
เมื่อวันหยุดยาว 23-25 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของชีวิตคนเมืองที่จะได้ใช้ชีวิตสโลไลฟ์บ้าง
วางแพลนไว้จะไปเที่ยวเมืองกาญจฯ แต่สก๊อยหมื่นโลบอกอยากไปลองเที่ยว
Corofield และภูเขาน้ำตก
อ่ะ!! อยากไปก็ไป มีหน้าที่ขี่พาไปอยู่แล้ว เก็บกระเป๋า วางแผน ยากันยุง น้ำดื่ม เสื้อผ้าให้พร้อม
ถึงวันเวลาออกเดินทางไปกับรถคู่ใจและสก๊อยคนสำคัญ Go On Ratchaburi!!!
(ใครอยากไปเกาะล้อมา เดี๋ยวพาไปดู)
เริ่มเส้นทางจากนครปฐม (หน้าม.ศิลปกร เข้าสู่ตัวเมืองราชบุรี โดยใช้เส้นทางหลวง 4
(ขออนุญาตินำภาพจาก Google เนื่องจากลืมบอกให้สก๊อยถ่าย)
วิ่งตรงยาวมาตามทาง บิดชิวๆ 80 Km กับอากาศเย็นๆมีแดดอ่อนๆ มีรถติดบ้างเนื่องจากเทศกาล
** ก่อนเข้าสวนผึ้งควรเติมน้ำมันให้เต็มไว้ก่อน เพราะจะเจออีกทีคือครึ่งทางของสวนผึ้ง **
ขับเข้าเส้นที่จะไปสวนผึ้ง จะได้กลิ่นบรรยากาศที่ธรรมชาติม๊ากกกมากกกก!!
นี่ขี่มอไซค์ได้รับทุกอย่าง ทั้งฝุ่น ควัน ความร้อน กลิ่นขี้ควาย สูดเข้าไปเอาให้ขมคอ!!
ระหว่างทางที่จะไปสวนผึ้งนี้ข้างทางจะชุ่มช่ำไปด้วยต้นไม้ ไม่ร้อนเท่าไหร่
ถนนลาดยางอย่างดี ขับไปสักพักจะมีปั๊ม PTT อยู่ซ้ายมือ
ใครน้ำมันหมดเติมไว้เลย เพราะต้องผ่านไปอีก 20 กว่าโลถึงจะเจอปั๊มอีกรอบ
ถึงแล้ววววฮ๊าาาา~ ตอนบ่ายแก่ๆแดดร้อนๆและลมเย็นเบาๆ
โอ้โห!! สวยดีแหะ มีคาเฟ่โปร่งๆรับแสงแดดอยู่หน้าทางเข้า
เห็นแล้วอยากเข้าไปนั่งตากแอร์ให้เย็นฉ่ำ ดื่มกาแฟสักแก้ว แล้วค่อยไปเดินเล่น
เดินเข้ามามีโคโรโระคุงให้การต้อนรับ ยิ้มหราตัวขาวตากแดดอยู่ข้างป้าย
หันกลับมาหาสก๊อยคนงามจะชี้ชวนให้ไปถ่ายรูป
อ้าวว!! ยังนั่งหน้ามุ่ยอยู่ที่รถ จิกกล้องแตกล่ะเนี่ย
ไปสิคะ จะรอให้ไปเชิญมาริไง ลงรถสิ!! (ประโยคนี้คิดในใจ) (._.)'
[
เดินเข้ามาแล้วจะเจอ Infomation มีคาเฟ่อยู่ทางซ้ายมือ
มีคนเกือบเต็มร้าน คงเพราะอากาศร้อน แต่เรายังไม่เข้าไป ขอเดินสำรวจอีกหน่อยละกัน
เดินผ่าน Infomation จะเจอโรงเพาะเมล่อน
แต่ช่วงนี้เค้าปิดไม่ให้เข้าไป เค้าบอกว่าเมล่อนยังเป็นชั้นประถมอยู่
ยังเข้าไปดูไม่ได้ ให้น้องโตก่อน ไว้น้องโตจนอยู่ช่วงมหาวิทยาลัยก่อน คงได้เชยชมสมใจ คุคุ
ด้านขวามือตรงข้ามกับ Coro House จะเป็นโซนให้ปลูก & เก็บเกี่ยว โซนนี้แบ่งเป็นรอบๆ
เสียค่าใช้จ่ายคนละ 180 บาทขาดตัว ซื้อตั๋วได้ที่โซน Coro ME ด้านใน
พนักงานจะให้เราใส่เอี๊ยม กับ กระเป๋า และเราก็เดินเข้าไปเก็บ
หลังจากเก็บก็นำไปล้างที่โซน Wash Me อยู่ด้านข้างๆ
อันนี้ขอยืมเค้ามาถ่าย แพคเกจไทยๆน่ารักดี
มะเขือเทศน่ากินมาก อยากจะขอแต่ก็เกรงใจ
อยากจะรอรอบเข้าไปเก็บบ้างก็คงไม่ทัน เดี๋ยวไปที่อื่นต่อไม่ทัน
ไม่เป็นไร รอบหน้าละกันนะหนู
เดินผ่านโซนเก็บเกี่ยวมาแล้ว ก็จะเจอโซน Coro Me
มีจุดเด่นเป็นสง่าคือโคโรโระนอนแผ่อาบแดดอยู่
ในโซนนี้จะมีต้นไม้ให้เอากลับไปอุปการะ (ขายนั่นเอง)
และของใช้ต่างๆน่ารักๆ ประตูนี่เค้าไม่มีป้ายติดนะว่าให้ดัน ดึง เลื่อน หรือยังไง
นี่ก็ดันเท่าไหร่ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก พนักงานต้องเดินมาเปิดให้
ครืดดดด... อ้าว เลื่อนหรอกหรอออ!!!
เปิดเข้าไปสก๊อยคนงามถึงกับยิ้ม หลับตาพริ้มด้วยความฟิน ไม่ใช่ไรหรอก แอร์มันเย็น
ก็เลยให้นั่งพัก เดินเล่นสักหน่อย ในนี้มีไรบ้าง เดินมาๆๆ

โซนตรงนี้เป็นต้นไม้ขวดโหลที่ฮิตอยู่ในตอนนี้ ทางร้านตกแต่งไว้ให้อยู่แล้ว
แต่ถ้าอยากแต่งเพิ่มก็ทำได้ ราคาต้นไม้ขวดโหลจะเริ่มต้นที่ 300 บาท จนถึงหลักพันบาท
หน้าเคาท์เตอร์จะมีฟิกเกอรตัวเล็กๆขาย ราคา 60 บาท
เห็นฟิกเกอร์ฟมีขาวแล้วอยากได้ ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
เห็นที่นี่เลยกรี๊ดอยากซื้อกลับไปวางไว้ที่ทำงาน
แต่สก๊อยบอกว่า “เดี๋ยวก็หายหรอก” จ้ะ ไม่ซื้อก็ได้ TT-TT
ตรงกลางห้องจะมีของใช้จิปาถะทั่วไป
ตะเกียบ ช้อน ขวดน้ำ ร่ม ถุงผ้า ปากกา ต้นไม้ขวดโหลไซส์ต่างๆ
อารมณ์เหมือนเดิน Loft สวยเก๋ โมเดิร์น สีสันฉูดฉาด
อยากซื้อกลับไปแต่ก็เกรงว่างบจะไม่พอยาไส้ในวันต่อๆไป
มีต้นกระบองเพชร และแคนตัสน้อยๆอยู่บนชั้นวาง
รอใครสักคนมารับไปอุปการะ สีสันเขียวสดใส
ถ้าไม่ติดว่ามีหนาม จะจับมากัดให้กรุบๆในปาก หมันเขี้ยวมาก
มองลอดออกไปที่นอกหน้าต่าง
อู๋ววววว~ เห็นโคโรโระโผล่หัวออกมา
นึกถึงเกมส์ตัวตุ่นตอนเด็ก ทุบๆๆๆๆๆๆๆ!!!
ถัดมาอีกโซน จะมีที่สำหรับตกแต่งต้นไม้ที่เราจะนำไปอุปการะ
มีการเขียนลงกระดาษ เป็นสนธิสัญญาว่าจะดูแลต้นไม้นี้เป็นอย่างดี (ไม่ได้ถ่ายมา ขออภัย)
มีทราย กรวดต่างๆให้ตกแต่ง และมีตรายางให้ปั๊มว่ามาจากที่นี่นะ..รู้ยัง
นั่งแต่งไป เมื่อยล้าก็มองออกไปข้างนอกดูวิวไป
บรรยากาศดีใช่ย่อย แต่ช่วงนี้ใกล้หน้าหนาว มีหมอกบางๆปกคลุม
เลยเห็นภูเขาไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ถ้าเป็นหน้าร้อน คงเห็นชัดและสวยกว่านี้
ตากแอร์จนหนำใจละก็เดินสำรวจรอบอาคาร Coro Me หน่อย
เห็นว่าข้างบนขึ้นไปดูวิวได้ ไหนขึ้นไปดูซิ มีอะไรบ้าง (ทิ้งสก๊อยนั่งพักไว้ก่อน เดี๋ยวลงมาเก็บ)
ขึ้นมาแล้วจะมีเก้าอี้ให้นั่งชมบรรยากาศ ด้านหลังจะมีภูเขาเด่นเป็นสง่า คาดว่านั่งตอนเย็น
มีกาแฟเครื่องดื่มนิดๆ จิบไป ดูวิวไป นี่แหล่ะสโลว์ไลฟ์ของแท้!!
ลงมาเรียกสก๊อย “เธอๆ ไปถ่ายรูปกัน” มาที่นี่ไม่ถ่ายรูปนี้ ถือว่ายังมาไม่ถึง Corofield นะ
อยากนอนด้วย แต่ไม่เอาดีกว่า ขอเสียสละพื้นที่แห่งนี้ให้เธอละกัน
ชุดเอี๊ยมนี่ขอยืมพี่พนักงานมา เค้าก็ถอดให้ ใจดีจริงๆ
หลังจากเสร็จจากตรงนี้ละ ใกล้เวลากลับแล้ว ขอเดินอีกหน่อยละกัน
ด้านนอกก็มีต้นไม้ขาย เรียงรายสีสันสวยงามน่ารักไปหมด
บอนไซก็มี ถ้าเอาไปตั้งที่บ้าน ที่ออฟฟิศคงจะสบายตาดี
ออกไปเดินข้างนอก นั่นไงมีโคโรโระอีกตัว ยื่นแอ่นอยู่
ในโซนนี้จะมีต้นทานตะวันด้วย ใบเหลืองสดมากกกก
นึกว่าอยู่ลพบุรี “ถ่ายรูปให้โหน่ยยยย” อ่ะๆ ก็ได้ๆ แฉะๆๆๆๆ
ถ่ายไป 30 กว่ารูป ไม่พอสักที กลับเถ๊อะ!! เดี่ยวพรุ่งนี้พามาใหม่นะ เอาของไปเก็บก่อนนน
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็รีบเอาชุดไปคืนพี่พนักงาน
เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิด คิดว่าได้เวลาเก็บมะเขือแล้วจะงานเข้า
เพราะคนที่มาก็มองกันเยอะ “ทำไมใส่ชุดนี้ได้ล่ะ”
คืนเรียบร้อยก็รีบไปที่พัก กลัวว่าจะมืดแล้วจะหาทางลำบาก
ขอนิดนึงก่อนกลับ 1 ... 2 ... 3 แคปเจอร์!!
เอาภาพระหว่างทางมาฝากกกกก
ขอปรับเป็น HDR เพื่อความสมจริง(เกินไป) ยามเย็นอากาศดี มีหมอกบางๆ
วันต่อมากลับมาอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันก่อนต้องรีบกลับที่พัก
ครั้งนี้ Corofield คือทางผ่านที่เราจะเข้าไปเที่ยวตัวเมืองราชบุรี
แวะกินข้าวที่นี่ละกัน เมื่อวานมายังไม่ได้ลองชิมเลยว่าที่นี่เป็นไงบ้าง
แดดเปรี้ยงๆเที่ยงตรง ได้เวลาอาหารกลางวัน จัดเลยแล้วกัน!!!
อื่มมม..กินไรดี แต่ก็แพงเหมือนกันแหะ แต่เดี๋ยวลองดูว่ารสชาติจะคุ้มราคามั้ย วิธีการสั่งของที่นี่คือ...
1. ไปที่เคาท์เตอร์ สั่งอาหาร เครื่องดื่ม 2. จ่ายเงิน และพนักงานจะให้เบอร์โต๊ะมา 3. กลับมานั่งที่ รออาหารมาเสิร์ฟ
อาหารมาแล้ว!!! น่ากินใช้ได้
เราสั่งพาสต้าคาโบนาร่า + ไข่ออนเซ็น + เอสเปรสโซ่ ส่วนแฟนสั่งข้าวหมูชาชูกระเทียม + โค้กกระป๋อง
รสชาติใช้ได้ ไม่ถึงกับอร่อยแบบฟินเวอร์ พาสต้ารสชาติหวานมันหอม
ส่วนไข่ออนเซ็นจิ้มเข้าไปกึ่งๆไข่ลวกผสมไข่มะตูม หมูชาชูกระเทียม
หอมกระเทียมหวานเค็มกำลังดี ข้าวผสมข้าวกล้องนิดๆ ผักดูสดสะอาด ออแกนิคจริมๆ
หมดของคาวแล้วก็ต่อด้วยของหวาน แฟนเลยไปสั่งเมล่อนมา 2 ชิ้น ชิ้นละ 50 บาท
สีเขียวสดใส หั่นมาเรียบร้อย
ซูมมมมมมมมมม.... ชัดๆเน้นๆให้เห็นเนื้อ
อ่ะไหนลองซิมันดียังไง? กัดเข้าไปคำแรก หวานเย็นฉ่ำมาก
อากาศร้อนๆกินแบบนี้มันก็โอเคนะ แย่งกันกินกับแฟนไม่ทัน
วางปุ๊บนางฉกก่อนเลย กินหมดก็อิ่มแปล่ ฮ๊าาาา อยากนอนต่อจัง
แต่ไม่ได้ต้องเดินทางต่อ เดี๋ยวจะถึงตัวเมืองมืดพอดี
ไหนๆ ขอถ่ายรูปบ้างสิ แคปเจอร์!!!
กินเสร็จแล้วก็ออกไปเดินย่อยหน่อย เมื่อวานยังเดินไม่ครบ
เห็นผักใบเขียวที่ทางฟาร์มปลูกไว้เต็มไปหมด มันสดแบบธรรมชาติมาก
เขียว ม่วงน่ากิน แฟนนี่อยากจะเด็ดขึ้นมากิน เลยรีบตีมือ “ตัวเองอย่าเด็ดนะ ยกทั้งต้นสิ!” 55555
รวมๆแล้วที่นี่โอเคในระดับนึง เม่ล่อนหวานฉ่ำ อาหารอร่อยแต่แพงไปนิด
การบริการในคาเฟ่ พนักงานช้า คนรอคิวยาวเยียด แต่คงเพราะพึ่งเปิดคนเยอะเลยบริการไม่ทัน
ใครมาเที่ยวสวนผึ้งอย่าลืมมาแวะมา ฟาร์มเค้าดีจริง
ให้คะแนนเต็ม 8.5/10 ละกัน
ขอปิดท้ายด้วยภาพจุดชมวิวห้วยคอกหมู ทางโหดสุดหิน ไถลดินเป็นว่าเล่น
เลยต้องเปลี่ยนสถานะจาก Biker เป็น Backpacker ติดรถคนอื่นขึ้นไป
ดีนะแฟนนอนรอที่ห้อง ไม่งั้นล่ะก็ ได้โดนบ่นหูชาแน่ๆ แต่วิวคุ้มอยู่นะที่ได้มา
เที่ยวทั่วไทย สองล้อก็ไปได้ บิดเบาๆกับรถคู่ใจ และสก๊อยหมื่นโลซ้อนท้าย มองบรรยากาศรอบข้าง นึกว่ามาเมืองเหนือ
แค่นี้แหล่ะความสุขง่ายๆ ร้อน ฝน หนาวก็ลุยกันไป เหนื่อยก็พัก ง่วงก็หาที่งีบ เดินทางต่อ แค่นี้พอใจแล้ว
,, ความสุขคือระหว่างทาง ไม่ใช่ปลายทาง ,,
กล่าวเอง ไม่มีใครกล่าว ง่อวววววว~
** รีวิวนี้ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย **
[CR] [[ REVIEW ]] แว๊นตัวปลิว กินเมล่อน ที่ COROFIELD ฟาร์มออแกนิค ณ ราชบุรี
เมื่อวันหยุดยาว 23-25 ตุลาคมที่ผ่านมา เป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของชีวิตคนเมืองที่จะได้ใช้ชีวิตสโลไลฟ์บ้าง
วางแพลนไว้จะไปเที่ยวเมืองกาญจฯ แต่สก๊อยหมื่นโลบอกอยากไปลองเที่ยว Corofield และภูเขาน้ำตก
อ่ะ!! อยากไปก็ไป มีหน้าที่ขี่พาไปอยู่แล้ว เก็บกระเป๋า วางแผน ยากันยุง น้ำดื่ม เสื้อผ้าให้พร้อม
ถึงวันเวลาออกเดินทางไปกับรถคู่ใจและสก๊อยคนสำคัญ Go On Ratchaburi!!!
(ใครอยากไปเกาะล้อมา เดี๋ยวพาไปดู)
เริ่มเส้นทางจากนครปฐม (หน้าม.ศิลปกร เข้าสู่ตัวเมืองราชบุรี โดยใช้เส้นทางหลวง 4
(ขออนุญาตินำภาพจาก Google เนื่องจากลืมบอกให้สก๊อยถ่าย)
วิ่งตรงยาวมาตามทาง บิดชิวๆ 80 Km กับอากาศเย็นๆมีแดดอ่อนๆ มีรถติดบ้างเนื่องจากเทศกาล
** ก่อนเข้าสวนผึ้งควรเติมน้ำมันให้เต็มไว้ก่อน เพราะจะเจออีกทีคือครึ่งทางของสวนผึ้ง **
ขับเข้าเส้นที่จะไปสวนผึ้ง จะได้กลิ่นบรรยากาศที่ธรรมชาติม๊ากกกมากกกก!!
นี่ขี่มอไซค์ได้รับทุกอย่าง ทั้งฝุ่น ควัน ความร้อน กลิ่นขี้ควาย สูดเข้าไปเอาให้ขมคอ!!
ระหว่างทางที่จะไปสวนผึ้งนี้ข้างทางจะชุ่มช่ำไปด้วยต้นไม้ ไม่ร้อนเท่าไหร่
ถนนลาดยางอย่างดี ขับไปสักพักจะมีปั๊ม PTT อยู่ซ้ายมือ
ใครน้ำมันหมดเติมไว้เลย เพราะต้องผ่านไปอีก 20 กว่าโลถึงจะเจอปั๊มอีกรอบ
ถึงแล้ววววฮ๊าาาา~ ตอนบ่ายแก่ๆแดดร้อนๆและลมเย็นเบาๆ
โอ้โห!! สวยดีแหะ มีคาเฟ่โปร่งๆรับแสงแดดอยู่หน้าทางเข้า
เห็นแล้วอยากเข้าไปนั่งตากแอร์ให้เย็นฉ่ำ ดื่มกาแฟสักแก้ว แล้วค่อยไปเดินเล่น
เดินเข้ามามีโคโรโระคุงให้การต้อนรับ ยิ้มหราตัวขาวตากแดดอยู่ข้างป้าย
หันกลับมาหาสก๊อยคนงามจะชี้ชวนให้ไปถ่ายรูป
อ้าวว!! ยังนั่งหน้ามุ่ยอยู่ที่รถ จิกกล้องแตกล่ะเนี่ย
ไปสิคะ จะรอให้ไปเชิญมาริไง ลงรถสิ!! (ประโยคนี้คิดในใจ) (._.)'
[
เดินเข้ามาแล้วจะเจอ Infomation มีคาเฟ่อยู่ทางซ้ายมือ
มีคนเกือบเต็มร้าน คงเพราะอากาศร้อน แต่เรายังไม่เข้าไป ขอเดินสำรวจอีกหน่อยละกัน
เดินผ่าน Infomation จะเจอโรงเพาะเมล่อน
แต่ช่วงนี้เค้าปิดไม่ให้เข้าไป เค้าบอกว่าเมล่อนยังเป็นชั้นประถมอยู่
ยังเข้าไปดูไม่ได้ ให้น้องโตก่อน ไว้น้องโตจนอยู่ช่วงมหาวิทยาลัยก่อน คงได้เชยชมสมใจ คุคุ
ด้านขวามือตรงข้ามกับ Coro House จะเป็นโซนให้ปลูก & เก็บเกี่ยว โซนนี้แบ่งเป็นรอบๆ
เสียค่าใช้จ่ายคนละ 180 บาทขาดตัว ซื้อตั๋วได้ที่โซน Coro ME ด้านใน
พนักงานจะให้เราใส่เอี๊ยม กับ กระเป๋า และเราก็เดินเข้าไปเก็บ
หลังจากเก็บก็นำไปล้างที่โซน Wash Me อยู่ด้านข้างๆ
อันนี้ขอยืมเค้ามาถ่าย แพคเกจไทยๆน่ารักดี
มะเขือเทศน่ากินมาก อยากจะขอแต่ก็เกรงใจ
อยากจะรอรอบเข้าไปเก็บบ้างก็คงไม่ทัน เดี๋ยวไปที่อื่นต่อไม่ทัน
ไม่เป็นไร รอบหน้าละกันนะหนู
เดินผ่านโซนเก็บเกี่ยวมาแล้ว ก็จะเจอโซน Coro Me
มีจุดเด่นเป็นสง่าคือโคโรโระนอนแผ่อาบแดดอยู่
ในโซนนี้จะมีต้นไม้ให้เอากลับไปอุปการะ (ขายนั่นเอง)
และของใช้ต่างๆน่ารักๆ ประตูนี่เค้าไม่มีป้ายติดนะว่าให้ดัน ดึง เลื่อน หรือยังไง
นี่ก็ดันเท่าไหร่ดึงเท่าไหร่ก็ไม่ออก พนักงานต้องเดินมาเปิดให้
ครืดดดด... อ้าว เลื่อนหรอกหรอออ!!!
เปิดเข้าไปสก๊อยคนงามถึงกับยิ้ม หลับตาพริ้มด้วยความฟิน ไม่ใช่ไรหรอก แอร์มันเย็น
ก็เลยให้นั่งพัก เดินเล่นสักหน่อย ในนี้มีไรบ้าง เดินมาๆๆ
โซนตรงนี้เป็นต้นไม้ขวดโหลที่ฮิตอยู่ในตอนนี้ ทางร้านตกแต่งไว้ให้อยู่แล้ว
แต่ถ้าอยากแต่งเพิ่มก็ทำได้ ราคาต้นไม้ขวดโหลจะเริ่มต้นที่ 300 บาท จนถึงหลักพันบาท
หน้าเคาท์เตอร์จะมีฟิกเกอรตัวเล็กๆขาย ราคา 60 บาท
เห็นฟิกเกอร์ฟมีขาวแล้วอยากได้ ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
เห็นที่นี่เลยกรี๊ดอยากซื้อกลับไปวางไว้ที่ทำงาน
แต่สก๊อยบอกว่า “เดี๋ยวก็หายหรอก” จ้ะ ไม่ซื้อก็ได้ TT-TT
ตรงกลางห้องจะมีของใช้จิปาถะทั่วไป
ตะเกียบ ช้อน ขวดน้ำ ร่ม ถุงผ้า ปากกา ต้นไม้ขวดโหลไซส์ต่างๆ
อารมณ์เหมือนเดิน Loft สวยเก๋ โมเดิร์น สีสันฉูดฉาด
อยากซื้อกลับไปแต่ก็เกรงว่างบจะไม่พอยาไส้ในวันต่อๆไป
มีต้นกระบองเพชร และแคนตัสน้อยๆอยู่บนชั้นวาง
รอใครสักคนมารับไปอุปการะ สีสันเขียวสดใส
ถ้าไม่ติดว่ามีหนาม จะจับมากัดให้กรุบๆในปาก หมันเขี้ยวมาก
มองลอดออกไปที่นอกหน้าต่าง
อู๋ววววว~ เห็นโคโรโระโผล่หัวออกมา
นึกถึงเกมส์ตัวตุ่นตอนเด็ก ทุบๆๆๆๆๆๆๆ!!!
ถัดมาอีกโซน จะมีที่สำหรับตกแต่งต้นไม้ที่เราจะนำไปอุปการะ
มีการเขียนลงกระดาษ เป็นสนธิสัญญาว่าจะดูแลต้นไม้นี้เป็นอย่างดี (ไม่ได้ถ่ายมา ขออภัย)
มีทราย กรวดต่างๆให้ตกแต่ง และมีตรายางให้ปั๊มว่ามาจากที่นี่นะ..รู้ยัง
นั่งแต่งไป เมื่อยล้าก็มองออกไปข้างนอกดูวิวไป
บรรยากาศดีใช่ย่อย แต่ช่วงนี้ใกล้หน้าหนาว มีหมอกบางๆปกคลุม
เลยเห็นภูเขาไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ถ้าเป็นหน้าร้อน คงเห็นชัดและสวยกว่านี้
ตากแอร์จนหนำใจละก็เดินสำรวจรอบอาคาร Coro Me หน่อย
เห็นว่าข้างบนขึ้นไปดูวิวได้ ไหนขึ้นไปดูซิ มีอะไรบ้าง (ทิ้งสก๊อยนั่งพักไว้ก่อน เดี๋ยวลงมาเก็บ)
ขึ้นมาแล้วจะมีเก้าอี้ให้นั่งชมบรรยากาศ ด้านหลังจะมีภูเขาเด่นเป็นสง่า คาดว่านั่งตอนเย็น
มีกาแฟเครื่องดื่มนิดๆ จิบไป ดูวิวไป นี่แหล่ะสโลว์ไลฟ์ของแท้!!
ลงมาเรียกสก๊อย “เธอๆ ไปถ่ายรูปกัน” มาที่นี่ไม่ถ่ายรูปนี้ ถือว่ายังมาไม่ถึง Corofield นะ
อยากนอนด้วย แต่ไม่เอาดีกว่า ขอเสียสละพื้นที่แห่งนี้ให้เธอละกัน
ชุดเอี๊ยมนี่ขอยืมพี่พนักงานมา เค้าก็ถอดให้ ใจดีจริงๆ
หลังจากเสร็จจากตรงนี้ละ ใกล้เวลากลับแล้ว ขอเดินอีกหน่อยละกัน
ด้านนอกก็มีต้นไม้ขาย เรียงรายสีสันสวยงามน่ารักไปหมด
บอนไซก็มี ถ้าเอาไปตั้งที่บ้าน ที่ออฟฟิศคงจะสบายตาดี
ออกไปเดินข้างนอก นั่นไงมีโคโรโระอีกตัว ยื่นแอ่นอยู่
ในโซนนี้จะมีต้นทานตะวันด้วย ใบเหลืองสดมากกกก
นึกว่าอยู่ลพบุรี “ถ่ายรูปให้โหน่ยยยย” อ่ะๆ ก็ได้ๆ แฉะๆๆๆๆ
ถ่ายไป 30 กว่ารูป ไม่พอสักที กลับเถ๊อะ!! เดี่ยวพรุ่งนี้พามาใหม่นะ เอาของไปเก็บก่อนนน
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็รีบเอาชุดไปคืนพี่พนักงาน
เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิด คิดว่าได้เวลาเก็บมะเขือแล้วจะงานเข้า
เพราะคนที่มาก็มองกันเยอะ “ทำไมใส่ชุดนี้ได้ล่ะ”
คืนเรียบร้อยก็รีบไปที่พัก กลัวว่าจะมืดแล้วจะหาทางลำบาก
ขอนิดนึงก่อนกลับ 1 ... 2 ... 3 แคปเจอร์!!
เอาภาพระหว่างทางมาฝากกกกก
ขอปรับเป็น HDR เพื่อความสมจริง(เกินไป) ยามเย็นอากาศดี มีหมอกบางๆ
วันต่อมากลับมาอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันก่อนต้องรีบกลับที่พัก
ครั้งนี้ Corofield คือทางผ่านที่เราจะเข้าไปเที่ยวตัวเมืองราชบุรี
แวะกินข้าวที่นี่ละกัน เมื่อวานมายังไม่ได้ลองชิมเลยว่าที่นี่เป็นไงบ้าง
แดดเปรี้ยงๆเที่ยงตรง ได้เวลาอาหารกลางวัน จัดเลยแล้วกัน!!!
อื่มมม..กินไรดี แต่ก็แพงเหมือนกันแหะ แต่เดี๋ยวลองดูว่ารสชาติจะคุ้มราคามั้ย วิธีการสั่งของที่นี่คือ...
1. ไปที่เคาท์เตอร์ สั่งอาหาร เครื่องดื่ม 2. จ่ายเงิน และพนักงานจะให้เบอร์โต๊ะมา 3. กลับมานั่งที่ รออาหารมาเสิร์ฟ
อาหารมาแล้ว!!! น่ากินใช้ได้
เราสั่งพาสต้าคาโบนาร่า + ไข่ออนเซ็น + เอสเปรสโซ่ ส่วนแฟนสั่งข้าวหมูชาชูกระเทียม + โค้กกระป๋อง
รสชาติใช้ได้ ไม่ถึงกับอร่อยแบบฟินเวอร์ พาสต้ารสชาติหวานมันหอม
ส่วนไข่ออนเซ็นจิ้มเข้าไปกึ่งๆไข่ลวกผสมไข่มะตูม หมูชาชูกระเทียม
หอมกระเทียมหวานเค็มกำลังดี ข้าวผสมข้าวกล้องนิดๆ ผักดูสดสะอาด ออแกนิคจริมๆ
หมดของคาวแล้วก็ต่อด้วยของหวาน แฟนเลยไปสั่งเมล่อนมา 2 ชิ้น ชิ้นละ 50 บาท
สีเขียวสดใส หั่นมาเรียบร้อย
ซูมมมมมมมมมม.... ชัดๆเน้นๆให้เห็นเนื้อ
อ่ะไหนลองซิมันดียังไง? กัดเข้าไปคำแรก หวานเย็นฉ่ำมาก
อากาศร้อนๆกินแบบนี้มันก็โอเคนะ แย่งกันกินกับแฟนไม่ทัน
วางปุ๊บนางฉกก่อนเลย กินหมดก็อิ่มแปล่ ฮ๊าาาา อยากนอนต่อจัง
แต่ไม่ได้ต้องเดินทางต่อ เดี๋ยวจะถึงตัวเมืองมืดพอดี
ไหนๆ ขอถ่ายรูปบ้างสิ แคปเจอร์!!!
กินเสร็จแล้วก็ออกไปเดินย่อยหน่อย เมื่อวานยังเดินไม่ครบ
เห็นผักใบเขียวที่ทางฟาร์มปลูกไว้เต็มไปหมด มันสดแบบธรรมชาติมาก
เขียว ม่วงน่ากิน แฟนนี่อยากจะเด็ดขึ้นมากิน เลยรีบตีมือ “ตัวเองอย่าเด็ดนะ ยกทั้งต้นสิ!” 55555
รวมๆแล้วที่นี่โอเคในระดับนึง เม่ล่อนหวานฉ่ำ อาหารอร่อยแต่แพงไปนิด
การบริการในคาเฟ่ พนักงานช้า คนรอคิวยาวเยียด แต่คงเพราะพึ่งเปิดคนเยอะเลยบริการไม่ทัน
ใครมาเที่ยวสวนผึ้งอย่าลืมมาแวะมา ฟาร์มเค้าดีจริง
ให้คะแนนเต็ม 8.5/10 ละกัน
ขอปิดท้ายด้วยภาพจุดชมวิวห้วยคอกหมู ทางโหดสุดหิน ไถลดินเป็นว่าเล่น
เลยต้องเปลี่ยนสถานะจาก Biker เป็น Backpacker ติดรถคนอื่นขึ้นไป
ดีนะแฟนนอนรอที่ห้อง ไม่งั้นล่ะก็ ได้โดนบ่นหูชาแน่ๆ แต่วิวคุ้มอยู่นะที่ได้มา
เที่ยวทั่วไทย สองล้อก็ไปได้ บิดเบาๆกับรถคู่ใจ และสก๊อยหมื่นโลซ้อนท้าย มองบรรยากาศรอบข้าง นึกว่ามาเมืองเหนือ
แค่นี้แหล่ะความสุขง่ายๆ ร้อน ฝน หนาวก็ลุยกันไป เหนื่อยก็พัก ง่วงก็หาที่งีบ เดินทางต่อ แค่นี้พอใจแล้ว
,, ความสุขคือระหว่างทาง ไม่ใช่ปลายทาง ,,
กล่าวเอง ไม่มีใครกล่าว ง่อวววววว~
** รีวิวนี้ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย **