สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ชมรมแห่งความสับสนวุ่นวายแห่งนี้
มักจะมีหลุมพรางและกับดัก
ต่างชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์
มากความรัก บุญคุณ และความแค้น
ต่างเป็นคนพเนจรไร้ราก
ไยต้องมาก ระเบียบและแบบแผน
เพียงน้ำใสใจจริงมอบเพื่อตอบแทน
อาคันตุกะผู้ผ่านแดนมาแสนไกล
เหมือนใบไม้ล่องลอยในสายลม
เหมือนจอกแหน จ่อมจมสายน้ำไหล
คุณธรรมน้ำมิตรเหมือนสายใย
เราต่างมีสายใจ ที่ผูกพัน
....ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา
เพราะชีวิต มี “ ชีวา “ มีความฝัน
ส่งพันลี้...ก็ต้องพรากไกลจากกัน
ขอเมามายใต้แสงจันทร์...กับสหาย
สหายดี...น้ำเปล่ายังดื่มซด
เพื่อนคดเหล้าดี...ยากดื่มได้
คนเรากว่าจะพบกัน..ใช่ง่ายดาย
มาชนจอกทักทาย...ด้วยไมตรี
ขอน้อมคารวะท่าน Vajaranon เจ้าของกระทู้ครับ
มักจะมีหลุมพรางและกับดัก
ต่างชุมนุมมังกรซ่อนพยัคฆ์
มากความรัก บุญคุณ และความแค้น
ต่างเป็นคนพเนจรไร้ราก
ไยต้องมาก ระเบียบและแบบแผน
เพียงน้ำใสใจจริงมอบเพื่อตอบแทน
อาคันตุกะผู้ผ่านแดนมาแสนไกล
เหมือนใบไม้ล่องลอยในสายลม
เหมือนจอกแหน จ่อมจมสายน้ำไหล
คุณธรรมน้ำมิตรเหมือนสายใย
เราต่างมีสายใจ ที่ผูกพัน
....ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา
เพราะชีวิต มี “ ชีวา “ มีความฝัน
ส่งพันลี้...ก็ต้องพรากไกลจากกัน
ขอเมามายใต้แสงจันทร์...กับสหาย
สหายดี...น้ำเปล่ายังดื่มซด
เพื่อนคดเหล้าดี...ยากดื่มได้
คนเรากว่าจะพบกัน..ใช่ง่ายดาย
มาชนจอกทักทาย...ด้วยไมตรี
ขอน้อมคารวะท่าน Vajaranon เจ้าของกระทู้ครับ

ความคิดเห็นที่ 1
....ณ สำนักป่ะฉ่าถี้ปัด เช้านี้ “อาผิ่ซิด” หรือที่ชาวยุทธภพเรียกสั้นๆ “หมั๊ก” เจ้าสำนักวัยหนุ่มมีสีหน้าแจ่มใสอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินไปเดินมาในห้องโถงโดยมี “สิหลิ่ซก” คนใกล้ชิดคอยติดตาม ชาวยุทธภพล้วนต่างทราบดีว่าสิหลิ่ซกผู้นี้คือผู้ติดตามใกล้ชิดมาตลอด เจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดปรากฏกายที่ไหนย่อมสิหลิ่ซกที่นั่น สำนักป่ะฉ่าถี้ปัดในยามนี้ คนที่อาผิ่ซิดไว้ใจได้นั้นมีไม่มากนัก พอจะนับหัวได้ และหนึ่งในนั้นก็คือสิหลิ่ซกผู้นี้ ผู้ที่เคยเสี่ยงตายเล็ดลอดเข้าไปในคุกหลวงเพื่อล้วงความลับจากชาวต่างชาติบางอย่างมามอบให้อาผิ่ซิดก็คือสิหลิ่ซกผู้นี้
หลังจากคนรับใช้ประจำสำนักมาแจ้งข่าวที่ชาวยุทธภพกำลังโจษขานเหตุการณ์ปั่นป่วนที่ลานประลองยุทธ์ในวันที่ผ่านมา สีหน้าของอาผิ่ซิดยิ่งมีความสุข
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แผนที่ข้ากับพ่อบ้านวางเอาไว้ทุกอย่างเป็นไปคาด ” เจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดหัวเราะร่า และทันทีที่เขาหลับตาลง ภาพเหตุการณ์ปั่นป่วนที่ลานประลองยุทธ์ในวันนั้นก็ปรากฏเด่นเสมือนว่าเหตุการณ์นั้นกำลังดำเนินอยู่ต่อหน้าเขา ณ ยามนี้
“ท่านเจ้าสำนัก..” สิหลิ่ซกแย้ง “ ข้าไม่เข้าใจท่านเจ้าสำนัก...ทำไมท่านดูมีความสุขเล่า ก็ในเมื่อท่านพึ่งปล่อยข่าวต่อชาวยุทธภพว่าไม่อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นบนลานประลองยุทธ์ ไฉนยามนี้ท่านกลับดูมีความสุข”
“สิหลิ่ซก....เจ้าติดตามข้ามานานเท่าไหร่แล้ว?”
“นับตั้งแต่คราวที่ท่านก้าวขึ้นเป็นเจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัด และขึ้นครองเป็นเจ้ายุทธภพเมื่อสองปีก่อนนั้นข้าก็รับใช้ท่านมาตลอดขอรับ”
“จนป่านนี้เจ้ายังอ่านใจข้าไม่ออกหรือ?” เจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดหันมามองคนใกล้ชิดอย่างฉงน สิหลิ่ซกก้มหน้าหลบแล้วพึมพัมในใจว่า แม้ตัวเขาจะติดตามสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดมาอย่างยาวนาน เขายอมรับว่ามีหลากหลายเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เขายังไม่เข้าใจเจ้าสำนักวัยหนุ่มคนนี้เลย หรือว่าฉายา “แหลหลักลอย” ที่ชาวยุทธภพตั้งให้เจ้าสำนักจะเป็นจริง ขนาดคนใกล้ชิดที่สุดอย่างเขายังไม่อาจหยั่งจิตใจเจ้าสำนักได้เลย ประสาอะไรกับเหล่าชาวยุทธ์ที่ท่องยุทธภาพอยู่ในตอนนี้??
“ข้าผู้น้อยด้อยปัญญา ท่านเจ้าสำนักโปรดชี้แนะ”
“ที่ข้าให้ข่าวไปนั้นเป็นเพียงแผนลวงให้ชาวยุทธ์ตายใจ ผลดีก็จะเกิดต่อสำนักพวกเราว่ามีคุณธรรม ส่วนที่ข้าดีใจนั้น ข้ามองเห็นภาพในวันข้างหน้าว่าเกียรติและชื่อเสียงของประธานประจำลานประลองยุทธ์จะตกต่ำเพราะไร้ฝีมือที่จะควบคุมลานยุทธจักรให้อยู่ความสงบได้ ซึ่งก็จะส่งผลโดยตรงต่อสำนัก “ผื่อไท้” แล้วสั่นคลอนถึงตำแหน่งเจ้ายุทธภพของแม่นาง “ปู้” ด้วย
“ท่านเจ้าสำนึกล้ำลึกยิ่งนัก ข้าเลื่อมใส” สิหลิ่ซกเริ่มกระจ่าง
“นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น....” อาผิ่ซิดกระหยิ่ม
“แสดงว่าท่านเจ้าสำนักมีแผนขั้นต่อไป...”
“ใช่...ตอนนี้ข้าแต่งตั้งอดีตพ่อบ้าน “ซูเทพ” เป็นหัวหน้าพาจอมยุทธ์ฝีมือดีอย่าง เทพไถ้, ถ่ะวอน, หนี๊พิด,หวิดถ่ะหย่า เดินทางลงทิศใต้นัดหมายรวบรวมชาวบ้านปลุกระดมต่อต้านการบริหารยุทธภพของแม่นางปู้” ใบหน้าของเจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดเริ่มฉายแววอำมหิต “หากแผนครั้งนี้ของข้าสำเร็จ ชื่อเสียงของสำนักผื่อไท้ก็จะตกต่ำ ยุทธภพก็จักปั่นป่วน โอกาสที่ข้าจะขึ้นครองตำแหน่งเจ้ายุทธจักรอีกครั้งก็อยู่แค่เอื้อม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“แล้วแผนขั้นต่อไปจะเริ่มตอนไหนขอรับ” สีหลิ่ซกถามอย่างตื่นเต้น
“อดีตพ่อบ้านซูเทพพึ่งส่งข่าวมาบอกว่า ตอนนี้รวบรวมชาวบ้านจากมณฑลทักษิณเรียบร้อยแล้ว รอก็เพียงแต่การส่งสัญญาณจากข้าเท่านั้น”
“สัญญาณ?...สัญญาณอะไรขอรับ ท่านเจ้าสำนักโปรดชี้แนะ”
“ตอนนี้จอมยุทธ์เซนน้องชายของซูเทพรับอาสาที่จะเป็นคนส่งสัญญาณดังกล่าว ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน จอมยุทธ์เซนจะใช้พลังวิชา “ทุ่ม” โดยใช้เก้าอี้สร้างความปั่นบนลานประลองยุทธ์อีกครั้ง นั่นแหละคือสัญญาณที่นัดหมายเอาไว้”
“ข้าผู้น้อยไม่เข้าใจทำไมต้องเป็น “เก้าอี้” ทำไมไม่จู่โจมพวกมันตรงๆ คราวที่แล้วท่านเจ้าสำนักก็สั่งให้แม่นางลังซิ่หม่าใช้พลังวิชา “ลาก” เก้าอี้ของประธานแห่งลานประลองยุทธ์”
“เจ้าไม่รู้อะไร.....เก้าอี้ คือสัญญลักษณ์ของผู้มีบารมี องค์ฮ่องเต้ก็มีเก้าอี้ประจำบารมี แม้หัวหน้าพรรคยาจกยังมีเก้าอี้ประจำ เห็นจะมีแต่ “ไพร่” เท่านั้นที่ไร้เก้าอี้ประจำกาย การจู่โจมทำร้ายเก้าอี้ก็หมายถึงทำร้ายเจ้าของเก้าอี้ด้วย เจ้าเข้าใจหรือยัง”
“ท่านเจ้าสำนักฉลาดล้ำลึก” สิหลิ่ซกล่ะล่ำละลักตอบ แม้จะยังเข้าไม่ถึงตรรกะอันซับซ้อนของเจ้าสำนักก็ตาม รับรู้เพียงแต่ว่าแผนการณ์ของเจ้าสำนักแต่ละครั้งสร้างความปั่นป่วนสะเทือนไปทั่วยุทธภพ และก็เคยเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวยุทธภพมาแล้วว่าพลังวิชา “ลาก”เก้าอี้ ของแม่นางลังซิหม่าในคราวนั้นอำมหิตประหนึ่งว่าได้ลากวิญญาณของประธานลานประลองยุทธ์ไปด้วย และไหนจะพลังวิชา “โยน” ของจอมยุทธ์ “หน่ะหลง”ที่ใช้พลังโยนคัมภีร์ปลิวกระจัดกระจายกลางเวหาต่อหน้าประธาน ณ ลานประลองยุทธ์ ที่ผ่านมาก็อำมหิตร้ายกาจเท่าวิชา “ลาก” อา...นี่อีกไม่กี่วันชาวยุทธ์ก็จะได้เห็นพลังวิชา “ทุ่ม” ของจอมยุทธ์เซนอีก นับว่าเป็นบุญตาของชาวยุทธ์ยิ่งนักที่จะได้ประจักษ์เคล็ดลับสามวิชา “ลาก” “โยน” และ “ทุ่ม” ในระยะเวลาไล่เลียงกัน ผิว่าวันใดวันหนึ่งข้างหน้า หากทั้งสามจอมยุทธ์แสดงพลังร่วมกันเป็นสามประสานเมื่อไหร่.....พลังอำมหิตของมันย่อมยากที่ใครในยุทธภพจะต้านได้......
“ท่านเจ้าสำนักจะไม่ปรึกษาผู้อาวุโสผิ่ไซก่อนหรือขอรับ”
“ผู้เฒ่าผิ่ไซ...” อาผิ่ซิดแค่นหัวเราะ “เฒ่าทารกหูตึงตามที่แม่นางหมั่นลี่กาเรียกนั่นหรือ? ข้าไม่มีไปวันปรึกษาหรอก วันๆ มันมีแต่จะเอาใจออกห่างสำนักของเราหันไปฝักใฝ่สำนักผื่อไท้.....เทียบกับท่านผู้อาวุโสอย่างท่านชวนป๋วยไม่ได้หรอก ข้าว่าอย่างไรท่านก็คล้อยตามทุกอย่าง”
หลังจากคนรับใช้ประจำสำนักมาแจ้งข่าวที่ชาวยุทธภพกำลังโจษขานเหตุการณ์ปั่นป่วนที่ลานประลองยุทธ์ในวันที่ผ่านมา สีหน้าของอาผิ่ซิดยิ่งมีความสุข
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า แผนที่ข้ากับพ่อบ้านวางเอาไว้ทุกอย่างเป็นไปคาด ” เจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดหัวเราะร่า และทันทีที่เขาหลับตาลง ภาพเหตุการณ์ปั่นป่วนที่ลานประลองยุทธ์ในวันนั้นก็ปรากฏเด่นเสมือนว่าเหตุการณ์นั้นกำลังดำเนินอยู่ต่อหน้าเขา ณ ยามนี้
“ท่านเจ้าสำนัก..” สิหลิ่ซกแย้ง “ ข้าไม่เข้าใจท่านเจ้าสำนัก...ทำไมท่านดูมีความสุขเล่า ก็ในเมื่อท่านพึ่งปล่อยข่าวต่อชาวยุทธภพว่าไม่อยากเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นบนลานประลองยุทธ์ ไฉนยามนี้ท่านกลับดูมีความสุข”
“สิหลิ่ซก....เจ้าติดตามข้ามานานเท่าไหร่แล้ว?”
“นับตั้งแต่คราวที่ท่านก้าวขึ้นเป็นเจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัด และขึ้นครองเป็นเจ้ายุทธภพเมื่อสองปีก่อนนั้นข้าก็รับใช้ท่านมาตลอดขอรับ”
“จนป่านนี้เจ้ายังอ่านใจข้าไม่ออกหรือ?” เจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดหันมามองคนใกล้ชิดอย่างฉงน สิหลิ่ซกก้มหน้าหลบแล้วพึมพัมในใจว่า แม้ตัวเขาจะติดตามสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดมาอย่างยาวนาน เขายอมรับว่ามีหลากหลายเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เขายังไม่เข้าใจเจ้าสำนักวัยหนุ่มคนนี้เลย หรือว่าฉายา “แหลหลักลอย” ที่ชาวยุทธภพตั้งให้เจ้าสำนักจะเป็นจริง ขนาดคนใกล้ชิดที่สุดอย่างเขายังไม่อาจหยั่งจิตใจเจ้าสำนักได้เลย ประสาอะไรกับเหล่าชาวยุทธ์ที่ท่องยุทธภาพอยู่ในตอนนี้??
“ข้าผู้น้อยด้อยปัญญา ท่านเจ้าสำนักโปรดชี้แนะ”
“ที่ข้าให้ข่าวไปนั้นเป็นเพียงแผนลวงให้ชาวยุทธ์ตายใจ ผลดีก็จะเกิดต่อสำนักพวกเราว่ามีคุณธรรม ส่วนที่ข้าดีใจนั้น ข้ามองเห็นภาพในวันข้างหน้าว่าเกียรติและชื่อเสียงของประธานประจำลานประลองยุทธ์จะตกต่ำเพราะไร้ฝีมือที่จะควบคุมลานยุทธจักรให้อยู่ความสงบได้ ซึ่งก็จะส่งผลโดยตรงต่อสำนัก “ผื่อไท้” แล้วสั่นคลอนถึงตำแหน่งเจ้ายุทธภพของแม่นาง “ปู้” ด้วย
“ท่านเจ้าสำนึกล้ำลึกยิ่งนัก ข้าเลื่อมใส” สิหลิ่ซกเริ่มกระจ่าง
“นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น....” อาผิ่ซิดกระหยิ่ม
“แสดงว่าท่านเจ้าสำนักมีแผนขั้นต่อไป...”
“ใช่...ตอนนี้ข้าแต่งตั้งอดีตพ่อบ้าน “ซูเทพ” เป็นหัวหน้าพาจอมยุทธ์ฝีมือดีอย่าง เทพไถ้, ถ่ะวอน, หนี๊พิด,หวิดถ่ะหย่า เดินทางลงทิศใต้นัดหมายรวบรวมชาวบ้านปลุกระดมต่อต้านการบริหารยุทธภพของแม่นางปู้” ใบหน้าของเจ้าสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดเริ่มฉายแววอำมหิต “หากแผนครั้งนี้ของข้าสำเร็จ ชื่อเสียงของสำนักผื่อไท้ก็จะตกต่ำ ยุทธภพก็จักปั่นป่วน โอกาสที่ข้าจะขึ้นครองตำแหน่งเจ้ายุทธจักรอีกครั้งก็อยู่แค่เอื้อม ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“แล้วแผนขั้นต่อไปจะเริ่มตอนไหนขอรับ” สีหลิ่ซกถามอย่างตื่นเต้น
“อดีตพ่อบ้านซูเทพพึ่งส่งข่าวมาบอกว่า ตอนนี้รวบรวมชาวบ้านจากมณฑลทักษิณเรียบร้อยแล้ว รอก็เพียงแต่การส่งสัญญาณจากข้าเท่านั้น”
“สัญญาณ?...สัญญาณอะไรขอรับ ท่านเจ้าสำนักโปรดชี้แนะ”
“ตอนนี้จอมยุทธ์เซนน้องชายของซูเทพรับอาสาที่จะเป็นคนส่งสัญญาณดังกล่าว ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน จอมยุทธ์เซนจะใช้พลังวิชา “ทุ่ม” โดยใช้เก้าอี้สร้างความปั่นบนลานประลองยุทธ์อีกครั้ง นั่นแหละคือสัญญาณที่นัดหมายเอาไว้”
“ข้าผู้น้อยไม่เข้าใจทำไมต้องเป็น “เก้าอี้” ทำไมไม่จู่โจมพวกมันตรงๆ คราวที่แล้วท่านเจ้าสำนักก็สั่งให้แม่นางลังซิ่หม่าใช้พลังวิชา “ลาก” เก้าอี้ของประธานแห่งลานประลองยุทธ์”
“เจ้าไม่รู้อะไร.....เก้าอี้ คือสัญญลักษณ์ของผู้มีบารมี องค์ฮ่องเต้ก็มีเก้าอี้ประจำบารมี แม้หัวหน้าพรรคยาจกยังมีเก้าอี้ประจำ เห็นจะมีแต่ “ไพร่” เท่านั้นที่ไร้เก้าอี้ประจำกาย การจู่โจมทำร้ายเก้าอี้ก็หมายถึงทำร้ายเจ้าของเก้าอี้ด้วย เจ้าเข้าใจหรือยัง”
“ท่านเจ้าสำนักฉลาดล้ำลึก” สิหลิ่ซกล่ะล่ำละลักตอบ แม้จะยังเข้าไม่ถึงตรรกะอันซับซ้อนของเจ้าสำนักก็ตาม รับรู้เพียงแต่ว่าแผนการณ์ของเจ้าสำนักแต่ละครั้งสร้างความปั่นป่วนสะเทือนไปทั่วยุทธภพ และก็เคยเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวยุทธภพมาแล้วว่าพลังวิชา “ลาก”เก้าอี้ ของแม่นางลังซิหม่าในคราวนั้นอำมหิตประหนึ่งว่าได้ลากวิญญาณของประธานลานประลองยุทธ์ไปด้วย และไหนจะพลังวิชา “โยน” ของจอมยุทธ์ “หน่ะหลง”ที่ใช้พลังโยนคัมภีร์ปลิวกระจัดกระจายกลางเวหาต่อหน้าประธาน ณ ลานประลองยุทธ์ ที่ผ่านมาก็อำมหิตร้ายกาจเท่าวิชา “ลาก” อา...นี่อีกไม่กี่วันชาวยุทธ์ก็จะได้เห็นพลังวิชา “ทุ่ม” ของจอมยุทธ์เซนอีก นับว่าเป็นบุญตาของชาวยุทธ์ยิ่งนักที่จะได้ประจักษ์เคล็ดลับสามวิชา “ลาก” “โยน” และ “ทุ่ม” ในระยะเวลาไล่เลียงกัน ผิว่าวันใดวันหนึ่งข้างหน้า หากทั้งสามจอมยุทธ์แสดงพลังร่วมกันเป็นสามประสานเมื่อไหร่.....พลังอำมหิตของมันย่อมยากที่ใครในยุทธภพจะต้านได้......
“ท่านเจ้าสำนักจะไม่ปรึกษาผู้อาวุโสผิ่ไซก่อนหรือขอรับ”
“ผู้เฒ่าผิ่ไซ...” อาผิ่ซิดแค่นหัวเราะ “เฒ่าทารกหูตึงตามที่แม่นางหมั่นลี่กาเรียกนั่นหรือ? ข้าไม่มีไปวันปรึกษาหรอก วันๆ มันมีแต่จะเอาใจออกห่างสำนักของเราหันไปฝักใฝ่สำนักผื่อไท้.....เทียบกับท่านผู้อาวุโสอย่างท่านชวนป๋วยไม่ได้หรอก ข้าว่าอย่างไรท่านก็คล้อยตามทุกอย่าง”
แสดงความคิดเห็น
....."เดชคำภีร์ปกเขียว สะท้านยุทธภพ"....
==========================================================
โคมประทีปนับสิบดวงยังคงสว่างไสวในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น แม้จะเลยเวลาวิกาลไปหลายเพลา เหล่าจอมยุทธ์ยังคงจับกลุ่มเสพสุราอย่างครื้นเครงประหนึ่งว่ากำลังเลี้ยงฉลองอะไรสักอย่าง.....ป้ายแผ่นหยก “เทพอัปสรมวยผม” ที่กลัดบนอาภรณ์ของพวกเขาบ่งบอกสำนักที่สังกัดอย่างชัดเจน แม้จะอยู่ท่ามกลางหลากหลายผู้คนในที่เปิดเผย ณ โรงเตี๊ยมแห่งนี้รวมถึงสถานการณ์ที่กำลังตรึงเครียดในยุทธภพในตอนนี้ก็ตาม พวกเขาหาได้แสดงทีท่าหวาดระแวงต่อการแสดงป้ายแผ่นหยกประจำสำนักอย่างเปิดเผยไม่ อีกทางหนึ่ง ดูเหมือนว่าพวกเขาจงใจที่จะแสดงป้ายแผ่นหยกด้วยซ้ำ ประหนึ่งว่าเป็นป้ายประกาศิตที่ใครเห็นแล้วต้องรู้สึกครั่นคร้าม แน่ละ....มันผู้ใดไม่รู้จักพรรค “ป่ะฉ่าถี้ปัด” สำนักวิทยายุทธ์ที่มีชื่อเสียงและประวัติอันยาวนานที่สุดในยุทธจักรนี้ มันผู้นั้นย่อมไม่ใช่ชาวยุทธภพที่แท้จริง
“ฮิ ฮิ ฮิ....เมื่อตอนกลางวันท่านบุ่นหย๋อด ใช้วิทยายุทธ์วิชา “แต๋วแตก” ซัดใส่ท่านประธานบนลานประลองยุทธ์แทบกระอักเลือด” จอมยุทธ์คนหนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ “ปั่นป่วน” ที่เกิดขึ้นบนลานประลองยุทธ์ที่พึ่งผ่านพ้นมา แววตาของจอมยุทธ์ “บุ่นหย๋อด” ในยามนี้เปล่งประกายความภาคภูมิอย่างเปิดเผย ที่แท้....พวกเขาเหล่านี้ก็คือเหล่าจอมยุทธ์ที่ร่วมประสานเพลงกระบี่โจมตีและจู่โจมเหล่าองครักษ์ที่รักษาการ ณ ลานประลองยุทธ์จนเกิดความปั่นป่วนที่พึ่งผ่านพ้นมาสดๆ ร้อนๆ นี่เอง! จอมยุทธ์บุ่นหย๋อดยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวก่อนที่จะตอบ
“...ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่ท่านเจ้าแห่งสำนักของพวกเราวางไว้ทุกอย่าง มา! พวกเรามาร่วมดื่มฉลองความสำเร็จ”
อา....เหตุการณ์ปั่นป่วนบน “ลานประลองยุทธ์” ที่พึ่งผ่านมาเป็นแผนที่ถูกวางเอาไว้ล่วงหน้านี่เอง เพลงกระบี่จึงดูพลิ้วประสานกลมกลืนกันอย่างดี และการพบกันของเหล่าจอมยุทธ์แห่งสำนักป่ะฉ่าถี้ปัด ณ โรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงไม่ใช่เป็นการมาพบกันโดยบังเอิญ หากแต่เป็นการนัดหมายเลี้ยงฉลองความสำเร็จต่อแผนการที่วางเอาไว้
น้ำเหล้ายังไม่ทันได้สัมผัสลิ้น.....ลมพัดวูบจากข้างนอกเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับพายุแล้วมาหยุดตรงกลางโรงเตี๊ยม พร้อมๆ กับการปรากฏร่างของอิสตรี ทุกสายตาในยามนี้จ้องไปที่การปรากฏกายของเจ้าของวิชาตัวเบาเป็นจุดเดียว
“ แม่นาง นาหลี่ซะหล่า!” ทุกคนอุทานเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็เชื้อเชิญนางนั่งร่วมโต๊ะ ที่แท้นางก็คือจอมยุทธ์หญิงนาหลี่ซะหล่า เจ้าของวิชา“ชะนีคำราม” หนึ่งในสุดยอดวิชาขับพลังลมปราณนั่นเอง ชาวยุทธ์ต่างเคยเชื่อว่าคัมภีร์วิชานี้ได้หายสาบสูญไปจากยุทธภพหลายสิบปีแล้ว หากไม่เกิดเหตุการณ์ปั่นป่วนที่ลานประลองยุทธ์ในวันนี้ทุกคนจะยังคงเข้าใจเช่นนั้น
“แม่นาง ข้าเลื่อมใสพลังวิชาชะนีคำรามของท่านในวันนี้จริงๆ มาๆ... ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก” เทพไถ้จอมยุทธ์ผู้มีหน้าผากเด่นเป็นอัตตลักษณ์กล่าวชื่นชมด้วยความจริงใจพร้อมกับยกจอกขึ้นดื่ม....... “ชะนีคำราม” เป็นสุดยอดแห่งวิชาที่ต้องใช้พลังลมปราณขั้นสูงส่ง หากใครที่มีพลังลมปรานไม่ถึงมาฝึกวิชานี้ พลังภายในอาจย้อนตีกลับทำลายชีพจรขาดสะบั้นถึงขั้นสิ้นลมปราณเพียงแค่ฝึกกระบวนแรกได้ง่ายๆ แต่หากใครฝึกวิชานี้ถึงขั้นสุดยอดแล้วย่อมถือว่าเป็นหนึ่งในยุทธภพ ที่จอมยุทธ์หญิงนาหลี่ซะหล่าแสดงพลังวิชา “ชะนีคำราม” ณ ลานประลองยุทธ์ในวันนี้เป็นเพียงการเปล่งพลังไม่ถึงหนึ่งในเก้าส่วนของพลังทั้งหมด แม้เพียงน้อยนิดแค่นั้นมันก็สามารถแผ่รังสีอำมหิตข้ามน้ำข้ามทะเล ไปไกลหลายพันลี้จนเป็นที่โจษขานทั่วยุทธภพ คำกล่าวชื่นชมของจอมยุทธเทพไถ้ในยามนี้จึงไม่เกินเลยนัก.........
“ท่านกล่าวชมข้าเกินไป วิชาชะนีคำรามของข้าไฉนเลยจะสู้วิชา “ป้ายสี” ของท่านได้เล่า?” จอมยุทธ์เทพไถ้หน้าแดงรับคำชม
สีหน้าของเหล่าจอมยุทธ์จากสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดในยามนี้ล้วนต่างดูมีความสุข เสพสุราพลางยกย่องเพลงยุทธ์กันและกันไปมาพลาง หากแต่สีหน้าและนัยน์ตาของบุรุษเจ้าของโต๊ะท้ายสุดของโรงเตี๊ยมที่นั่งซุ่มสังเกตุการณ์มาตั้งแต่หัวค่ำในยามนี้กลับตรงกันข้าม
“อัปยศ!” บุรุษลึกลับสบถออกมาลอยๆ เหมือนพยายามจะให้เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมดในโรงเตี๊ยมได้ยิน .... ได้ผล! สิ้นคำสบถ.......จอมยุทธ์คนหนึ่งจากสำนักป่ะฉ่าถี้ปัดก็ตวาดย้อนกลับมาที่บุรุษลึกลับทันที
“ ใคร? แกว่าใครอัปยศ เผยตัวออกมา”
ไร้คำตอบ....บุรุษลึกลับยังคงนั่งขรึมจิบน้ำชา หากแต่กระบี่ที่วางอยู่บนตักพร้อมที่จะถูกชักออกมาจู่โจมได้ทุกเมื่อ
“ ข้าจะสั่งสอนให้แกรู้จักซะบ้าง” จอมยุทธ์บุ๋นหยอดคำราม ใช้วิชาตัวเบาพุ่งเข้ามาที่โต๊ะของบุรุษลึกลับหมายจะจู่โจมทันที พลันต้องถึงกับผงะ เมื่อบุรุษลึกลับลุกขึ้นยืนและหาได้แสดงท่าทีเกรงกลัวจอมยุทธ์บุ๋นหยอดแต่อย่างใดไม่ แสงไฟจากโคมประทีปที่แขวนข้างฝาของโรงเตี๊ยมเผยโฉมหน้าของเขาเด่นชัด
“ท่านรองเจ้าสำนัก!!” จอมยุทธ์บุ๋นหยอดเหงื่อแตกพลั่กเต็มใบหน้า ละล่ำละลั่กทรุดเข่าคาราวะบุรุษที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าทันที “ข้าผู้น้อยขออภัยที่ล่วงเกินท่านไปเมื่อครู่นี้ ข้าไม่รู้ว่าเป็นรองเจ้าสำนัก” สีหน้าและแววตาของจอมยุทธ์บุ๋นหยอดในยามนี้หาได้เล็ดลอดจากการสังเกตุของบุรุษที่ถูกเรียกว่า “รองเจ้าสำนัก” ไม่
“เปล่าประโยชน์ที่จะมาขออภัยหากเจ้าไม่จริงใจ อีกอย่าง ข้าหาใช่คนไร้น้ำใจไม่...ข้าไม่ถือสา”
“ผู้อาวุโส ข้าสาบานได้ ข้าจริงใจ ข้าจริงใจจริงๆ” จอมยุทธ์บุ๋นหยอดตอบอย่างรวดเร็ดประหนึ่งเป็นประโยคที่มันท่องจนขึ้นใจ
“แววตาและพฤติกรรมของเจ้าหาได้บอกข้าเช่นนั้นไม่ ไฉนท่านยังโกหกตัวเองล่ะท่านบุ๋นหยอด” น้ำเสียงนั่นยังคงนิ่ง
“ข้าไปล่วงเกินท่านตอนไหน ท่านผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ”
“เจ้ารู้หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้จริงๆ”
“ข้า...ข้าไม่รู้จริงๆ” คราวนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะตามไม่ทันจริงๆ
“เหตุการณ์ปั่นป่วนที่ลานประลองยุทธ์ในวันนี้ พวกเจ้าแสดงออกถึงความไม่จริงใจต่อข้าและหมิ่นเกียรติข้า”
“พวกข้าหมิ่นเกียรติท่านรองเจ้าสำนัก” คราวนี้เป็นจอมยุทธ์เทพไถ้เดินเข้ามาร่วมโต๊ะ “ ข้าไม่เข้าใจ”
“พวกเจ้ารู้ ...และชาวยุทธ์ทั่วยุทธภพต่างก็รู้ว่าข้าได้แต่งคัมภีร์ปกเขียวขึ้นเล่มหนึ่งแล้วนำเสนอท่านเจ้าสำนัก หวังจะใช้คัมภีร์ปกเขียวนี้กอบกู้ชื่อเสียงของสำนักกลับคืนมา พวกเจ้ากลับไม่แยแสไม่นำพา มิหนำซ้ำยังทำในสิ่งที่ตรงข้าม น้องชายร่วมสายเลือดของข้าแท้ๆ ก็ร่วมประสานใช้วิชามารสร้างความปั่นป่วนบนลานประลองยุทธ์ด้วย ข้ารู้สึกอับอายขายหน้าไปทั่วยุทธภพ แล้วอย่างนี้จะให้ข้าเชื่อใจพวกเจ้าได้อย่างไร?” กล่าวเสร็จรองเจ้าสำนักก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมไป ทิ้งปมในใจให้เหล่าจอมยุทธ์ให้ครุ่นคิด...............
จากนั้นเพียงไม่นาน แสงไฟจากโคมประทีปภายในโรงเตี๊ยมก็ค่อยๆ ดับลงทีละดวง เจ้าของโรงเตี๊ยมและเสี่ยวเอ้อปิดประตูกล่าวคำอำลาจอมยุทธ์คน
สุดท้าย จากนั้นความเงียดสงัดก็เคลื่อนเข้ามากลบเสียงครื้นเครงเฮฮาไปจนฟ้าสางวันใหม่........