สวัสดีชาวพันทิปกันอีกรอบนะครับ จากความเดิมตอนที่แล้ว
http://pantip.com/topic/34332801
กราบงามๆ สามที
กราบหนึ่ง: กราบขออภัยที่ให้รอนาน กว่าจะได้มาเขียนต่อ บางท่านรอจนสื่อเปื่อย พอดีติดภาระกิจอยู่หลายวัน วันนี้พอมีเวลาว่าง พอดีปิดร้าน 3 วัน ไม่ต้องไปตามหากันนะครับ เปิดวันจันทร์นู้น... (มีเวลาไม่มากนัก จะสรุปให้จบนะ)
กราบสอง: กราบขออภัยที่ต้องมาตั้งกระทู้ใหม่ ด้วยความที่ระบบพันทิป ไม่สามารถแก้ไขแท็กได้หลังจาก 1 ชม.(อารมณ์ประมาณ end user สะเพร่าเอง แต่โทษระบบ 555+) ซี่งเรื่องที่จะเล่าต่อไป มันมีส่วนประกอบหลายอย่าง จึงขออญุญาตแท็กเพิ่ม(แท็กผิดขออภัย) เผื่อหลายๆท่านที่กำลังจะทำอะไรแบบผมจะได้นำไปประยุกต์ต่อได้ หลายๆท่านที่มีประสบการ์ณแล้วจะได้เสนอแนะ หรือแชร์ประสบการ์ณที่มีประโยชน์ร่วมกัน(กราบขอบพระคุณล่วงหน้า)
กราบสาม: กราบขออภัยหลายๆท่าน ที่กระทู้ที่แล้ว ไปสะกิดต่อมบางอย่าง ผมบังเอิญได้เห็นคอมเม้น ที่ถูกแชร์กันไป ทั้งใน Facebook หรือ tweeter เข้าใจว่าหลายท่านเอาฮาครับ แต่บางท่านนี่ ทำเอาผมรู้สึกผิดในการตั้งกระทู้นั้นไปเลย
ขอบอกท่านทั้งหลาย ที่กำลังจะเรียน กำลังเรียน หรือกำลังทำงานในสายนี้นะครับ ว่าทุกอาชีพมันมีปัญหากันหมดแหละครับ ยากง่ายมันก็ต่างกันไป ที่เล่ามามันก็เป็นปัญหาส่วนหนึ่งของโปรแกรมเมอร์ที่ผมเจอ แต่บางคนเค้าก็ไม่เจอก็มี หมอ พยาบาล ก็จะมีปัญหาอีกแบบ นักธรกิจ วิศวะกร แม่ค้า พ่อค้า ก็จะเจอปัญหาต่างกันออกไป ทุกคนทุกอาชีพย่อมมีปัญหา ต้องเรียนรู้และพัฒนาถึงจะอยู่รอดครับ ปัญหาใหญ่สำหรับผมอย่างที่บอกไปแล้ว มันไม่สามารถพาผมไปถึงที่ผมฝันได้ประกอบกับผมหมดสัญญาจ้างพอดี ผมจึงเลือกที่จะหยุดพักอาชีพนี้ไว้ก่อน แล้วมาเริ่มทำอะไรใหม่ๆดูบ้าง แล้วอาชีพใหม่ที่ว่าเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวเรือนั้นเป็นอย่างไร ...นั่งลงซิครับ ผมจะเล่าให้ฟัง
ร้านผมถือฤกษ์เปิด วันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยความที่ผมไม่เคยมีประสบการ์ณทำร้านอาหารเลย เคยแต่ลงหุ้นเท่านั้น พอมาทำเองทั้งหมด ผมก็อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลาในช่วงแรกๆ หาประสบการ์ณ วันแรกของการเปิดร้านเป็นยังไงนะเหรอ ร้อนซิครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากความเดิม

ไอ้ลมเย็นๆที่คอยพัดช่วงที่เราปรับปรุงร้านนั้นไม่มีมาใหได้สัมผัสแม้แต่น้อย มันร้อนอบอ้าวมาก บวกกับไอความร้อนจากแก๊ส ความร้อนจากหม้อก๋วยเตี๋ยว มันยิ่งรอนไปกันใหญ่ เป็นแบบนี้อยู่ทุกวัน ติดพัดลมเพิ่มเติม เพิ่มขนาดพัดลม ก็พอบรรเทาไปได้บ้าง แก้ปัญหามาตลอด ช่วงนี้ดีกรีความร้อนก็ลดลงหน่อย ล่าสุดนี่ก็ไปได้พัดลมแอร์มือสองมา ก็กำลังจะติดตั้งเพิ่มเข้าไป หวังว่าเสร็จแล้วจะได้นั่งกันสบายใจ
มาว่ากันที่เรื่องหลักครับ
“วัตถุดิบ” เรื่องน้ำซุป นั้นไม่ต้องห่วงครับ ตัดไปได้เลย เพราะซื้อเค้ามา ปัญหามันอยู่ที่เส้นกับลูกชิ้น เส้นกับลูกชิ้นของที่เราซื้อมาใช้นั้น เจ้าของสูตรน้ำซุปได้แนะนำให้เราใช้เจ้าที่เค้าใช้อยู่ เราเอามาใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่โอเค ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ ก็กินได้แหละ แต่เราคิดว่าเส้นกับลูกชิ้นของเราต้องอร่อยได้มากกว่านี้ ว่าแล้วเราก็ไปตระเวนหามาลองหลายๆยี่ห้อ เกือบทุกตลาดในย่านนั้น ของแต่ละตลาดนี่ก็จะมีซ้ำๆกันทุกร้านนะ ขายยี้ห้อเดียวกัน จะหาต่างยี่ห้อกันนี้ไม่ได้เลย ได้สัมปทานกันมาป่าวก็ไม่รู้นะ เราหาเส้นกับลูกชิ้นมาลองกันร่วมเดือน หลังจากที่เราเปิดร้านไปแล้ว กว่าจะเจอยี่ห้อที่คิดว่ามันโอเค แต่เราก็ต้องเดินทางไปไกลจากเมืองทองพอสมควร ของดีขึ้นต้นทุนย่อมเพิ่มขึ้น บวกกับค่าขนส่งที่ไกลขึ้นด้วย เราก็ถกเรื่องต้นทุนกันพอสมควร แต่สุดท้ายก็ยืนราคาขายตามเดิม
จะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือได้นั้น “เลือด” เป็นส่วนประกอบหลักอย่างนึงเลยครับ ทั้งเลือดหมูและเลือดวัว เลือดเป็นอะไรที่ปวดหัวมาก คือโดยปกติแล้วถ้าเราสั่งเนื้อกับทางร้าน ร้านเค้าก็จะแถมเลือกกับกระดูกมาให้ ด้วยความที่เราเป็นร้านเปิดใหม่ ปริมาณการสั่งก็ไม่เยอะมาก และเราต้องการรักษาความสดของเนื้อเอาไว้ เราจะไม่พยายามสั่งมาสต๊อกเอาไว้ ทำให้ปริมาณเลือดกับกระดูกที่เราได้ ก็น้อยตามไปด้วย เรียกว่าเนื้อสดกับเลือดที่ได้มานั้น มันไม่ค่อยพอดีกัน บางครั้งเราต้องสั่งเนื้อเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้เลือดเพิ่มขึ้นมา เนื้อมันก็เหลือซิครับ ได้เนื้อใหม่มาเราก็เอาไปขาย เนื้อเก่าเราก็เอามาทำกินกันเอง รู้สึกทำแบบนี้สบายใจกว่า กว่าจะแก้ปัญหากันได้ก็ร่วมเดือนเหมือนกัน ช่วงหลังเราเปลี่ยนร้านที่สั่ง แม่ค้าอาจจะใจดี หรืออาจจะด้วยปริมาณที่เราสั่งด้วย หรือเราสั่งเนื้อส่วนอื่นมาเพื่อมาตุ๋นเพิ่มด้วย กำลังซื้อต่อครั้งมันเลยเพิ่มขึ้น เราก็สามารถต่อรองได้ มันก็เลยไปกันได้...
มาเรื่อง “ผัก” กันบ้าง ผักนั้นปัญหาอย่างเดียวคือมันไม่สด อาจด้วยความร้อนภายในร้าน เรื่องนี้แก้ปัญหาไม่ยากครับ เรื่องนี้ขอผ่าน...
อ้อ ในช่วงเดือนแรกนั้น ผมเพาะต้นอ่อทานตะวันมาให้ทานกันด้วยนะ

ผักฟรีในร้านจะมีโหรพา ถั่วงอก มะระแล้วก็ต้นอ่อนทานตะวัน ซึ่งผมเพาะเองหลังคนโด เตรียมตัวเผื่อไปเป็นเกษตรกรตอนแก่ แต่ ช่วงหลังๆ มางานจะเยอะเลยไม่ค่อยมีเวลา กะว่าสิ้นเดือนนี้จะเริ่มเพาะมาให้ทานกันอีก อาจจะทุกวันจันทร์หรืออังคาร แล้วอาจจะมีน้ำตะไคร้ฟรีทุกวันพุธ ( บางอย่างมันก็มีต้นทุนนะ แต่ใจที่อยากจะทำ ประเด็นนี้ ขอปรึกษาหน่อย )
หมดเดือนแรกปัญหาเริ่มคลี่คลายไปพอสมควร เรื่องยอดขายเหรอครับ อย่าไปรู้มันเลย(ตะเตือไต) คนก็เดินผ่านไปผ่านมาบ้าง ก็หันมามอง เห็นในร้านเงียบๆ ไม่กล้าเข้า สงสัยจะกลัว เราก็ส่งยิ้มกับสายตาอ้อนวอนออกไป พร้อมกับพูดว่า “อ้าว ! เดินหนีซะงั้น” 555+ อยากจะบอกเหลือเกินว่าแวะเข้ามาบ้างก็ได้นะ “ถึงน้ำก๋วยเตี๋ยวจะสีดำ แต่ใจคนทำสีชมพูนะจ๊ะ”(ไงละ สโลแกนร้านเรา ก็อบเค้ามา)
เข้าเดือนที่สองยอดขายเริ่มกระเตื้องขึ้นมานิดหน่อย ต้นไม้ที่ประดับประดาข้างฝาอย่างสวยงาม เริ่มพากันตีจาก ค่อยๆลากันไปทีละต้นสองต้น ว่าแล้วก็ไปหามาเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนบ่อยมาก มันก็ขยันตายกันเหลือเกิน(โถ จะเป็นเกษตรกรตอนแก่) เอาละได้วิธีใหม่แล้วกำลังจะทำ และแล้วปัญหาใหญ่ก็บังเกิด ได้มีการเปลี่ยนผู้ดูแลกิจการที่ขายหัวเชื้อน้ำซุปให้เรา ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ผมไม่สามารถบอกเล่าได้ ผมเริ่มพูดคุยกับคนใหม่และถามถึงรายละเอียดต่างๆ มันต่างไปจากรายละเอียดเดิมพอสมควร ซึ่งผมมองว่ามันไม่โอเคสำหรับเราเท่าไหร่และเราเป็นทุกข์กับเรื่องนี้เอามากๆ แต่มันยังพอมีเวลาให้เราได้ตัดสินใจ เราก็เลยเริ่มปรุงน้ำซุปกันเอง โดยอาศัยสูตรจากพ่อของญาติผมนั้นแหละ เค้าก็ให้คำแนะนำวิธีต่างๆ แต่งเติม เพิ่มเสริมตรงไหนบ้าง จนในที่สุดเราก็หันมาใช้สูตรน้ำซุปที่เป็นของเราในที่สุด แต่เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันนะครับ พูดจาคุยจบกันด้วยดีและก็ต้องขอบคุณเค้าด้วยที่ทำให้เราเดิมมาถึงจุดนี้(ได้ยังไง)
เข้าเดือนที่สามครับปัญหาใหม่ก็แวะมาทักทายกันตั้งแต่ตอนต้นเดือน เมื่อแม่บ้านของผม ดันหนีไปอยู่กับผู้ชาย...ซะงั้น ทั้งที่ทำงานให้เรามาก็หลายปี (นี่ละหนา ความรัก ยากนักที่จะเข้าใจ) เอาไงละทีนี้ ไหนๆ ก็ไหนๆ ทำเองมันซะทั้งหมดนั้นแหละ ถึงแม้รายรับจะค่อยๆเพิ่มขึ้นแต่ค่าจ้างแม่บ้านก็ยังต้องจ่าย ลดรายจ่ายส่วนนี้ไปสักระยะก็คงดี รอให้ร้านสามารถยืนอยู่ได้ก่อนแล้วค่อยหาก็ยังไม่สาย ทุกวันนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าไปตลาดเพื่อซื้อของเข้าร้าน มาช่วยกันเปิดร้าน ปรุงน้ำซุป เจียวกากหมู เก็บกวาดจัดร้านเพื่อให้พร้อมเปิดขายตอน 10 โมงเช้า ระหว่างวันก็ ลวกก๋วยเตี๋ยวบ้าง เก็บตัง เก็บจาน เก็บขยะ ตกเย็นก็ช่วยล้างจาน ล้างหม้อ ล้างเครื่องครัวต่างๆ เพื่อให้พร้อมสำหรับการขายในวันใหม่ ส่วนเรื่องยอดขายในเดือนที่สามนั้น ก็ขยับขึ้นตามลำดับ มีลูกค้าประจำแวะมาบ้าง (ไม่รู้สงสารหรืออร่อย) ตอนเที่ยงๆบางวันเริ่มทำไม่ทัน ลูกค้ารอคิวกันอยู่หลายโต๊ะ (ขายของตอนคนเยอะๆ นี่สนุกจริงๆนะ) บางทีลูกค้าต้องลุกไปตักน้ำแข็งหลังร้านเองก็มี (มีความคิดจะทำให้ลูกค้าบริการตนเองด้วย แต่พื้นที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย ประเด็นนี้ขอเรียนปรึกษาด้วย) แต่มันก็ไม่ใช่ขายดีทุกวันนะครับ บางวันก็ไม่เยอะ แต่แนวโน้มเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ปลายเดือนที่สามย่างเดือนที่สี่ ช่วงฝนถล่มกรุง ราวๆ 2 อาทิตย์ ถ้าจำไม่ผิด เหมือนมีคนแกล้ง ตกมันซะสามเวลาก่อนอาหาร บางวันตกเช้า สายหยุด เที่ยงซ้ำลงมาซะงั้น ตกแบบไม่ปรึกษาใคร พอฝนจาง นางหาย เอ้า... กินเจกันอีกแล้ว
เป็นยังไงละนี่ก็เข้าเดือนที่สี่มาแล้วกับชีวิตพ่อค้า เรื่องรายได้ ตอบได้เลยยังไม่เป้นที่น่าพอใจ ยอดขายจาก Line-Sticker ก็ตก (นี่กะจะสกรีนเสื้อลาย Sticker ของตัวเองขายอยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะรอดหรือป่าว) ถามว่าเหนื่อยมั้ยตอบเลยว่า “มาก” ถามว่าถอยมั้ย ตอบเลยว่า ”ไม่” ยังไม่ไม่คิดเรื่องนั้น คิดแต่จะปรับปรุงทำอะไรอีหลายๆอย่างให้มันดีขึ้น งานนี้สู้จนหยดสุดท้าย เวลาเท่านั้นจะบอกได้ ลองเอาปัญหาที่ผมเจอมาระหว่างโปรแกรมเมอร์กับพ่อค้ามาเทียบกันดูเล่นๆ นะครับ
- "
สุขภาพ" ตอนเป็นโปรแกรมเมอร์นั้นสายตามีปัญหาที่สุด แต่ตอนเป็นพ่อค้านี่ สายตาไม่มีปัญหาเลยครับ แต่ส่วนอื่นของร่างกายตั้งแต่หัวยันเท้าเลยครับ ปวดไปหมดทั้งตัว ปวดเอว ปวดหลัง ปวดขา ช่วงนี้เลยกลายเป็นคนติดยา (ยาเหลืองนวดสมุนไพร) ต้องเสพก่อนนอนทุกคืน
- "
Requirement" โปรแกรมเมอร์นั้น Requirement มาได้ทุกรูปแบบ ขอได้หมด ทำได้ไม่ได้ ขอไว้ก่อน งานไม่ได้จบในวันเดียว ถ้าผิดใจกันก็ต้องทนทำงานร่วมกันไป จนกว่าจะปิดโครงการ แต่ขายก๋วยเตี๋ยวนั้น Requirement ของลูกค้าจริงๆ แทบจะไม่มีอะไรมาก -เล็กเนื้อสดรสเจ็บ -หมี่หมูใจเสาะ -บะหมี่หมูปอดแหก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

อาจจะเจอบ้างกับลูกค้าที่จู้จี้จุกจิกหน่อย แต่งานขายมันจบเป็นถ้วยต่อถ้วย Requirement ที่เป็นปัญหาส่วนมากมาจากความต้องการของเราซะส่วนมากกว่า อยากทำให้ร้านมันดี มันน่ากิน มันสะอาด อะไรก็ว่ากันไป มันเป็นโจทย์ให้เราต้องทำการบ้าน แต่พอมันเข้าที่เข้าทางแล้วมันก็จะราบรื่น
หลังจากนี้จะมีปัญหาอะไรตามมาอีกมั้ยก็ยังไม่รู้ แต่อย่างที่บอกไปแล้วทุกคนมันมีปัญหากันหมดเพียงแค่เราเรียนรู้และปรับตัว อาชีพพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวของผมจะไปได้ไกลแค่ไหน ก็ยังไม่ทราบเอาไว้จะหาเวลามาเล่าให้ฟังหลังจากนี้ ส่วนอาชีพโปรแกรมเมอร์อันเป็นที่รักนั้นคงจะพักไว้ก่อน แต่คงจะเอาความรู้ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้จากการประกอบอาชีพนี้มาใช้อย่างเต็มที่ น้องๆหลายคนกลัวหรือท้อที่จะทำอาชีพนี้ สิ่งที่ผมบอกได้เลยว่าอาชีพโปรแกรมเมอร์นั้นได้สอนผมหลายๆอย่างมาก สิ่งสำคัญเลยคือ กระบวกการคิด คิดแบบมีเหตุมีผล คิดจะแก้ปัญหาแบบมีสติ ผมมองปัญหาที่ผมเจอมันก็เหมือนกับเราเจอ bug นั้นแหละ มันก็มียากบ้างง่ายบ้าง บางทีแค่เส้นผมบังภูเขา แต่ถ้าเราแก้ bug ได้ ก้าวข้ามปัญหาของเราไปได้ ความสุขก็บังเกิด... คนที่คิดจะออกมาทำอะไรคล้ายๆผมก็เตรียมวางแผนรับมือกันให้ดีหน่อยนะครับ ว่าแล้วก็หิวก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาจับจิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แชร์ประสบการณ์ : 9 ปีกับโปรแกรมเมอร์ สู่พ่อค้าก๋วยเตี๋ยวเรือ ; /*ภาคจบ*/
กราบงามๆ สามที
กราบหนึ่ง: กราบขออภัยที่ให้รอนาน กว่าจะได้มาเขียนต่อ บางท่านรอจนสื่อเปื่อย พอดีติดภาระกิจอยู่หลายวัน วันนี้พอมีเวลาว่าง พอดีปิดร้าน 3 วัน ไม่ต้องไปตามหากันนะครับ เปิดวันจันทร์นู้น... (มีเวลาไม่มากนัก จะสรุปให้จบนะ)
กราบสอง: กราบขออภัยที่ต้องมาตั้งกระทู้ใหม่ ด้วยความที่ระบบพันทิป ไม่สามารถแก้ไขแท็กได้หลังจาก 1 ชม.(อารมณ์ประมาณ end user สะเพร่าเอง แต่โทษระบบ 555+) ซี่งเรื่องที่จะเล่าต่อไป มันมีส่วนประกอบหลายอย่าง จึงขออญุญาตแท็กเพิ่ม(แท็กผิดขออภัย) เผื่อหลายๆท่านที่กำลังจะทำอะไรแบบผมจะได้นำไปประยุกต์ต่อได้ หลายๆท่านที่มีประสบการ์ณแล้วจะได้เสนอแนะ หรือแชร์ประสบการ์ณที่มีประโยชน์ร่วมกัน(กราบขอบพระคุณล่วงหน้า)
กราบสาม: กราบขออภัยหลายๆท่าน ที่กระทู้ที่แล้ว ไปสะกิดต่อมบางอย่าง ผมบังเอิญได้เห็นคอมเม้น ที่ถูกแชร์กันไป ทั้งใน Facebook หรือ tweeter เข้าใจว่าหลายท่านเอาฮาครับ แต่บางท่านนี่ ทำเอาผมรู้สึกผิดในการตั้งกระทู้นั้นไปเลย
ขอบอกท่านทั้งหลาย ที่กำลังจะเรียน กำลังเรียน หรือกำลังทำงานในสายนี้นะครับ ว่าทุกอาชีพมันมีปัญหากันหมดแหละครับ ยากง่ายมันก็ต่างกันไป ที่เล่ามามันก็เป็นปัญหาส่วนหนึ่งของโปรแกรมเมอร์ที่ผมเจอ แต่บางคนเค้าก็ไม่เจอก็มี หมอ พยาบาล ก็จะมีปัญหาอีกแบบ นักธรกิจ วิศวะกร แม่ค้า พ่อค้า ก็จะเจอปัญหาต่างกันออกไป ทุกคนทุกอาชีพย่อมมีปัญหา ต้องเรียนรู้และพัฒนาถึงจะอยู่รอดครับ ปัญหาใหญ่สำหรับผมอย่างที่บอกไปแล้ว มันไม่สามารถพาผมไปถึงที่ผมฝันได้ประกอบกับผมหมดสัญญาจ้างพอดี ผมจึงเลือกที่จะหยุดพักอาชีพนี้ไว้ก่อน แล้วมาเริ่มทำอะไรใหม่ๆดูบ้าง แล้วอาชีพใหม่ที่ว่าเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวเรือนั้นเป็นอย่างไร ...นั่งลงซิครับ ผมจะเล่าให้ฟัง
ร้านผมถือฤกษ์เปิด วันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยความที่ผมไม่เคยมีประสบการ์ณทำร้านอาหารเลย เคยแต่ลงหุ้นเท่านั้น พอมาทำเองทั้งหมด ผมก็อยากให้มันค่อยเป็นค่อยไปใช้เวลาในช่วงแรกๆ หาประสบการ์ณ วันแรกของการเปิดร้านเป็นยังไงนะเหรอ ร้อนซิครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไอ้ลมเย็นๆที่คอยพัดช่วงที่เราปรับปรุงร้านนั้นไม่มีมาใหได้สัมผัสแม้แต่น้อย มันร้อนอบอ้าวมาก บวกกับไอความร้อนจากแก๊ส ความร้อนจากหม้อก๋วยเตี๋ยว มันยิ่งรอนไปกันใหญ่ เป็นแบบนี้อยู่ทุกวัน ติดพัดลมเพิ่มเติม เพิ่มขนาดพัดลม ก็พอบรรเทาไปได้บ้าง แก้ปัญหามาตลอด ช่วงนี้ดีกรีความร้อนก็ลดลงหน่อย ล่าสุดนี่ก็ไปได้พัดลมแอร์มือสองมา ก็กำลังจะติดตั้งเพิ่มเข้าไป หวังว่าเสร็จแล้วจะได้นั่งกันสบายใจ
มาว่ากันที่เรื่องหลักครับ “วัตถุดิบ” เรื่องน้ำซุป นั้นไม่ต้องห่วงครับ ตัดไปได้เลย เพราะซื้อเค้ามา ปัญหามันอยู่ที่เส้นกับลูกชิ้น เส้นกับลูกชิ้นของที่เราซื้อมาใช้นั้น เจ้าของสูตรน้ำซุปได้แนะนำให้เราใช้เจ้าที่เค้าใช้อยู่ เราเอามาใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันไม่โอเค ไม่ใช่ไม่อร่อยนะ ก็กินได้แหละ แต่เราคิดว่าเส้นกับลูกชิ้นของเราต้องอร่อยได้มากกว่านี้ ว่าแล้วเราก็ไปตระเวนหามาลองหลายๆยี่ห้อ เกือบทุกตลาดในย่านนั้น ของแต่ละตลาดนี่ก็จะมีซ้ำๆกันทุกร้านนะ ขายยี้ห้อเดียวกัน จะหาต่างยี่ห้อกันนี้ไม่ได้เลย ได้สัมปทานกันมาป่าวก็ไม่รู้นะ เราหาเส้นกับลูกชิ้นมาลองกันร่วมเดือน หลังจากที่เราเปิดร้านไปแล้ว กว่าจะเจอยี่ห้อที่คิดว่ามันโอเค แต่เราก็ต้องเดินทางไปไกลจากเมืองทองพอสมควร ของดีขึ้นต้นทุนย่อมเพิ่มขึ้น บวกกับค่าขนส่งที่ไกลขึ้นด้วย เราก็ถกเรื่องต้นทุนกันพอสมควร แต่สุดท้ายก็ยืนราคาขายตามเดิม
จะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือได้นั้น “เลือด” เป็นส่วนประกอบหลักอย่างนึงเลยครับ ทั้งเลือดหมูและเลือดวัว เลือดเป็นอะไรที่ปวดหัวมาก คือโดยปกติแล้วถ้าเราสั่งเนื้อกับทางร้าน ร้านเค้าก็จะแถมเลือกกับกระดูกมาให้ ด้วยความที่เราเป็นร้านเปิดใหม่ ปริมาณการสั่งก็ไม่เยอะมาก และเราต้องการรักษาความสดของเนื้อเอาไว้ เราจะไม่พยายามสั่งมาสต๊อกเอาไว้ ทำให้ปริมาณเลือดกับกระดูกที่เราได้ ก็น้อยตามไปด้วย เรียกว่าเนื้อสดกับเลือดที่ได้มานั้น มันไม่ค่อยพอดีกัน บางครั้งเราต้องสั่งเนื้อเพิ่มขึ้นเพื่อให้ได้เลือดเพิ่มขึ้นมา เนื้อมันก็เหลือซิครับ ได้เนื้อใหม่มาเราก็เอาไปขาย เนื้อเก่าเราก็เอามาทำกินกันเอง รู้สึกทำแบบนี้สบายใจกว่า กว่าจะแก้ปัญหากันได้ก็ร่วมเดือนเหมือนกัน ช่วงหลังเราเปลี่ยนร้านที่สั่ง แม่ค้าอาจจะใจดี หรืออาจจะด้วยปริมาณที่เราสั่งด้วย หรือเราสั่งเนื้อส่วนอื่นมาเพื่อมาตุ๋นเพิ่มด้วย กำลังซื้อต่อครั้งมันเลยเพิ่มขึ้น เราก็สามารถต่อรองได้ มันก็เลยไปกันได้...
มาเรื่อง “ผัก” กันบ้าง ผักนั้นปัญหาอย่างเดียวคือมันไม่สด อาจด้วยความร้อนภายในร้าน เรื่องนี้แก้ปัญหาไม่ยากครับ เรื่องนี้ขอผ่าน...
อ้อ ในช่วงเดือนแรกนั้น ผมเพาะต้นอ่อทานตะวันมาให้ทานกันด้วยนะ
ผักฟรีในร้านจะมีโหรพา ถั่วงอก มะระแล้วก็ต้นอ่อนทานตะวัน ซึ่งผมเพาะเองหลังคนโด เตรียมตัวเผื่อไปเป็นเกษตรกรตอนแก่ แต่ ช่วงหลังๆ มางานจะเยอะเลยไม่ค่อยมีเวลา กะว่าสิ้นเดือนนี้จะเริ่มเพาะมาให้ทานกันอีก อาจจะทุกวันจันทร์หรืออังคาร แล้วอาจจะมีน้ำตะไคร้ฟรีทุกวันพุธ ( บางอย่างมันก็มีต้นทุนนะ แต่ใจที่อยากจะทำ ประเด็นนี้ ขอปรึกษาหน่อย )
หมดเดือนแรกปัญหาเริ่มคลี่คลายไปพอสมควร เรื่องยอดขายเหรอครับ อย่าไปรู้มันเลย(ตะเตือไต) คนก็เดินผ่านไปผ่านมาบ้าง ก็หันมามอง เห็นในร้านเงียบๆ ไม่กล้าเข้า สงสัยจะกลัว เราก็ส่งยิ้มกับสายตาอ้อนวอนออกไป พร้อมกับพูดว่า “อ้าว ! เดินหนีซะงั้น” 555+ อยากจะบอกเหลือเกินว่าแวะเข้ามาบ้างก็ได้นะ “ถึงน้ำก๋วยเตี๋ยวจะสีดำ แต่ใจคนทำสีชมพูนะจ๊ะ”(ไงละ สโลแกนร้านเรา ก็อบเค้ามา)
เข้าเดือนที่สองยอดขายเริ่มกระเตื้องขึ้นมานิดหน่อย ต้นไม้ที่ประดับประดาข้างฝาอย่างสวยงาม เริ่มพากันตีจาก ค่อยๆลากันไปทีละต้นสองต้น ว่าแล้วก็ไปหามาเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนบ่อยมาก มันก็ขยันตายกันเหลือเกิน(โถ จะเป็นเกษตรกรตอนแก่) เอาละได้วิธีใหม่แล้วกำลังจะทำ และแล้วปัญหาใหญ่ก็บังเกิด ได้มีการเปลี่ยนผู้ดูแลกิจการที่ขายหัวเชื้อน้ำซุปให้เรา ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ผมไม่สามารถบอกเล่าได้ ผมเริ่มพูดคุยกับคนใหม่และถามถึงรายละเอียดต่างๆ มันต่างไปจากรายละเอียดเดิมพอสมควร ซึ่งผมมองว่ามันไม่โอเคสำหรับเราเท่าไหร่และเราเป็นทุกข์กับเรื่องนี้เอามากๆ แต่มันยังพอมีเวลาให้เราได้ตัดสินใจ เราก็เลยเริ่มปรุงน้ำซุปกันเอง โดยอาศัยสูตรจากพ่อของญาติผมนั้นแหละ เค้าก็ให้คำแนะนำวิธีต่างๆ แต่งเติม เพิ่มเสริมตรงไหนบ้าง จนในที่สุดเราก็หันมาใช้สูตรน้ำซุปที่เป็นของเราในที่สุด แต่เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันนะครับ พูดจาคุยจบกันด้วยดีและก็ต้องขอบคุณเค้าด้วยที่ทำให้เราเดิมมาถึงจุดนี้(ได้ยังไง)
เข้าเดือนที่สามครับปัญหาใหม่ก็แวะมาทักทายกันตั้งแต่ตอนต้นเดือน เมื่อแม่บ้านของผม ดันหนีไปอยู่กับผู้ชาย...ซะงั้น ทั้งที่ทำงานให้เรามาก็หลายปี (นี่ละหนา ความรัก ยากนักที่จะเข้าใจ) เอาไงละทีนี้ ไหนๆ ก็ไหนๆ ทำเองมันซะทั้งหมดนั้นแหละ ถึงแม้รายรับจะค่อยๆเพิ่มขึ้นแต่ค่าจ้างแม่บ้านก็ยังต้องจ่าย ลดรายจ่ายส่วนนี้ไปสักระยะก็คงดี รอให้ร้านสามารถยืนอยู่ได้ก่อนแล้วค่อยหาก็ยังไม่สาย ทุกวันนี้ผมต้องตื่นแต่เช้าไปตลาดเพื่อซื้อของเข้าร้าน มาช่วยกันเปิดร้าน ปรุงน้ำซุป เจียวกากหมู เก็บกวาดจัดร้านเพื่อให้พร้อมเปิดขายตอน 10 โมงเช้า ระหว่างวันก็ ลวกก๋วยเตี๋ยวบ้าง เก็บตัง เก็บจาน เก็บขยะ ตกเย็นก็ช่วยล้างจาน ล้างหม้อ ล้างเครื่องครัวต่างๆ เพื่อให้พร้อมสำหรับการขายในวันใหม่ ส่วนเรื่องยอดขายในเดือนที่สามนั้น ก็ขยับขึ้นตามลำดับ มีลูกค้าประจำแวะมาบ้าง (ไม่รู้สงสารหรืออร่อย) ตอนเที่ยงๆบางวันเริ่มทำไม่ทัน ลูกค้ารอคิวกันอยู่หลายโต๊ะ (ขายของตอนคนเยอะๆ นี่สนุกจริงๆนะ) บางทีลูกค้าต้องลุกไปตักน้ำแข็งหลังร้านเองก็มี (มีความคิดจะทำให้ลูกค้าบริการตนเองด้วย แต่พื้นที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวย ประเด็นนี้ขอเรียนปรึกษาด้วย) แต่มันก็ไม่ใช่ขายดีทุกวันนะครับ บางวันก็ไม่เยอะ แต่แนวโน้มเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ปลายเดือนที่สามย่างเดือนที่สี่ ช่วงฝนถล่มกรุง ราวๆ 2 อาทิตย์ ถ้าจำไม่ผิด เหมือนมีคนแกล้ง ตกมันซะสามเวลาก่อนอาหาร บางวันตกเช้า สายหยุด เที่ยงซ้ำลงมาซะงั้น ตกแบบไม่ปรึกษาใคร พอฝนจาง นางหาย เอ้า... กินเจกันอีกแล้ว
เป็นยังไงละนี่ก็เข้าเดือนที่สี่มาแล้วกับชีวิตพ่อค้า เรื่องรายได้ ตอบได้เลยยังไม่เป้นที่น่าพอใจ ยอดขายจาก Line-Sticker ก็ตก (นี่กะจะสกรีนเสื้อลาย Sticker ของตัวเองขายอยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะรอดหรือป่าว) ถามว่าเหนื่อยมั้ยตอบเลยว่า “มาก” ถามว่าถอยมั้ย ตอบเลยว่า ”ไม่” ยังไม่ไม่คิดเรื่องนั้น คิดแต่จะปรับปรุงทำอะไรอีหลายๆอย่างให้มันดีขึ้น งานนี้สู้จนหยดสุดท้าย เวลาเท่านั้นจะบอกได้ ลองเอาปัญหาที่ผมเจอมาระหว่างโปรแกรมเมอร์กับพ่อค้ามาเทียบกันดูเล่นๆ นะครับ
- "สุขภาพ" ตอนเป็นโปรแกรมเมอร์นั้นสายตามีปัญหาที่สุด แต่ตอนเป็นพ่อค้านี่ สายตาไม่มีปัญหาเลยครับ แต่ส่วนอื่นของร่างกายตั้งแต่หัวยันเท้าเลยครับ ปวดไปหมดทั้งตัว ปวดเอว ปวดหลัง ปวดขา ช่วงนี้เลยกลายเป็นคนติดยา (ยาเหลืองนวดสมุนไพร) ต้องเสพก่อนนอนทุกคืน
- "Requirement" โปรแกรมเมอร์นั้น Requirement มาได้ทุกรูปแบบ ขอได้หมด ทำได้ไม่ได้ ขอไว้ก่อน งานไม่ได้จบในวันเดียว ถ้าผิดใจกันก็ต้องทนทำงานร่วมกันไป จนกว่าจะปิดโครงการ แต่ขายก๋วยเตี๋ยวนั้น Requirement ของลูกค้าจริงๆ แทบจะไม่มีอะไรมาก -เล็กเนื้อสดรสเจ็บ -หมี่หมูใจเสาะ -บะหมี่หมูปอดแหก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อาจจะเจอบ้างกับลูกค้าที่จู้จี้จุกจิกหน่อย แต่งานขายมันจบเป็นถ้วยต่อถ้วย Requirement ที่เป็นปัญหาส่วนมากมาจากความต้องการของเราซะส่วนมากกว่า อยากทำให้ร้านมันดี มันน่ากิน มันสะอาด อะไรก็ว่ากันไป มันเป็นโจทย์ให้เราต้องทำการบ้าน แต่พอมันเข้าที่เข้าทางแล้วมันก็จะราบรื่น
หลังจากนี้จะมีปัญหาอะไรตามมาอีกมั้ยก็ยังไม่รู้ แต่อย่างที่บอกไปแล้วทุกคนมันมีปัญหากันหมดเพียงแค่เราเรียนรู้และปรับตัว อาชีพพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวของผมจะไปได้ไกลแค่ไหน ก็ยังไม่ทราบเอาไว้จะหาเวลามาเล่าให้ฟังหลังจากนี้ ส่วนอาชีพโปรแกรมเมอร์อันเป็นที่รักนั้นคงจะพักไว้ก่อน แต่คงจะเอาความรู้ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้จากการประกอบอาชีพนี้มาใช้อย่างเต็มที่ น้องๆหลายคนกลัวหรือท้อที่จะทำอาชีพนี้ สิ่งที่ผมบอกได้เลยว่าอาชีพโปรแกรมเมอร์นั้นได้สอนผมหลายๆอย่างมาก สิ่งสำคัญเลยคือ กระบวกการคิด คิดแบบมีเหตุมีผล คิดจะแก้ปัญหาแบบมีสติ ผมมองปัญหาที่ผมเจอมันก็เหมือนกับเราเจอ bug นั้นแหละ มันก็มียากบ้างง่ายบ้าง บางทีแค่เส้นผมบังภูเขา แต่ถ้าเราแก้ bug ได้ ก้าวข้ามปัญหาของเราไปได้ ความสุขก็บังเกิด... คนที่คิดจะออกมาทำอะไรคล้ายๆผมก็เตรียมวางแผนรับมือกันให้ดีหน่อยนะครับ ว่าแล้วก็หิวก๋วยเตี๋ยวขึ้นมาจับจิต
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้