แชร์ประสบการณ์ : 9 ปีกับโปรแกรมเมอร์ สู่พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวเรือ ;

กระทู้สนทนา
สวัสดีชาวพันทิปทุกท่านครับ ผมอายุ 30+แล้ว เป็นโปรแกรมเมอร์มาตั้งแต่เรียนจบ ตอนนี้ก็ 9ปีเห็นจะได้ครับ ก็เป็นทั้งพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ เปิดบริษัทรับงานเองก็เคย(แต่อยู่ได้ไม่นาน) 9 ปีที่ผ่านมานอกจากจะทำงานด้านพัฒนา software แล้ว ผมก็ยังคอยหาช่องทางลงทุนทำอย่างอื่นอยู่ตลอด แต่ก็ได้แค่ลงทุนไม่ได้เข้าไปลงแรงสักเท่าไหร่ เพราะติดงานหลักที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าว่ากันเฉพาะตัวงานจริงๆผมสนุกกับงานเขียนโปรแกรม งานออกแบบและพัฒนา software ค่อนข้างมาก ยิ่งได้เห็นผลงานเราใช้อยู่ในหน่อยงานต่าง ยิ่งภูมิใจตัวเองไม่น้อย
     ในช่วง 2-3 ที่ผ่านมาผมรับงานแบบเป็นแบบ contract ผมอาศัยคอนโดเป็นที่ทำงาน จะเข้าไป onsite หรือประชุมทีมบ้างเป็นบางครั้ง ไม่ต้องออกไปเผชิญรถติดเหมือนคนอื่นเค้า ตื่นสายหน่อย นั่งทำไปจนค่ำ บางวันไหลยาวไปจนดึกดื่นก็มี บางวันงานไม่เดิน คิดไม่ออก ก็ไปหาร้านกาแฟนั่งสักพักค่อยกลับมาทำต่อ ชีวิตเหมือนจะสบายครับ แต่โปรแกรมเมอร์ส่วนใหญ่จะรู้ดีว่างานมันไม่ได้มีแค่การเขียนโปรแกรม ผมจะเล่าเหตุผลส่วนตัวหลักๆให้ได้รู้เป็นข้อๆ นะครับ
     - อย่างแรกเลย เรื่องสุขภาพครับ ผมเป็นโปรแกรมเมอร์ประเภทต้องคิดตลอดเวลา ถ้าแก้โจทย์ แก้ปัญหานี้ไม่ได้ มันจะคาใจมาก นอนก็หลับไม่สนิท เข้าห้องน้ำ อาบน้ำยังต้องคิด แต่ก็บ่อยมากที่คิดได้ตอนเข้าห้องน้ำ 555 บางครั้งนอนไปแล้ว ดันคิดได้ ก็ต้องรีบลุกมาเปิดไฟทำงาน ด้วยระยะเวลาและวิธีทำงานมันส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมทั้งหมด โดยเฉพาะสายตา มีอยู่ช่วงนึง ปวดตามาก ขนาดใส่แว่นแล้วก็ยังทำงานได้ไม่เกิน 2ชม. จนต้องปรึกษาแพทย์เป็นการด่วน

     - “Requirement เปลี่ยน อารมณ์โปรแกรมเมอร์เปลี่ยน”  เคยได้ยินประโยคนี้กันมั้ยครับ (Requirement ที่นี่หมายถึง System Requirement) มันเกี่ยวกับเนื้องานล้วนๆ แน่นอนว่าโปรแกรมเมอร์ต้องเจอกันอยู่แล้ว คนที่ทำงานสายนี้ต้องคอยรับมือกับ Requirement ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา บางครั้งงานคืบหน้าไป 60-70% แล้ว พี่ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้บ้างล่ะ(ฮ่วย..) ขอเปลี่ยนหน่อย ขอเพิ่มหน่อย (โอ๊ยๆ ) เล็กๆน้อยๆ ก็หยวนๆกันไปครับ แต่ถึงขั้นเปลี่ยน core processes นี่มัน..ก็นะ ไหนจะต้องคอยรับมือกับผู้ใช้งานแต่ละแผนกที่สารพัดปัญหา บางทีเข้าไป onsite  “น้อง printer ไม่รู้เป็นไร ช่วยดูให้หน่อย” เราก็สวนกลับเลยครับ “เดี๋ยวดูให้นะครับ”(ในใจคิด “’งาน ku เหรอ”)

     - ต้องตามเทคโนโลยีให้ทัน โปรแกรมเมอร์ส่วนมากต้องนำเอาเทคโนโลยีหรือเครื่องมือในการพัฒนา software มาต่อยอดให้เกิดเป็นระบบสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งเราต้องคอยเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ลำพังงานหลักๆ ก็แทบจะไม่มีเวลาอยู่แล้ว ต้องคอยวิ่งตามให้ทันบางทีมันก็เหนื่อยครับ เพราะพวกพี่แก ขยันกัน update เครื่องมือกันเหลือเกิน บางทีเครื่องมือตัวเดียวแต่มีหลายค่ายมาก ต้องศึกษาดีๆ ก่อนนำมาใช้ เลือกผิดนี่ชิวิตบัดซบเลยครับ เพิ่งเจอมาหมาดๆ กับโปรเจ็คล่าสุด project manager ต้องการให้ใช้งานเครื่องมืออยู่ตัวนึง ซึ่งมันไม่เป็นที่นิยมในบ้านเรา ผลเป็นไงเหรอ ผมก็ใช้เวลากับเครื่องมือตัวนี้อยู่เกือบสองปี ทั้งที่เครื่องไม้เครื่องมือที่เค้านิยมใช้กันพัฒนาไปพอสมควร อยากตามให้ทันก็ต้องมาเริ่มกันใหม่ ชีวิตบัดซบเลยละครับ
     - อย่างที่บอกไปตอนต้น ช่วง 2-3 ปีหลังผม ทำงานเป็นแบบ contract ซึ่งอนาคตนั้น คาดเดาได้ยาก มีงานก็ดีไป ไม่มีงานก็ซวยไป เรื่องนี้มันอาจสืบเนื่องมา ผมไม่ได้อยู่ในองกร์ใหญ่มานาน ผมรับงานเองหรือทำงานใน software house เล็กๆ การเติบโตในสายงานจึงมีโอกาศค่อนข้างน้อย ประกอบกับเราใช้ software ที่ไม่เป็นที่นิยมในบ้านเรา การจะเริ่มงานในที่ใหม่นั้น ค่อนข้างยาก
     แต่เหตุผลต่างๆที่เล่ามานั้น มันเป็นแค่เหตุผลประกอบการตัดสินใจ ผมคิดว่าผมสามารถรับมือกับมันได้ เพราะทุกอาชีพย่อมมีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น ส่วนเหตุผลหลักจริงๆ ผมมองว่า อาชีพนี้ไม่อาจพาผมไปถึงฝันในอนาคตได้ ด้วยภาระหนี้สิน พ่อแม่พี่น้องที่ต้องดูแล และอยากเกษียณอายุสักอายุ 60 (เหมือนราชการเลยอะ) มีที่สักแปลงทำเกษตร มีเงินเก็บพอจะเลี้ยงดูครอบครัวไปจนแก่เฒ่าได้ เลยตัดสินใจหยุดพักอาชีพโปรแกรมเมอร์ไว้เพียงแค่นี้ก่อน เผื่อว่าโอกาศมีจะได้กลับมาอีกสักครั้ง แต่อยู่ๆจะไปเป็นพ่อค้าก๋วยเตี๋ยวเลยมันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น เดี๋ยวผมจะมาบอกเล่าวิธีที่ผมวางแผนในการเป็นพ่อค้า การเตรียมตัว แล้ววิถีชีวิตของพ่อค้าให้ได้ทราบกันครับ

     ต่อครับ: ว่าด้วยเรื่องการวางแผนเปลี่ยนอาชีพ
     เปลี่ยนแปลงอาชีพคราวนี้ผมตั้งใจจะลงทุน ลุยเต็มตัวเลยครับ แต่ปัญหาของผมคือมันเป็นอาชีพที่ไม่เคยทำมาก่อนไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่ในหัวเลย ก็ได้ญาตมาเป็นหุ้นส่วนซึ่งเค้าก็มีความรู้ด้านนี้มากกว่าผม อีกอย่างพ่อเค้าก็เคยค้าขายก๋วยเต่ยวเรือมาก่อน เราจึงได้สูตรมาทดลองกัน ผลเป็นที่น่าพอใจครับ จากนั้นเราจึงเริ่มสำรวจพื้นที่ต่างๆ พร้อมกับวางแผนด้านการเงิน จะหาเงินทุนและรายได้จากทางไหนหลังจากที่ผมหมดสัญญากับงานสุดท้าย
     เมื่อประมาณ 1 ปีที่แล้วผมก็เลยเริ่มทำ Line Sticker แล้วมันก็เป็นไปตามแผน Sticker ของผม 4 ชุด ก็ได้เริ่มวางขายตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รายได้จากการขาย Sticker เข้ามาทดแทนงานเขียนโปรแกรมได้ทันเวลาพอดี ระหว่างนี้ก็สำรวจพื้นที่ต่างๆไปด้วย แต่จะเน้นใกล้ๆที่พัก ปัจจุบันผมอยู่แถวแจ้งวัฒนะ ใกล้เมืองทองมากๆ ก็ไม่พลาดที่จะเข้าไปสำรวจ เนื่องจากเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ และก็มีอาคารสำนักงานของธนาคารกสิกรไทยตั้งอยู่และกำลังก่อสร้างอีก 1 อาคาร โดยภาพรวมแล้วค่อนข้างเป็นทำเลที่ดี เราก็เล็ง shop แถวนั้นไว้หลายที่แต่ราคาค่าเช่าสูงเอาเรื่องเลยทีเดียว ก็สำรวจกันอยู่นานเหมือนกัน สุดท้ายมาจบตรงใกล้ๆแถวอาคารกสิกรนั้นแหละครับ แต่ก็ไม่ใกล้มาก พอจะเดินถึง ซอยที่เราจะเปิดร้านนั้น อยู่ทางด้านข้าง ซึ่งไม่ใช่ทำเลเกรดเอ  คนเดินสัญจรอาจจะไม่เยอะมากเหมือนด้านหน้า แต่ด้วยราคาค่าเช่าแล้วก็น่ารัก น่าลุ้น น่าลองดูพอสมควร สุดท้ายเราก็ตัดสินใจลงทุนเปิดร้ายก๋วยเตี๋ยวเรือ โดยอาศัยวิธีคิดง่ายๆ "ร้านอร่อย อยู่ไม่ไกลมาก" คนก็น่าจะแวะเวียนมาพอสมควร เลยตกลงทำสัญญาไปตามระเบียบ   คราวนี้ก็เข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมร้าน จากสภาพร้านเดิมแล้วต้องปรับปรุงเยอะพอสมควร เด่ยวจะมาเล่าต่อครับ

     /*2015-10-20*/
     ขออภัยในความล้าช้าครับ เพิ่งเก็บร้านเสร็จ เลยรีบมาเล่าต่อด้วยความงัวเงีย วันนี้กลางวันไม่มีเวลาเพราะติดหลายภาระกิจครับ  คงพอเข้าใจอาชีพพ่อค้านะครับ จะรีบปั่นให้จบ แต่ไม่รู้จะจบเมื่อไหร่นะครับ 555
     มาต่อกันครับ หลังจากทำสัญญาแล้วก็เริ่มต้นวางแผนปรับปรุงร้านทันที เอารูปเก่ามาให้ดูกันสักนิดนะครับ







     สภาพก็อย่างที่เห็น พอจะเห็นถึงความเก่าและความเละเทะพอสมควร แต่ในร้านนั้นแค่เปิดประตูก็เย็นสบายแล้วครับ เข้ามาไม่ต้องเปิดพัดลมกันเลย ลมผ่านตลอด ก็วางแผนออกแบบกันเอง จะทำอะไร ตรงไหน แล้วก็เรียกช่างมาตีราคา ป๊าด..เหมือนโดนตีแสกหน้ายังไงยังงั้น ราคามหาโหดมาก นี่ขนาดรู้จักกันนะ ค่าทาสีอย่างเดียว สองหมื่นกว่า ค่าขัดพื้นอีกเกือบสามหมื่น พระเจ้า! นี่ผมจนหรือมันเป็นราคามาตฐานกันแน่ ก็ลองหามาอีกเจ้า ราคาไม่ต้องกันเลย  ด้วยงบประมาณที่มีจำกัด ผมเลยตัดสินใจทำเอง ทั้งขัดพื้น ขัดผนัง ทาสีใหม่ ทำระบบไฟ ติดซิงค์ล้างจาน เดินท่อน้ำทิ้ง เรียกว่าทุกอย่างที่ทำได้ ทำเองหมด จะมีพวกน้องๆ หลานๆ มาช่วยกันทำ ร้านเดิมนั้นถูกกั้นห้องไว้เพื่อใช้อาศัยหลับนอนด้วย มันเลยดูแคบ ผมเลยจัดการรื้อมันซะ แล้วก็กั้นใหม่ซะ
     


     ก็ทำกันมาเรื่อยๆครับ

     ข้าวของบางอย่างก็ไปหาของมือสองที่สภาพดีมาใช้ เช่น ซิงค์ล้างจาน 2 ตัวนี้

     ไปได้มาจากร้านขายของมือสองแถวบางบัวทองทางไปสุพรรณ เค้ารับเหมารื้อของเก่าจากมินิมาร์ท แล้วเอามาขายต่อ สภาพดีครับ เดินท่อน้ำทิ้งหน่อยใช้ได้เลยครับ


     ชั้นวางของตัวนี้ก็ไปได้มาจากร้านใกล้ๆ กันเดินไปเจอเหล็กฉากที่เค้าชั่งกิโลขายพอดี ขายกิโลละ 30 มั้งครับ มีบริการตัดตามขนาดให้ด้วย แต่ขนาดที่เค้ามีพอดีกับร้านผมพอดี เลยรอดไป เบ็ดเสร็จตัวนี้หกร้อยกว่าบาทครับ รวมอุปกรณ์ยึดและซีเมนต์บอร์ดที่ใช้รองแล้วนะครับ


     อย่างป้ายเมนู ก็เอาซิเมนต์บอร์ดมาทาสีดำด้าน ทิ้งให้แห้งก็เขียนได้เลย อะไรที่นำมาประยุกต์ใช้ได้เอามาหมด แต่ไม่ได้เน้นของถูกอย่างเดียวนะครับ ต้องคำนึงถึงคุณภาพด้วย

     ระหว่างที่ทำร้านไป ก็ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเตรียม ต้องวานแผน มีเรื่องให้ถกกันมากมาย
     - เรื่องสูตรก๋วยเตี๋ยว ก่อนหน้านี้มีพี่ที่นับถือท่านนึง แนะนำให้ลองใช้ของพรรคพวกเค้าดู แต่ต้องซื้อหัวเชื้อมาจากเค้า ไม่ต้องปรุงเองให้เหนื่อย แค่ต้มน้ำให้เดือด เทหัวเชื้อลงหม้อใส่กระดูกขายได้เลย เออ..ง่ายดีเนอะ เลยต้องหามาลองกันหน่อย ได้ลองได้คุยก็โอเคเลยมาก จึงได้ข้อสรุปด้วยความง่าย สะดวก รวดเร็ว ลดภาระงาน อ้อ...ลืมบอกไปที่ร้านเราจะอยู่กัน 2 คนแล้วก็มีแม่บ้านชาวต่างชาติอีก 1 คน ไว้คอยเก็บกวาดเช็ดล้าง
     - เรื่องของขนาดถ้วยที่จะขาย
    ถ้วยเล็ก ธรรมดาราคา 15-20 บาท ถ้วยเล็กมันจะคลาสสิคกว่า คนกินก็สามารถสั่งกินได้หลายเส้น ถ้วยเล็กนั้นสามารถทำกำไรต่อถ้วยได้มากกว่า (เค้าว่ามาแบบนั้น)
    ถ้วยใหญ่ ธรรมดาราคา 30-35 บาท ถ้วยใหญ่นั้นลดภาระ เรื่องจำนวนการปรุง จำนวนการล้าง ลดเวลาในรออาหารของลูกค้า เช่น ลูกค้ามา 4 คน ถ้าเป็นถ้วยเล็กลูกค้าอาจจะสั่ง 8 ถ้วย ถ้วยใหญ่ อาจจะสั่งแค่ 4 ถ้วย ระยะเวลาที่ทำคิวต่อไปก็จะลดลงมา จึงสรุปจบเรื่องนี้ด้วยการใช้ถ้วยใหญ่ เพราะคนเราน้อยและมันลดงานเราได้พอสมควร
     อันนี้แค่เรื่องหลักๆที่พอจะคิดออกครับ แค่นี้ก็เริ่มเหนื่อยแล้ว มันก็มีเรื่องให้คิกให้ถกกันตลอด ไหนจะใช้ตู่แช่หรือถังน้ำแข็งดี ช้อนจานชาม เอาแบบไหน โต๊ะแบบไหน เรื่องจีปาถะมันเยอะจริงๆ
     ช่วงที่ทำอยู่ ก็มีผู้คนเดินแวะเวียนผ่านมาพอสมคาร เพราะร้านผมติดกับร้านอาหารตามสั่งที่มีเชฟระดับโรงแรมมาทำเอง ถัดไปอีกนิด ก็เป็นผัดไทยยอดมะพร้าวเจ้าอร่อยที่อยู่มาเป็นสิบปี บางคนก็เข้ามาพูดจาทักทายปราศัย บ้างก็ถามว่าทำอะไร บ้างก็แนะนำให้กำลังใจ แต่ก็มีบางคนที่เข้ามาให้กำลังใจกันแบบแปลกๆ
          - “จะเปิดเมื่อไหร่ล่ะ เจ้าเก่าเค้าอยู่ได้สองเดือนเองนะ”
          - “ขายอะไรเหรอ เค้ามาขายกันแล้วเจ้าแล้วนะแต่อยู่กันไม่นาน”
          - “ร้านสวยดีนะ แต่เจ้าที่แรงนะแถวนี้อะ”
เราก็ยิ้มมุมปาก พลางพูดว่า “อ่อ...เหรอครับ” แต่ในใจคิด “เดี๋ยวยิ้มดู ku! เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย”(ศักรินท์ ดาวร้าย มาเอง)
จนแล้วจนรอดร้านก็เสร็จทันเวลาตามฤกษ์ยาม (เหลือห้องน้ำกับด้านหลังอีกนิดหน่อย) มาชมผมงานหลังจากทำการปฏิสังขรณ์กันครับ



และแล้วก็พร้อมสำหรับอาชีพใหม่แต่เรื่องราวของการเป็นพ่อค้ามันยังไม่เริ่มต้นขึ้นเลยนะ เดี๋ยวจะมาสาธยายให้ฟังต่อ

ขออนุญาตยกยอดไปกระทู้ใหม่นะครับ http://pantip.com/topic/34352643
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่