เผชิญฝูงค้างคาวยักษ์ ณ 'บางคล้า'

ตัวเลขในปฏิทินเตือนว่าถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้ง เป็นเวลาที่ต้องจัดหาโปรแกรมพา 'ซาลาเปาพูดได้' ออกไปสำรวจโลกเหมือนเช่นเคย แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจจะพาซาลาเปาพูดได้ไปชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งที่นครปฐม แต่ซาลาเปาร้องปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่ไปๆ ไม่ไปห้องหุ่น ...

ซาลาเปาเป็นพวกกลัวหุ่นมาตั้งแต่เด็กๆ เคยพาไปสวนรถไฟเจอหุ่นหล่อรูปเด็กขี่จักรยานยังวิ่งหนี สุดท้ายไม่ว่ายังไงซาลาเปาก็ไม่ยอมไป เลยต้องกล่อมไปส่งเดชว่า ไม่ไปก็ไม่ไป งั้นเดี๋ยวเราไป 'ห้องหู' กันแทน ที่นั่นเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีหูหมู หูหมา หูกวาง วางโชว์เต็มไปหมด ไม่มีหุ่นสักตัว พูดไปเท่านั้นซาลาเปาก็ตื่นเต้นดีอกดีใจ อยากไปห้องหู แต่...ไอ้ที่แบบนั้นน่ะ... มันมีกันซะที่ไหนล่ะ -*-

ไปๆมาๆเลยต้องคิดโปรแกรมการเดินทางไปที่ๆ อะเมซิ่งหิ่งห้อย ไม่ให้ซาลาเปาผิดหวังว่าถึงแม้จะไม่ใช่ 'ห้องหู' แต่ก็เริ่ดสะแมนแตนไม่แพ้กัน

และการเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น ชาวคณะประกอบไปด้วย 3 คน 'ผม / เธอ...:ซึ่งทำหน้าที่ขับรถ / และซาลาเปาพูดได้' แต่เพื่อเป็นการไม่ให้เสียอรรถรสความน่าตื่นเต้น ที่ๆเราจะไป ไม่มีใครรู้ คนนั่งก็นั่งไป คนขับก็ขับไปตามที่ผมบอกว่าจะไปทางไหน แม้ว่าผมจะไม่ชำนาญเรื่องเส้นทาง แต่มี GPS ในโทรศัพท์กับตัวกลัวอะไร

เราขึ้นทางด่วน จุดหมายในใจของผมคือ 'ฉะเชิงเทรา' ผมบอกให้เธอขับไปตามที่ผมบอก ผ่านไปสักพักไม่ทันไร มารู้ตัวอีกทีก็โผล่ที่หัวลำโพงซะงั้น

!!!!



ผม...พาลงทางด่วนผิดนี่หว่า! แต่เพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม เลยบอกไปว่า พอดีตอนเปิดเทอมเห็นซาลาเปาเรียนเกี่ยวกับรถไฟอยู่ไง เห็นยังเช้าเวลายังเหลือเฟือ เลยพาแวะมาดูหัวลำโพงของจริงก่อน

เราออกเดินทางต่อ พร้อมกับที่ผมเปลี่ยนแอพพลิเคชั่นนำทางจาก Google Maps เป็น Here Maps
แต่ถึงอย่างนั้น...รู้สึกตัวอีกครั้งก็หลงมั่วไปหมดหลายต่อหลายครั้ง (ที่จริง GPS มันก็แม่นของมันดี ผิดที่ผมเอง มักพลาดช่วงเลี้ยวที่มีทางเลี้ยวใกล้ๆกัน)



เธอคงทนหลงทางเสียเวลาไม่ไหวจนเสียค่าทางด่วนรวมๆแล้ว 300 บาท (ในรูปนั่นคือใบเสร็จค่าทางด่วนเพียงส่วนหนึ่งในทริปนี้ ยังมีที่ไม่ได้เก็บไว้ และบ้างไม่ได้ขอมาจากด่าน) เธอคาดคั้นจนผมต้องบอกจุดหมายที่ๆผมจะพาไป...'ที่ๆผมจะพาไป' อันนั้นเป็นพาสต์เทนส์ แต่พรีเซนท์เทนส์คือ 'ที่ๆเธอจะพาไป' หลังจากจุดหมายของผมได้ถูกเปิดเผยออกมา เธอก็พาเรามุ่งหน้าไปสู่เส้นพระราม 9  ออกศรีนครินทร์ และเข้ามอเตอร์เวย์อย่างชำนาญ แน่นอน...เธอบอกให้ผมปิด GPS อะไรนั่นด้วย

คำแนะนำของผมคือ ถ้าเผอิญคุณไม่ใช่นักสะสมใบเสร็จค่าทางด่วน และไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องเส้นทาง
"จงอย่าคิดทำเซอร์ไพรส์"

โดยไม่นาน ใช้เวลาการเดินทางราว 1 ชั่วโมงเศษก็ถึงฉะเชิงเทรา สถานที่ท่องเที่ยวตามโปรแกรมของผมคือ 'ตลาดริมน้ำร้อยปี' หรือ 'ตลาดบ้านใหม่' ระยะทางเบ็ดเสร็จจากกรุงเทพมาถึงรวมแล้ว 87.8 กิโลเมตร
เราจอดรถทางด้านหลังของตลาดซึ่งมีที่จอดรถอยู่ฝั่งตรงข้าม ที่จอดรถกว้างขวาง แต่ไม่มีที่บังแดด หากมาเร็วหน่อย อาจโชคดีได้มุมจอดหลบแดดใต้ต้นไม้ ราคาค่างวดของค่าจอดอยู่ที่ 20 บาท จอดได้ทั้งวัน



จุดสังเกตของที่จอดรถคือมีวิหารวัดจีนตั้งอยู่ด้านหลัง มองเห็นไกลๆ



พอจอดรถหยิบสัมภาระที่จำเป็นเรียบร้อยก็ข้ามถนนมาอีกฝั่ง จะเจอป้ายทางเข้าตลาดคอยต้อนรับ
อย่างที่บอกว่าเรามาทางด้านหลังตลาด ดังนั้นการเที่ยวครั้งนี้จึงเป็นการเดินย้อนจากด้านหลังไปทะลุออกด้านหน้า



แม้ว่า 'ตลาดบ้านใหม่จะเป็นตลาดบก แต่ก็อยู่ติดกับริมแม่น้ำบางปะกง ช่วงที่น้ำขึ้น อาจทำให้บางเวลามีน้ำท่วมขังบ้าง ช่วงที่ผมไปถึงเป็นเวลาราวเกือบ 11 โมง มีร่องรอยน้ำท่วมอยู่เล็กน้อยในบางจุด แต่ไม่เป็นอุปสรรคอะไรเพราะพื้นที่เดินในตลาดส่วนใหญ่แห้งสนิทดี



หนึ่งในกิจกรรมไฮไลต์ของตลาดบ้านใหม่คือการทำบุญปล่อยปลาแบบสไลเดอร์ ซาลาเปาพูดได้เห็นก็อยากขอลองดูบ้าง เลยเอาสักหน่อย



ปลาที่นี่มีหลากหลายพันธ์ุให้เลือกปล่อย ทั้งปลาบู่เอย ปลาไหลเอย ราคาก็มีตั้งแต่ตัวละ 10 บาท ซึ่งถูกสุด ไปจนถึงตัวละ 40-50 บาท ก็แล้วแต่สะดวก



สำหรับซาลาเปาพูดได้ เลือกปล่อยปลาไหลตัวเล็กๆ ตามคำแนะนำของผม ซึ่งเหตุผลง่ายๆคือ 'ราคาถูก' ตัวละแค่ 10 บาท

รางสไลเดอร์ปล่อยปลาก็จะประมาณนี้ ถ้าใครอยากเห็นชัดๆว่า 'ปลาไหลสไลเดอร์' เป็นยังไง เชิญชวนดูได้ในวิดีโอด้านล่างนี้ครับ



คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ปล่อยปลาแล้วถ้าใครเกิดหิวอยากจะนั่งกินข้าว และสัมผัสประสบการณ์สุด Exclusive ริมแม่น้ำบางประกง ที่นั่นมีร้านอาหารซึ่งสามารถเลือกนั่งรับประทานอาหารพลางจุ่มเท้าตีน้ำเล่นได้ตามอัธยาศัย
(ไม่ใช่แล้ว -*- อันนี้เป็นร้านด้านหลังตลาด ที่เจอลูกหลงน้ำขึ้นแล้วยังลดไม่ทัน ร้านอื่นๆไม่ได้จมน้ำอย่างนี้นะครับ)



มาตลาดโบราณ แน่นอนว่าก็ต้องเดินหาของกินพื้นบ้าน ซึ่งแน่นอนว่ามาที่นี่ไม่ผิดหวัง











ของกินที่นี่มีหลากหลายมากมายกว่าภาพที่เก็บมา และน่าชมเชยว่าตลาดบ้านใหม่แห่งนี้ยังคงสภาพความเป็นตลาดโบราณได้เป็นอย่างดี





อาหารการกินส่วนใหญ่เน้นทำกันสดๆ ใหม่ๆ เดี๋ยวนั้น ตอนนั้น

















ที่สำคัญ ราคาของอาหารและของที่ระลึกต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ยุติธรรม ย่อมเยา ราคาไม่แพงและไม่ฉวยโอกาส รวมถึงผู้คนในชุมชนมีความเป็นมิตร อัธยาศัยดีมาก   

แม้แต่น้องแมวก็ยังราคาถูกมากๆ สนนราคาเพียง 5 บาทเท่านั้น! (เสียดายที่ไม่ได้ซื้อติดมา)



นอกจากบรรดาของกินต่างๆ ก็ยังมีของที่ระลึก งานฝีมืองานหัตถกรรมมากมายให้เลือกซื้อเลือกหาติดไม้ติดมือกลับบ้าน













ดังที่กล่าว ตลาดบ้านใหม่ ยังคงสภาพความเป็นตลาดที่ชวนรำลึกถึงวันวานได้อย่างน่าประทับใจ อาจจะมีบ้างที่สินค้าบางอย่างเป็นของกินของใช้ร่วมสมัย แต่เทียบสัดส่วนแล้วมีเพียงส่วนน้อยที่เป็นอย่างนั้น ยังไม่หลุดคอนเซ็ปต์ความเป็นตลาดโบราณ สินค้าหลายๆชิ้นอาจไม่ได้แตกต่างจากที่อื่น ก็เหมือนๆกัน แต่การที่ตลาดบ้านใหม่ ไม่หลุดคอนเซ็ปต์ความเป็นตลาดโบราณ นั่นคือจุดเด่น



ถ้วยกาแฟประจำวันเกิด







'ขนมปลิง' หรือ 'เยลลี่ท็อฟฟี่ อย่างดี'



เดินมาสุดส่วนแรก ยังไม่จบ ยังมีส่วนที่สองให้เดินต่อไป โดยต้องข้ามสะพานไปยังอีกฝั่ง ซึ่งเป็นด้านหน้าของตลาด



ระหว่างทางเฉอะแฉะจากน้ำขังเล็กน้อย แต่ไม่เป็นปัญหา เขย่งไปดีๆรับรองว่าไม่เปียก



ครั้นเดินมาถึงบนสะพานก็เจอกับคุณลุงแต่งคอสนักรบโบราณยืนขวางอยู่
"เอ็งจักไปที่ใด จงแจ้งความจำนงค์มาประเดี๋ยวนี้!"



"อุบ๊ะ! ข้าถามใยไม่ตอบ"



"รึเอ็งอยากจะลองดีกับดาบไร้พ่ายของข้า?"



"เออๆ ไม่ตอบก็ไม่ตอบ เอาที่สบายใจเลย จะไปไหนก็เชิญเถิดพ่อ"



ทั้งหมดนั้นคุณลุงไม่ได้พูดออกมา ผมใส่ไดอะล็อกเอาเองตามอำเภอใจ ^^"
ซักถามได้ความว่าคุณลุงแกแต่งแบบนี้เพื่อเป็นสีสันดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กับตลาดเท่านั้นเอง



พอผ่านคมดาบคุณลุงนักรบได้ก็มาถึงอีกฟากของตลาด เดินเล่นไปเรื่อยเฉื่อย ชื่นชมความเก่าของสถานที่และความเก๋าของผู้คนในชุมชน













เดินมาเรื่อยๆก็ทะลุมาออกด้านหน้าตลาด มีป้ายไว้ให้ไปยืนถ่ายคู่เป็นที่ระทึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาเยือนแล้ว



แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่