คนญี่ปุ่นมักพูดอย่างขำๆว่าประเทศเขาเหมือนซุปเปอร์มาร์เก็ตของมหันตภัยธรรมชาติ จะเอาอะไรมีหมด แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินถล่ม น้ำป่าไหลท่วม สึนะมิ หรืออื่นๆ มันเป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่ก่อนจะเริ่มประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ดังนั้นไม่น่าแปลกใจที่คนชาตินี้จะมีการวางแผน การเตรียมรับภัยที่จะเกิดขึ้นได้ทุกวินาที เรียกว่าพอเกิดมาก็ได้รับการฝึกกันตั้งแต่แบเบาะเลยค่ะ
จขกท.แม่บ้านไทยในเซนได ตอนลูกยังเล็ก เป็นเด็กอ่อนที่ฝากเนิร์สเซอรี่เลี้ยง แม่ๆต้องเย็บหมวกผ้าหนาๆ(防災ずきん)ทรงคล้ายๆหมวกของหนูน้อยหมวกแดงสำหรับลูกของตัว ซึ่งต้องเขียนชื่อ นามสกุล ที่อยู่และกรุ๊ปเลือดไว้ข้างในหมวก และเก็บไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กอ่อน เผื่อเวลาเด็กๆต้องลี้ภัย
ทุกๆปีที่เนิร์สเซอรี่จะมีวันที่จัดไว้สำหรับฝึกลี้ภัยให้เด็กๆ ซึ่งนั่นรวมถึงผู้ปกครองเองก็ต้องมาฝึกรับลูกตนกลับบ้านยามฉุกเฉินด้วย
ที่ญี่ปุ่นไม่ว่าสถานที่ทำงาน สถาบันการศึกษา หรือที่ใดๆจะมีการฝึกลี้ภัย (避難訓練) และฝึกปัองกันภัยพิบัติ (防災訓練)อยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ทั้งเด็กเล็กๆจนถึงผู้ใหญ่ทุกคนรู้เลยค่ะว่าเวลาเกิดแผ่นดินไหวจะต้องทำอะไรเป็นลำดับอย่างไรบ้าง เราจะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นแม้จะเผชิญมหันตภัยนับไม่ถ้วนครั้ง แต่ผู้คนสามารถรับภัยได้อย่างสงบ มีสติ มีระเบียบ น่าชมเชย ดังที่ภาพได้สะท้อนให้เห็นทั่วโลก เมื่อคราวที่แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถล่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นเมื่อ 4 ปีก่อน
ชุมชนหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเซนไดที่จขกท.อาศัยอยู่ มีการฝึกรับมือยามเกิดภัยพิบัติทุกๆเดือนตุลาคมของปี โดยที่จะเริ่มต้นแจ้งให้ทุกคนทราบทางใบปลิวที่แจกเป็นลายลักษณ์อักษรให้แก่แต่บ้านว่าจะมีการสถานการณ์จำลองของการเกิดภัยพิบัติในวันใด และขอให้ทุกคนเตรียมตัว

ดังใบปลิวนี้ที่เขียนว่า "ประกาศการฝึกลี้ภัยของชุมชนในวันที่ ... เดือน... ปี... (ดำเนินการแม้ฝนจะตก) สถานการณ์จำลองว่า ในเวลาเช้า 7.30 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 กว่าๆ เกิดความเสียหายที่ทำให้ทุกคนต้องอพยพลี้ภัย"
7.35 น. ขอให้ผูกผ้าขนหนูเช็ดหน้าสีขาวไว้ที่ประตู หากทุกคนในบ้านท่านปลอดภัย

การผูกผ้าขาวไว้ที่ประตูเป็นเครื่องหมายบอกให้คนข้างนอกทราบว่าไม่ต้องห่วง หากไม่มีผ้าผูกไว้ กรรมการหมู่บ้าน(หรือเพื่อนบ้าน) จะเข้ามาเช็คดูว่ามีใครบาดเจ็บ ต้องให้ความช่วยเหลือหรือไม่
7.40 ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่สวนสาธารณะเพื่อทำการอพยพลี้ภัยด้วยกัน (มีการลงชื่อด้วยนะคะว่าบ้านไหนมาแล้ว เป็นการเช็คความปลอดภัยของทุกๆบ้าน)

สวนสาธารณะจะมีทั่วทุกชุมชนในญี่ปุ่น นอกจากเพื่อเป็นที่เล่นของเด็กๆ หรือที่จัดงานประจำหมู่บ้านแล้ว ที่นี่ใช้เป็นจุดที่ผู้คนในหมู่บ้ารวมตัวกันยามเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อผู้คนมารวมตัวกันแล้วก็จะค่อยทยอยเดินไปยังสถานที่ลี้ภัยที่รัฐบาลท้องถิ่นกำหนดไว้ ซึ่งมักจะเป็นโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน เดินไปด้วยกันตามเส้นทางที่ได้สำรวจไว้ก่อนแล้วว่าน่าจะปลอดภัย เช่นทางที่ไม่มีหินจากที่สูงถล่มลงมา ไม่มีหุบเหวระหว่างทาง
สถานที่ลี้ภัยที่รัฐบาลท้องถิ่นได้กำหนดไว้ จะมีอยู่ทุกหนแห่ง ใครมาญี่ปุ่นแล้วลองสังเกตุดูนะคะ ว่ามีป้ายบอกว่าที่ลี้ภัยที่ใกล้สุดจากจุดนี้คือที่ไหน

ในวันที่ซ้อมลี้ภัยที่หมู่บ้านของจขกท. มีโปรแกรมต่างๆให้ทุกคนได้ฝึกความคุ้นเคยและความคล่องตัวในเรื่องต่างๆดังนี้ค่ะ
1) ฝึกการใช้เครื่องดับเพลิงจริงๆ

2)ฝีกการเอาตัวรอดในเหตุการณ์ไฟไหม้ อันนี้เป็นการฝึกที่จขกท. ตื่นเต้นที่สุด แม้จะเป็นควันจำลองที่ไม่เป็นพิษ แต่ควันหนาจนมองไม่เห็นอะไรข้างหน้าเลย จินตนาการได้ชัดเลยว่าถ้าอยู่ในห้องที่ไฟไหม้ คงหาทางออกไม่ถูกแน่ๆ วิธีการเอาตัวรอดคือเอาผ้าปิดปากปิดจมูกไว้ อย่าหายใจเอาควันเข้าไปตรงๆ ให้ก้มตัวลงต่ำลงเท่าที่จะทำได้ หายใจเอาอากาศที่อยู่เหนือพื้น หายใจเข้าทางจมูกแต่หายใจออกทางปาก เอามือคลำหาผนังเพื่อหยั่งทิศทาง และถ้าทำได้ปิดประตูห้องที่ไฟกำลังไหม้

3) การฝึกใช้อุปกรณ์ที่มีในครัว มาใช้ในการปฐมพยาบาล เช่นพลาสติคห่อของ เอามาใช้เป็นพยุงคล้องแขน ขาที่หักหรือบาดเจ็บ เป็นต้น

4) ฝึกโทรศัพท์ขอเรียกความช่วยเหลือกับศูนย์ดับเพลิงและพยาบาล เพื่อให้สามารถแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย หรือขอความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5) ฝึกการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR)

6) ลองประสบการณ์สั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ว่าแรงของมันขนาดไหน (ความจริงไม่ต้องลอง ก็ประสบของจริงอยู่เนืองๆอยู่แล้ว)

7) การฝึกหัดทำอาหารและหุงข้าวปริมาณมากสำหรับผู้คนที่มาลี้ภัย โดยใช้สิ่งที่มีอยู่รอบๆตัวในครัว และไม่ใช้เครื่องไฟฟ้า (เพราะในสถานการณ์นั้นไฟคงดับ)

เรียกว่าครบวงจรเลย แน่นอนไม่มีการเสียค่าใช้จ่าย ฝึกเสร็จแล้วยังได้ฝึกรับประทานซุปและอาหารปรุงในยามฉุกเฉินให้อิ่มท้องกลับบ้านด้วย
ในวันนี้จขกท.ได้ความรู้ ความมั่นใจ ว่าสามารถช่วยตัวเองและช่วยคนรอบๆตัวในยามฉุกเฉินได้ระดับหนึ่ง และหากครอบครัวตัวเองเป็นอะไรไป เพื่อนบ้านใกล้ๆตัวนี่แหละจะเป็นผู้ช่วยกู้ชีวิตยามยากได้อย่างดี
ประสบการณ์ฝึกลี้ภัยกับชาวญี่ปุ่นของแม่บ้านไทยในเซนได
จขกท.แม่บ้านไทยในเซนได ตอนลูกยังเล็ก เป็นเด็กอ่อนที่ฝากเนิร์สเซอรี่เลี้ยง แม่ๆต้องเย็บหมวกผ้าหนาๆ(防災ずきん)ทรงคล้ายๆหมวกของหนูน้อยหมวกแดงสำหรับลูกของตัว ซึ่งต้องเขียนชื่อ นามสกุล ที่อยู่และกรุ๊ปเลือดไว้ข้างในหมวก และเก็บไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กอ่อน เผื่อเวลาเด็กๆต้องลี้ภัย
ทุกๆปีที่เนิร์สเซอรี่จะมีวันที่จัดไว้สำหรับฝึกลี้ภัยให้เด็กๆ ซึ่งนั่นรวมถึงผู้ปกครองเองก็ต้องมาฝึกรับลูกตนกลับบ้านยามฉุกเฉินด้วย
ที่ญี่ปุ่นไม่ว่าสถานที่ทำงาน สถาบันการศึกษา หรือที่ใดๆจะมีการฝึกลี้ภัย (避難訓練) และฝึกปัองกันภัยพิบัติ (防災訓練)อยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้ทั้งเด็กเล็กๆจนถึงผู้ใหญ่ทุกคนรู้เลยค่ะว่าเวลาเกิดแผ่นดินไหวจะต้องทำอะไรเป็นลำดับอย่างไรบ้าง เราจะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นแม้จะเผชิญมหันตภัยนับไม่ถ้วนครั้ง แต่ผู้คนสามารถรับภัยได้อย่างสงบ มีสติ มีระเบียบ น่าชมเชย ดังที่ภาพได้สะท้อนให้เห็นทั่วโลก เมื่อคราวที่แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถล่มภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นเมื่อ 4 ปีก่อน
ชุมชนหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองเซนไดที่จขกท.อาศัยอยู่ มีการฝึกรับมือยามเกิดภัยพิบัติทุกๆเดือนตุลาคมของปี โดยที่จะเริ่มต้นแจ้งให้ทุกคนทราบทางใบปลิวที่แจกเป็นลายลักษณ์อักษรให้แก่แต่บ้านว่าจะมีการสถานการณ์จำลองของการเกิดภัยพิบัติในวันใด และขอให้ทุกคนเตรียมตัว
ดังใบปลิวนี้ที่เขียนว่า "ประกาศการฝึกลี้ภัยของชุมชนในวันที่ ... เดือน... ปี... (ดำเนินการแม้ฝนจะตก) สถานการณ์จำลองว่า ในเวลาเช้า 7.30 น. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 กว่าๆ เกิดความเสียหายที่ทำให้ทุกคนต้องอพยพลี้ภัย"
7.35 น. ขอให้ผูกผ้าขนหนูเช็ดหน้าสีขาวไว้ที่ประตู หากทุกคนในบ้านท่านปลอดภัย
การผูกผ้าขาวไว้ที่ประตูเป็นเครื่องหมายบอกให้คนข้างนอกทราบว่าไม่ต้องห่วง หากไม่มีผ้าผูกไว้ กรรมการหมู่บ้าน(หรือเพื่อนบ้าน) จะเข้ามาเช็คดูว่ามีใครบาดเจ็บ ต้องให้ความช่วยเหลือหรือไม่
7.40 ให้ทุกคนมารวมตัวกันที่สวนสาธารณะเพื่อทำการอพยพลี้ภัยด้วยกัน (มีการลงชื่อด้วยนะคะว่าบ้านไหนมาแล้ว เป็นการเช็คความปลอดภัยของทุกๆบ้าน)
สวนสาธารณะจะมีทั่วทุกชุมชนในญี่ปุ่น นอกจากเพื่อเป็นที่เล่นของเด็กๆ หรือที่จัดงานประจำหมู่บ้านแล้ว ที่นี่ใช้เป็นจุดที่ผู้คนในหมู่บ้ารวมตัวกันยามเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อผู้คนมารวมตัวกันแล้วก็จะค่อยทยอยเดินไปยังสถานที่ลี้ภัยที่รัฐบาลท้องถิ่นกำหนดไว้ ซึ่งมักจะเป็นโรงเรียนประถมในหมู่บ้าน เดินไปด้วยกันตามเส้นทางที่ได้สำรวจไว้ก่อนแล้วว่าน่าจะปลอดภัย เช่นทางที่ไม่มีหินจากที่สูงถล่มลงมา ไม่มีหุบเหวระหว่างทาง
สถานที่ลี้ภัยที่รัฐบาลท้องถิ่นได้กำหนดไว้ จะมีอยู่ทุกหนแห่ง ใครมาญี่ปุ่นแล้วลองสังเกตุดูนะคะ ว่ามีป้ายบอกว่าที่ลี้ภัยที่ใกล้สุดจากจุดนี้คือที่ไหน
ในวันที่ซ้อมลี้ภัยที่หมู่บ้านของจขกท. มีโปรแกรมต่างๆให้ทุกคนได้ฝึกความคุ้นเคยและความคล่องตัวในเรื่องต่างๆดังนี้ค่ะ
1) ฝึกการใช้เครื่องดับเพลิงจริงๆ
2)ฝีกการเอาตัวรอดในเหตุการณ์ไฟไหม้ อันนี้เป็นการฝึกที่จขกท. ตื่นเต้นที่สุด แม้จะเป็นควันจำลองที่ไม่เป็นพิษ แต่ควันหนาจนมองไม่เห็นอะไรข้างหน้าเลย จินตนาการได้ชัดเลยว่าถ้าอยู่ในห้องที่ไฟไหม้ คงหาทางออกไม่ถูกแน่ๆ วิธีการเอาตัวรอดคือเอาผ้าปิดปากปิดจมูกไว้ อย่าหายใจเอาควันเข้าไปตรงๆ ให้ก้มตัวลงต่ำลงเท่าที่จะทำได้ หายใจเอาอากาศที่อยู่เหนือพื้น หายใจเข้าทางจมูกแต่หายใจออกทางปาก เอามือคลำหาผนังเพื่อหยั่งทิศทาง และถ้าทำได้ปิดประตูห้องที่ไฟกำลังไหม้
3) การฝึกใช้อุปกรณ์ที่มีในครัว มาใช้ในการปฐมพยาบาล เช่นพลาสติคห่อของ เอามาใช้เป็นพยุงคล้องแขน ขาที่หักหรือบาดเจ็บ เป็นต้น
4) ฝึกโทรศัพท์ขอเรียกความช่วยเหลือกับศูนย์ดับเพลิงและพยาบาล เพื่อให้สามารถแจ้งเหตุด่วน เหตุร้าย หรือขอความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5) ฝึกการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR)
6) ลองประสบการณ์สั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว ว่าแรงของมันขนาดไหน (ความจริงไม่ต้องลอง ก็ประสบของจริงอยู่เนืองๆอยู่แล้ว)
7) การฝึกหัดทำอาหารและหุงข้าวปริมาณมากสำหรับผู้คนที่มาลี้ภัย โดยใช้สิ่งที่มีอยู่รอบๆตัวในครัว และไม่ใช้เครื่องไฟฟ้า (เพราะในสถานการณ์นั้นไฟคงดับ)
เรียกว่าครบวงจรเลย แน่นอนไม่มีการเสียค่าใช้จ่าย ฝึกเสร็จแล้วยังได้ฝึกรับประทานซุปและอาหารปรุงในยามฉุกเฉินให้อิ่มท้องกลับบ้านด้วย
ในวันนี้จขกท.ได้ความรู้ ความมั่นใจ ว่าสามารถช่วยตัวเองและช่วยคนรอบๆตัวในยามฉุกเฉินได้ระดับหนึ่ง และหากครอบครัวตัวเองเป็นอะไรไป เพื่อนบ้านใกล้ๆตัวนี่แหละจะเป็นผู้ช่วยกู้ชีวิตยามยากได้อย่างดี