บทวิเคราะห์มาตรการอัดฉีดเงินของรัฐบาล จำนวน 1.36 แสนล้านบาท ในไตรมาสสุดท้ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนสิ้นปี 2558
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิติพงษ์ ส่งศรีโรจน์ 14 ตุลาคม 2558 [www.nitiphong.com]
มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ 3 มาตรการ วงเงินรวม 136,275 แสนล้านบาทนั้นประกอบด้วย
มาตรการแรก มาตรการปล่อยเงินกู้ผ่านกองทุนหมู่บ้าน 6 หมื่นล้านบาทผ่าน ธ.ก.ส.-ธ.ออมสิน ซึ่งจะไม่คิดดอกเบี้ยใน 2 ปีแรก อายุโครงการ 7 ปี ไม่จำกัดวงเงินกู้ต่อราย แต่ขึ้นอยู่กับความจำเป็นที่คณะกรรมการกองทุนฯ จะเป็นผู้พิจารณา โดยรัฐบาลจะอุดหนุนภาระดอกเบี้ยให้ในช่วง 2 ปีแรก ส่วนปีที่ 3-7 ในอัตราดอกเบี้ยเท่ากับต้นทุนทางการเงินด้วยร้อยละ 1.0 ต่อปี เพราะเชื่อว่าปีที่ 3 เป็นต้นไปประชาชนจะสามารถหาเงินมาชำระคืนดอกเบี้ยได้ ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินที่รัฐบาลต้องรับภาระปีละ 2 พันล้านบาท
มาตรการที่สอง การใช้จ่ายภาครัฐสู่ระดับตำบล จำนวน 3.6 หมื่นล้านบาทใน 7 พันกว่าตำบลๆ ละ 5 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาด้านต่างๆ รวมถึงการจ้างานในชุมชน เช่น การซ่อมแซมแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำ การซ่อมแซมสถานพยาบาล โรงเรียน ตลาดกลาง และการปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งขยะ เป็นต้นโครงการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การปลูกพืชใหม่ที่มีตลาด การเปลี่ยนแปลงอาชีพ การสร้างฝาย และการปลูกต้นไม้หรือป่าชุมชน เป็นต้น และโครงการด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น การเพิ่มศักยภาพในการประกอบอาชีพของคนในหมู่บ้าน/ชุมชน ส่งเสริมการประกอบอาชีพ การปรับปรุงซ่อมแซมศูนย์เด็กเล็กและศูนย์บริการผู้สูงอายุ เป็นต้น และ
มาตรการที่สาม การใช้จ่ายงบประมาณในโครงการขนาดเล็ก จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท อีก 2.4 หมื่นล้านผ่านระบบราชการ รายจ่ายลงทุนที่มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของหน่วยงาน วงเงินในการดำเนินการจัดซื้อ/จัดจ้าง รายการละไม่เกิน 1 ล้านบาท
มาตรการของรัฐที่กล่าวข้างต้นได้รับการตั้งคำถามว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงไรเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 3 เมื่อสิ้นไตรมาสที่สี่หรือสิ้นปี 2558 ซึ่งปัจจุบันไตรมาสที่สามนั้นมีการเติบโตประมาณร้อยละ 2.8 ซึ่งการจะตอบคำถามดังกล่าวต้องกลับมาดูก่อนว่าส่วนประกอบของมูลค่าเศรษฐกิจของไทย หรือ ที่เรียกเป็นทางการว่า GDP นั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง องค์ประกอบที่สำคัญประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการ (ร้อยละ 53) ค่าใช้จ่ายในการลงทุน (ร้อยละ 11) ค่าใช้จ่ายของภาครัฐ (ร้อยละ 41) การส่งออก (ร้อยละ 37) และการนำเข้า (ร้อยละ 42) จะเห็นว่าส่วนประกอบที่มีสัดส่วนมากที่สุดสามลำดับแรกสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ คือ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการ ค่าใช้จ่ายของภาครัฐ และการส่งออก ดังนั้น มาตรการทั้งสามประการถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ทั้งที่เป็นการใช้จ่ายในการในการบริโภคสินค้า/บริการ และการลงทุนของภาครัฐ การอัดฉีดเม็ดเงินลงไปสู่รากหญ้านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยในการกระตุ้นการบริโภค เพราะสัดส่วนของประชากรในภาคการเกษตรมีถึงร้อยละ 37 ของประชากรทั้งหมด และความโน้มเอียงในการบริโภคในภาคชนบทจะมีมากกว่าในเมือง นอกจากนั้นการหมุนเวียนของเงินก็จะส่งต่อไปยังภาคธุรกิจ โดยทั่วไปการใช้จ่ายของภาครัฐ 1 บาท จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ประมาณ 1 บาท ดังนั้น GDP ของไทยโดยเฉลี่ยประมาณ 13 ล้านล้านบาท เมื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายของรัฐลงไป 1.36 แสนล้าน ก็จะทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 1 อย่างไรก็ดีมาตรการดังกล่าวก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไชอื่นไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่เลวลง เช่น การลงทุนของภาคเอกชน การส่งออก การนำเข้า เป็นต้น ซึ่งเห็นว่าในระยะสามเดือนสุดท้ายปัจจัยต่างๆ คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และที่สำคัญต้องไม่มีการคอรับชัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่ามาตรการของรัฐบาลสามประการข้างต้นหากสามารถเบิกจ่ายได้ทันก่อนสิ้นปี 2558 ซึ่งเหลือเวลาอีกหนึ่งไตรมาสก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ ร้อยละ 1
บทวิเคราะห์มาตรการอัดฉีดเงินของรัฐบาล จำนวน 1.36 แสนล้านบาท ในไตรมาสสุดท้ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนสิ้นปี 2558
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิติพงษ์ ส่งศรีโรจน์ 14 ตุลาคม 2558 [www.nitiphong.com]
มติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลทั่วประเทศ 3 มาตรการ วงเงินรวม 136,275 แสนล้านบาทนั้นประกอบด้วย
มาตรการแรก มาตรการปล่อยเงินกู้ผ่านกองทุนหมู่บ้าน 6 หมื่นล้านบาทผ่าน ธ.ก.ส.-ธ.ออมสิน ซึ่งจะไม่คิดดอกเบี้ยใน 2 ปีแรก อายุโครงการ 7 ปี ไม่จำกัดวงเงินกู้ต่อราย แต่ขึ้นอยู่กับความจำเป็นที่คณะกรรมการกองทุนฯ จะเป็นผู้พิจารณา โดยรัฐบาลจะอุดหนุนภาระดอกเบี้ยให้ในช่วง 2 ปีแรก ส่วนปีที่ 3-7 ในอัตราดอกเบี้ยเท่ากับต้นทุนทางการเงินด้วยร้อยละ 1.0 ต่อปี เพราะเชื่อว่าปีที่ 3 เป็นต้นไปประชาชนจะสามารถหาเงินมาชำระคืนดอกเบี้ยได้ ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินที่รัฐบาลต้องรับภาระปีละ 2 พันล้านบาท
มาตรการที่สอง การใช้จ่ายภาครัฐสู่ระดับตำบล จำนวน 3.6 หมื่นล้านบาทใน 7 พันกว่าตำบลๆ ละ 5 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาด้านต่างๆ รวมถึงการจ้างานในชุมชน เช่น การซ่อมแซมแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำ การซ่อมแซมสถานพยาบาล โรงเรียน ตลาดกลาง และการปรับปรุงและฟื้นฟูแหล่งขยะ เป็นต้นโครงการส่งเสริมการพัฒนาชุมชนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เช่น การปลูกพืชใหม่ที่มีตลาด การเปลี่ยนแปลงอาชีพ การสร้างฝาย และการปลูกต้นไม้หรือป่าชุมชน เป็นต้น และโครงการด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น การเพิ่มศักยภาพในการประกอบอาชีพของคนในหมู่บ้าน/ชุมชน ส่งเสริมการประกอบอาชีพ การปรับปรุงซ่อมแซมศูนย์เด็กเล็กและศูนย์บริการผู้สูงอายุ เป็นต้น และ
มาตรการที่สาม การใช้จ่ายงบประมาณในโครงการขนาดเล็ก จำนวน 1.6 หมื่นล้านบาท อีก 2.4 หมื่นล้านผ่านระบบราชการ รายจ่ายลงทุนที่มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของหน่วยงาน วงเงินในการดำเนินการจัดซื้อ/จัดจ้าง รายการละไม่เกิน 1 ล้านบาท
มาตรการของรัฐที่กล่าวข้างต้นได้รับการตั้งคำถามว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงไรเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 3 เมื่อสิ้นไตรมาสที่สี่หรือสิ้นปี 2558 ซึ่งปัจจุบันไตรมาสที่สามนั้นมีการเติบโตประมาณร้อยละ 2.8 ซึ่งการจะตอบคำถามดังกล่าวต้องกลับมาดูก่อนว่าส่วนประกอบของมูลค่าเศรษฐกิจของไทย หรือ ที่เรียกเป็นทางการว่า GDP นั้นมีองค์ประกอบอะไรบ้าง องค์ประกอบที่สำคัญประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการ (ร้อยละ 53) ค่าใช้จ่ายในการลงทุน (ร้อยละ 11) ค่าใช้จ่ายของภาครัฐ (ร้อยละ 41) การส่งออก (ร้อยละ 37) และการนำเข้า (ร้อยละ 42) จะเห็นว่าส่วนประกอบที่มีสัดส่วนมากที่สุดสามลำดับแรกสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ คือ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการ ค่าใช้จ่ายของภาครัฐ และการส่งออก ดังนั้น มาตรการทั้งสามประการถือว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ทั้งที่เป็นการใช้จ่ายในการในการบริโภคสินค้า/บริการ และการลงทุนของภาครัฐ การอัดฉีดเม็ดเงินลงไปสู่รากหญ้านั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยในการกระตุ้นการบริโภค เพราะสัดส่วนของประชากรในภาคการเกษตรมีถึงร้อยละ 37 ของประชากรทั้งหมด และความโน้มเอียงในการบริโภคในภาคชนบทจะมีมากกว่าในเมือง นอกจากนั้นการหมุนเวียนของเงินก็จะส่งต่อไปยังภาคธุรกิจ โดยทั่วไปการใช้จ่ายของภาครัฐ 1 บาท จะสามารถเพิ่ม GDP ได้ประมาณ 1 บาท ดังนั้น GDP ของไทยโดยเฉลี่ยประมาณ 13 ล้านล้านบาท เมื่อเพิ่มค่าใช้จ่ายของรัฐลงไป 1.36 แสนล้าน ก็จะทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมาร้อยละ 1 อย่างไรก็ดีมาตรการดังกล่าวก็ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไชอื่นไม่เปลี่ยนแปลงในทางที่เลวลง เช่น การลงทุนของภาคเอกชน การส่งออก การนำเข้า เป็นต้น ซึ่งเห็นว่าในระยะสามเดือนสุดท้ายปัจจัยต่างๆ คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และที่สำคัญต้องไม่มีการคอรับชัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่ามาตรการของรัฐบาลสามประการข้างต้นหากสามารถเบิกจ่ายได้ทันก่อนสิ้นปี 2558 ซึ่งเหลือเวลาอีกหนึ่งไตรมาสก็จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ประมาณ ร้อยละ 1