหน้าคะ เราซื้อได้ในราคากระปุกละ 600 จั๊ท ซื้อแล้วก็ให้เธอสาธิตวิธีใช้ และช่วยทาหน้าให้เราให้ด้วย แล้วก็ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก
อาหารประเภทนม และเครื่องดื่มที่เห็นในร้านค้า ล้วนส่งไปจากประเทศไทย ราคาจึงแพงกว่าในไทย
ตอนไปซื้อน้ำ แม่ค้าสาวที่ขายน้ำพูดภาษาไทยได้บ้าง บอกว่า น้ำขวดละ 3 บาท ขอเป็นเหรียญบาทไทย ผู้ชายที่อยู่ในร้าน รุมกันขอดูเหรียญบาทและเหรียญห้าบาทไทย ตอนหลังเราพบว่า ร้านนั้นขายน้ำถูกที่สุด เพราะที่อื่นขายขวดเล็ก 300 จั๊ท ขวดใหญ่ขนาดที่เธอขายราคา 500 จั๊ท
ที่สถานีรถไฟมัณฑะเลย์ มีห้องน้ำที่เสียค่าบริการในราคา 300 จั๊ทต่อ 1 ครั้ง คนใช้ห้องน้ำบางคนก็ไม่รู้วัฒนธรรมในการใช้ห้องน้ำ เพราะทิ้งกระดาษชำระเกลื่อนกลาด และไม่ราดน้ำหลังจากเสร็จกิจ!
ตอนที่ 2 มัณฑะเลย์-มิตจินา จะตามมาเร็วๆ นี้ ส่วนผู้สนใจภาษาอังกฤษ ตอนที่ 1 จะลงไว้ในความคิดเห็น ค่ะ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น