ความรู้ก่อนนอน (๑๘)

กระทู้สนทนา
วันนี้ขอนำไปชมภาพที่หาดูได้ค่อนข้างยากนอกจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง คือภายในบริเวณ "โรงทหารหน้า" ครับ



จากหนังสือ “ประวัติของจอมพล และมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง – ชูโต)” รวบรวมเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี บันทึกไว้ในไดอารี และได้รวบรวมข้อมูลตีพิมพ์ในหนังสือ “ประวัติของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก” กล่าวว่า

เมื่อทหารสมัครกลับเข้ามารับราชการตามเดิมมีจำนวนมาก แต่ที่พักอาศัยจะควบคุมทหารให้อยู่ได้เป็นปกติเรียบร้อยนั้นหายาก เจ้าหมื่นไวยวรนารถผู้บังคับการทหารหน้าจึงคิดเห็นว่าถ้าจะควบคุมและเลี้ยงดูทหารมากมายดังนี้ จำต้องทำที่อยู่ให้แข็งแรงมิดชิด พวกทหารจะได้อยู่ในความปกครองควบคุมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้

จึงได้เที่ยวตรวจตราดูทำเลที่ทางว่าจะมีที่ใดซึ่งสมควรจะสร้างเป็นโรงทหารหน้าต่อไปได้บ้าง จึงเห็นที่ฉางหลวงเก่า สำหรับเก็บเข้า เมื่อขณะเกิดทัพศึกมีอยู่ ๗ ฉาง แต่ทว่าปรักหักพักทั้งไม้ก็ผุหมดแล้ว พื้นก็หามีไม่ ต้นไม้และเถาวัลลิ์ขึ้นปกคลุมจนมิดฉางหมด ทั้งรอบบริเวณที่นั้นก็มีวังเจ้านายอยู่หลายกรม แต่วังเหล่านั้นก็ทรุดโทรมหมดแล้วทุกๆ แห่ง ในเขตเหล่านี้มีบริเวณจดไปถึงศาลเจ้าหลักเมือง จนถึงสะพานช้างโรงสี (การที่เรียกสะพานช้างโรงสี ก็เพราะหมายความว่า ที่ตรงนั้นเป็นฉางหลวงสำหรับพระนคร และมีโรงสีเข้าอยู่ด้วย) ที่นี่ตั้งเป็นกรมยุทธนาธิการ และที่ว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ในเวลานี้ เนื้อที่ทั้งหมดยาว ๕ เส้น กว้าง ๓ เส้น ๑๐ วา เห็นว่าเป็นที่เหมาะสำหรับจะตั้งเป็นโรงทหารหน้าได้ จึงได้ช่างถ่ายรูปฉางเข้าหลวง และที่วังทรุดโทรมทุกๆ แห่ง กะสะเก็ด (scate) แผนที่ด้วยเส้นดินสอตามที่เจ้าหมื่นไวยวรนารถต้องการ และคิดว่าจะทำโรงทหารหน้าที่ทหารอยู่ได้ ๔ หมู่ เป็นกองทัพน้อยๆ เพื่อจะได้รักษาความสงบในพระนคร

จึงเรียกตัวนายกราซี ซึ่งเป็นนายช่างรับเหมาในการก่อสร้างทั้งชั้นให้มาหาเจ้าหมื่นไวยวนารถ จึงชี้แจงให้นายกราซีเข้าใจความประสงค์ทุกประการ และสั่งให้นายกราซีทำแปลนตึกมา ๒ ชนิด แปลน ๑ เป็นตึก ๒ ชั้น อีกแปลน ๑ เป็นตึก ๓ ชั้น ทั้งให้งบประมาณการที่จะก่อรากทำให้แน่นหนา ใช้เป็นตึกหลาย ๆ ชั้นได้ด้วย นายกราซีได้ทำแปลนและเขียนรายการ พร้อมทั้งงบประมาณการก่อสร้างมายื่นให้ผู้บังคับการตามคำสั่งทุกประการ

เจ้าหมื่นไวยวรนารถได้นำแปลนตึก ๒ ชั้น พร้อมทั้งรูปฉายฉางเข้า กับราคางบประมาณของตึกประมาณ ๕,๐๐๐ ชั่ง (๔๐๐,๐๐๐ บาท) นำขึ้นทูลเกล้าถวายก่อน แลได้กราบบังคมทูลชี้แจงความตามเหตุที่จำเป็นทุกๆ อย่าง เมื่อได้ทรงทอดพระเนตร์แบบแปลนนั้นตลอดแล้ว จึงมีพระกระแสรับสั่งแก่เจ้าหมื่นไวยวรนารถว่า “เวลานี้เงินของแผ่นดินก็ได้น้อย แต่ทว่าเป็นความจำเป็นจริงแล้ว ข้าก็จะยอมตามความคิดของเจ้า ให้เจ้าจัดแจงทำสัญญากับนายกราซีเสีย เพื่อจะได้ลงมือทำทีเดียว แต่ข้าจะต้องเอารูปถ่ายฉางเข้าและวังเจ้านายที่ทรุดโทรมนี้ไว้ก่อน เพื่อจะได้ปรึกษาหารือกับกรมสมเด็จท่านดูด้วย ถ้าเผื่อว่าท่านทรงขัดขวางไม่ทรงยินยอมและเห็นชอบด้วยแล้ว จะได้เอารูปถ่ายนี้ถวายให้ทอดพระเนตร์และทูลชี้แจงให้เข้าพระทัย”

อยู่มาอีกไม่กี่วันเจ้าหมื่นไวยวรนารถก็นำแปลนตึก ๓ ชั้น และงบประมาณเข้าไปอีก เพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตร์เห็นเจ้าหมื่นไวยวรนารถถือแปลนเข้าไปก็มีพระราชดำรัสรับสั่งถามว่า “นั้นเจ้าเอาแปลนอะไรมาอีกละ?” เจ้าหมื่นไวยวรนารถคลี่เอาแปลนตึก ๓ ชั้น ให้ทอดพระเนตร์ และกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า “ที่ซึ่งอยู่ในพระนครกว้างใหญ่เท่าที่กะมานี้หายากเมื่อบ้านเมืองเจริญขึ้นแล้ว ที่ดินก็จะมีราคาสูงขึ้นอีกมาก ข้าพระพุทธเจ้ามีความเสียดายยิ่งนัก ทั้งที่นี้ก็เป็นที่ในกำแพงพระนครด้วย ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้สั่งให้นายกราซี เขียนแบบแปลนเป็นตึก ๓ ชั้นขึ้น หวังว่าจะบรรจุทหารให้มากขึ้น ให้เต็มพร้อมมูลเป็นกองทัพน้อย ๆ อยู่ในแห่งเดียวกัน อนึ่งในงบประมาณฉบับแรกนั้น ข้าพระพุทธเจ้าได้สั่งนายกราซีกะประมาณการก่อรากให้มั่นคงแข็งแรงทานน้ำหนักตึกได้ตั้งแต่ ๓ ถึง ๔ ชั้น แม้นว่าถ้าจะเติมขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เงินที่จะต้องเพิ่มขึ้นก็ไม่มากมายเท่าใดนัก ข้าพระพุทธเจ้ามีความเห็นว่า จะทำเป็นสามชั้นเสียทีเดียวจะดีกกว่า”

เมื่อเจ้าหมื่นไวยวรนารถได้กราบบังคมทูลชี้แจงเรื่องราวครบถ้วน ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทอดพระเนตรงบประมาณ และแปลนที่ได้สะเก็ดมาแล้ว จึงมีพระราชดำรัสตอบว่า “ตามข้อความที่เจ้าชี้แจงมานั้น ข้าก็มีความเห็นชอบทุกประการ เพราะฉะนั้นข้าจำเป็นที่จะต้องช่วยเจ้าให้สำเร็จตามความคิดอันนี้ ดีละเป็นอันตกลงกันตามความของเจ้าทุกประการ”

ที่ซึ่งสร้างเป็นโรงทหารหน้านี้โดยกว้าง ๓ เส้น ๑๐ วา ยาว ๕ เส้น ทางข้างหน้ามีมุข ๓ ชั้น ๆ ล่างเป็นที่ฝึกหักการฟันดาบ ชั้นกลางเป็นที่ประชุมนายทหาร ชั้นบนเป็นที่เก็บสรรพศัสตราวุธ และทั้งเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับเครื่องทหารต่างๆ ด้วย และมีประตูใหญ่สองข้าง มีห้องทหารคอยเหตุ และรักษายามทั้งสองข้าง ด้านหน้าชั้นล่างเป็นคลังเก็บเครื่องครุภัณฑ์และยุทธอาภรณ์ ชั้นกลางเป็น ที่ประชุมนายทหาร ชั้นบนเป็นห้องสำหรับนายทหารอยู่ และแบ่งเป็นห้องสำหรับพลทหาร ในกองร้อยหนึ่งมีห้องสำหรับนายทหารอยู่ห้องหนึ่งทุกๆ กองไป ด้านขวาชั้นล่างเก็บปืนใหญ่ ชั้นบนเป็นที่อยู่ของทหารปืนใหญ่

โรงข้างโรงช้างนั้น เดิมเป็นโรงม้าหลวงชั้นนอกชั้นเดียว ครั้นจะรื้อทำใหม่ทั้งหมดก็จะเปลืองพระราชทรัพย์มากไป จึงให้แก้ไขโรงม้าเก่าให้เป็น ๒ ชั้นขึ้น ชั้นล่างให้ม้าอยู่ ชั้นบนให้ทหารม้าอาศัย โรงใหญ่ข้างขวาแบ่งเป็นห้องนายแพทย์ทหารและโรงพยาบาลทหาร ถัดโรงใหญ่นั้นเป็นโรงฝึกหักม้า เพราะในเวลานั้นก็ได้สั่งม้าเทศ ซึ่งได้หัดแล้วบ้าง ยังบ้าง ม้ามาจากเกาะออสเตรเลียมีจำนวน ๓๕๐ ม้าเศษ ทั้งมีนายอัศวแพทย์, ผู้ฝึกหักม้าและช่างทำรองเท้าม้าเข้ามาอยู่ด้วย พร้อมโรงใหญ่ชั้นล่างทำเป็นโรงไว้ม้าและรถพระที่นั่ง สำหรับเมื่อมีการจะเสด็จพระราชดำเนินโดยด่วนในที่ใดๆ ก็ทรงรถพระที่นั่งและม้าเทศเหล่านี้

ด้านซ้ายต่อจากโรงทหารใหญ่ ถึงหอนาฬิกาที่หอนั้นเป็นที่เก็บเครื่องสนามและเครื่องยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ ชั้นล่างเป็นที่สำหรับสูบน้ำขึ้นบนถึงสูง และเป็นโรงงานทหารช่างต่างๆ

ที่หอนาฬิกาชั้น ๓ เป็นถึงเหล็กใหญ่สำหรับเก็บน้ำใส และเปิดใช้น้ำนี้ได้ทั่วโรงทหารทั้ง ๓ ชั้น เพราะมีแป๊บฝังอยู่ตามฝาผนังทั้ง ๓ ชั้น บันไดใหญ่ทุก ๆ บันไดทำห้องสำหรับถ่ายปัสสาวะ บันไดละ ๒ ห้องทุก ๆ ชั้น และมีท่อน้ำไหลมาสำหรับชะล้างไม่ให้มีกลิ่นเหม็นด้วย

ที่ตามมุมสนามหญ้าสำหรับฝึกหัดทหารนั้น มีที่สำหรับถ่ายปัสสาวะทุกสี่มุม ๆ หนึ่งมีที่ถ่ายสำหรับ ๔ คน กับตั้งโรงสูบน้ำขึ้นที่ท่าช้าง มีเครื่องสูบน้ำด้วยสะตรีมประจำอยู่สองเครื่อง ถ้าถึงฤดูน้ำเค็มก็สูบน้ำขึ้น เวลาน้ำลงงวดน้ำที่สูบมานี้ไหลมาตามท่อต่างๆ ซึ่งมีขนาดกว้าง ๘ นิ้ว ริมถนนใหญ่รอบโรงทหารได้ปลูกกอไม้ไผ่สีสุกทั้ง ๓ ด้าน เพื่อป้องกันแสงแดดที่จะส่องเข้ามาถึงเฉลียงรอบโรงทหารชั้นใน กับบริเวณโรงทหารนั้น มีสระอาบน้ำสำหรับทหารอาบน้ำและหัดว่ายน้ำหนึ่งสระ

ต่อสระมามีฉางสำหรับเก็บเข้าสาร ทำไว้เป็นห้องๆ เพื่อเข้าสารเก่าแล้วก็ใช้ไปเสียก่อนเอาเข้าสารใหม่เพิ่มเติมเข้ามาเก็บไว้ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปเช่นนี้เสมอ ฉางเข้านี้คิดทำขึ้น ก็เพื่อที่จะทำไว้แทนฉางเข้าเก่าในพระนครซึ่งได้รื้อออกเสียนั้น ต่อห้องเก็บเข้าไปอีกหลังหนึ่ง ก็เป็นครัวใหญ่สำหรับทำอาหารเลี้ยงทหารทั่วไป

ใต้ครัวลงไปอีกขุดเป็นบ่อลึกก่อเป็นสามห้อง ชั้นล่างเป็นโพรงเพื่อเก็บน้ำที่กรองใสแล้ว สำหรับสูบขึ้นถึงดังกล่าวมาแล้ว ส่วนที่แบ่งเป็นสามห้องนั้นชั้นล่างที่สุดใช้อิฐย่อยก้อนเล็กๆ โรยรองเป็นพื้นเสียชั้นหนึ่งก่อนแล้วเอาเศษผงถ่านย่อยๆ โรยทับเป็นชั้นที่ ๒ ชั้นที่ ๓ ใช้เม็ดทรายหยาบโรยทับถ่าน ชั้นที่ ๔ ทรายบางพูดอย่างเมล็ดละเอียดโรยทับไว้ข้างบนหนามาก เมื่อสูบน้ำขึ้นที่ท่าช้างแล้วน้ำก็ไหลผ่านมาในห้องกรองนี้ก่อนจนเป็นน้ำใส แล้วก็สูบขึ้นสู่ถังสูงนั้น สิ่งของที่กล่าวมาทั้งนี้ยังปรากฏทั้งสิ้น ทั้งที่ท่าช้างก็ยังมีท่อโผล่อยู่ข้างสะพานจนทุกวันนี้

เมื่อก่อสร้างเสร็จ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ ทรงเปิด เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๒๗

ชั้นที่ ๔ เป็นหอนาฬิกามีหน้าปัดนาฬิกาสองทาง การที่ทำนาฬิกาขึ้นนี้ เพราะมีความประสงค์จะให้เป็นการทานแก่มหาชนซึ่งสัญจรไปมาให้รู้เวลาได้ทั่วถึงกัน ชั้นที่ห้า เป็นที่ทหารยามรักษาเหตุการณ์ กับมีเครื่องโทรศัพท์พร้อมเครื่องฉายไฟฟ้าอยู่บนนั้นด้วย

เดิมเมื่อโรงทหารหน้านี้ยังสร้างไม่แล้ว ที่ว่าการของกรมทหารหน้า ยังตั้งอยู่ที่หอบิลเลียด ณ วังสราญรมย์ กับโรงครัวที่เลี้ยงทหาร ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเฟื่องนครนั้นก็รวมอยู่ด้วย

โรงครัวเวลานี้ ก็ได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนนายร้อย ที่หน้าวัดราชประดิษฐ์นั้นได้ทำเป็นโรงใหญ่สำหรับฝึกกายกรรม ครั้นเมื่อกรมทหารหน้าได้ยกไปอยู่ที่กรมยุทธนาธิการ ซึ่งสร้างขึ้นใหม่นั้นแล้ว ก็ยังคงโรงครัวเก่าเลี้ยงพลทหารหน้าต่อไปอีก พลทหารที่จะมารับประทานอาหารต้องเดินไกล ผู้บัญชาการจึงทำให้เป็นสะพานหก ข้ามมาจากยุทธนาธิการจนถึงโรงครัว เพื่อตัดทอนหนทางให้สั้น

สะพานหกนี้ได้เปิดให้ทหารเดินแต่ขณะที่จะมารับประทานอาหารเท่านั้น สะพานนี้ได้ใช้มาหมดเวลาที่เจ้าหมื่นไวยวรนารถได้เป็นผู้บังคับการทหารหน้าอยู่เท่านั้น ครั้นเมื่อตั้งกรมยุทธนาธิการ เป็นระเบียบเรียบร้อยดีแล้ว จึงได้รื้อโรงครัวนั้นสร้างเป็นโรงเรียนนายร้อย ตลอดมาจนกาลปรัตยุบันนี้

โรงทหารหน้านั้นก็คือศาลาว่าการกระทรวงกลาโหมนั่นเองครับ และยังขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติอีกด้วย

...........................................

ข้อมูลจากเว็บไวตื jorgemorales1.wordpress.com
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่