การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างมืออาชีพ

“ ไม่เบียด ไม่วิ่ง ไม่ส่งเสียง ไม่หันหลังกลับ” วลีสำคัญที่เด็กญี่ปุ่นต้องท่องให้จำขึ้นใจตั้งแต่เด็ก
การรอดตายจากภัยพิบัติไม่ใช่ปาฏิหารย์ แต่เป็นการฝึกฝนทุกปีมาหลายชั่วอายุคนต่างหาก

มาดูการรับมือน้ำท่วมหาดใหญ่ และภัยธรรมชาติของไทย ตั้งแต่แผ่นดินไหว




ภาพเด็ก นร อนุบาลฝึกอพยพ ทุกปี ผู้ปกครองต้องเตรียมถุงนิรภัยคลุมศีรษะมา รร ทุกวัน
ครูเป็นผู้นำ ที่ต้องตัดสินใจรวดเร็ว มี ระเบียบปฏิบัติเป็น ขั้นตอนตามมาตรฐาน
ภัยพิบัติศึกษา

หลักสูตรจากแดนปลาดิบ

วิชาที่ให้บทเรียนจากอดีตมาปกป้องเราในอนาคต

“ภัยพิบัติชะล้างสิ่งลวงตาและความโอ้อวดของชีวิตมนุษย์”

คำกล่าวของ โทซากุ มิอุระ (Tosaku Miura) นักข่าวสายการศึกษาชื่อดัง ขณะที่ยืนท่ามกลางเถ้าถ่านของอดีต

     7.9 แมกนิจูด ตัวเลขที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น ไม่ใช่เพียงเป็นค่าความรุนแรงของ
แผ่นดินไหวคันโต (The Great Kantō Earthquake) เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทั้งประเทศ
ต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองใหม่

   1 กันยายน 1923 เวลากำลังจะหยุดหมุน เช้าวันอาทิตย์ที่เงียบสงบของโตเกียวและโยโกฮาม่ากลับกลายเป็นฝันร้าย
ที่ไม่มีวันลืม เมื่อผืนแผ่นดินใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนราวกับโกรธเกรี้ยวต่อบางสิ่งที่ซ่อนเร้นในกาลเวลา เสียงโครมครามของ
อาคารที่พังครืน เสียงร้องไห้ของผู้สูญเสีย เสียงกรีดร้องของผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง ทุกเสียงสะท้อนอยู่ในอากาศร้อน
ระอุของฤดูร้อนวันนั้น ถนนทั้งสายแตกร้าวเป็นร่องลึก เปลวเพลิงที่ปะทุขึ้นจากโรงงานและบ้านเรือนเปลี่ยนเมืองให้กลาย
เป็นทะเลเพลิง แม้แต่แม่น้ำที่เคยสงบนิ่งยังสะท้อนภาพของหายนะได้อย่างโหดร้าย
.
แรงสั่นสะเทือนก่อให้เกิดคลื่นสึนามิสูงถึง 39.5 ฟุต ซัดเข้าสู่ชายฝั่งอ่าวซากามิ ทำลายบ้านเรือนและพรากชีวิตของ
ผู้คนมากมาย ที่กรุงโตเกียว ผู้นำบางคนถึงกับเสนอให้ย้ายเมืองหลวง เพราะมองว่าไม่มีทางที่เมืองนี้จะฟื้นฟูกลับมาได้อีก .


      นับจากวันนั้น วันที่ 1 กันยายน ได้กลายเป็น “วันป้องกันภัยพิบัติแห่งชาติ” (Disaster Prevention Day)
เพื่อเตือนใจว่าครั้งหนึ่ง แผ่นดินนี้เคยโกรธเกรี้ยวจนต้องมีผู้สังเวยชีวิตนับแสน และเพื่อให้มั่นใจว่าเหตุการณ์เช่นนี้
จะไม่กลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่มีการเตรียมพร้อมอีกต่อไป

ในทางธรณีวิทยา ประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ตามแนววงแหวนแห่งไฟ (Pacific Ring of Fire) บนรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก
หลักถึง 4 แผ่นด้วยกัน ทั้งแปซิฟิก ยูเรเซีย อเมริกาเหนือ และฟิลิปปินส์ และเมื่อแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นชนกัน
และแผ่นหนึ่งเลื่อนไหลลงไปใต้อีกแผ่นหนึ่ง จะทำให้พลังงานนั้นจะถูกปลดปล่อยออกมาในรูปของ "แผ่นดินไหว"



         จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ ข่าวภัยพิบัติตามหน้าจอโทรทัศน์ จะเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่เราเห็นจนชินตา
ของแดนอาทิตย์อุทัย ดินแดนที่กลายเป็นจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวระดับโลก

แต่สิ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นแตกต่างคือ “แนวคิดการอยู่ร่วมกับภัยพิบัติ” แทนที่จะหวังให้มันไม่เกิดขึ้น พวกเขากลับมุ่งเน้น
ไปที่การเตรียมตัวเพื่อให้อยู่รอดและฟื้นตัวได้เร็วที่สุด

เปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นพลังแห่งการเรียนรู้...เปลี่ยนภัยพิบัติให้เป็นบทเรียนแห่งชีวิต ท่ามกลางเงามืด
ของอดีต ญี่ปุ่นค้นพบว่า วิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องอนาคต คือการเริ่มต้นจากโรงเรียน


“ไม่เบียด ไม่วิ่ง ไม่ส่งเสียง ไม่หันหลังกลับ” วลีสำคัญที่เด็กญี่ปุ่นต้องท่องให้จำขึ้นใจ

     โรงเรียนประถมสึรุกาวะ ไดนิ ในโตเกียว กลายเป็นแบบอย่างของการเตรียมพร้อมที่ฝังรากลึกในระบบการศึกษา
เด็ก ๆ ไม่เพียงเรียนรู้ว่าต้องหมอบลงใต้โต๊ะเมื่อเกิดแผ่นดินไหว แต่พวกเขายังได้รับการฝึกให้เข้าใจหลักการเอาตัวรอด
ในทุกสถานการณ์ เส้นทางอพยพ จุดรวมพล และสิ่งที่ต้องระวังในสภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งการฝึกซ้อมที่เราพูดถึงนี้
ไม่ได้จำกัดแค่เด็ก ๆ เท่านั้น โรงเรียนยังออกแบบให้มี “การซ้อมรับ-ส่งเด็กในกรณีฉุกเฉิน” โดยให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วม

ฝึกซ้อมการรับลูกเมื่อระบบขนส่งสาธารณะหยุดให้บริการหลังแผ่นดินไหว ในบางโรงเรียนเมื่อนักเรียนต้องกลับบ้าน
ระหว่างพายุไต้ฝุ่น ครูจะใช้ระบบอีเมลแจ้งเตือนหน่วยลาดตระเวนท้องถิ่นและผู้ปกครอง นักเรียนจะถูกพาไปยัง
จุดรวมพลและเดินทางกลับเป็นกลุ่ม ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่


เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรณีวิทยาของแผ่นดินไหวว่า ทำไมแผ่นเปลือกโลกถึงเคลื่อนที่? จุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ตรงไหน?
การเกิดสึนามิและแนวทางเอาตัวรอด คลื่นยักษ์เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมต้องรีบหนีขึ้นที่สูง?

วิทยาศาสตร์ของไต้ฝุ่นและพายุหมุน ลมพายุที่เคยกวาดล้างเมืองทั้งเมือง มีที่มาอย่างไร? ไปจนถึงมาตรการ
ความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน ว่าทำไมญี่ปุ่นต้องออกแบบตึกให้รองรับแรงสั่นสะเทือน?

.
โรงเรียนหลายแห่งมีหลักสูตร “ภัยพิบัติศึกษา” หนังสือที่ไม่ได้มีแค่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่เต็มไปด้วยนิทาน
เรื่องเล่า และประสบการณ์ของผู้รอดชีวิต เด็ก ๆ ไม่เพียงแต่ท่องจำตัวเลขขนาดของแผ่นดินไหว แต่พวกเขาได้รับรู้
ถึงความเจ็บปวดของผู้สูญเสีย และเข้าใจว่าทำไมการเตรียมพร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

.
นอกเหนือจากการให้ความรู้แล้ว โรงเรียนยังเป็นศูนย์พักพิงฉุกเฉินอีกด้วย ทุกโรงเรียนจะมี “Emergency Kits”
ประจำตัวนักเรียน ซึ่งภายในมีสิ่งของสำคัญ เช่น หมวกกันกระแทกหรือหมวกดับเพลิง เพื่อป้องกันศีรษะจากเศษซากอาคาร
ผ้าห่มฉุกเฉิน เพื่อรักษาความอบอุ่น เสบียงอาหารสำรอง ข้าวอัดแท่ง น้ำดื่ม ที่สามารถเก็บได้นาน ไฟฉายแบบชาร์จ

พลังงานแสงอาทิตย์ ใช้งานได้แม้ไฟฟ้าดับ และนกหวีดสำหรับส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ในบางโรงเรียนจะมี
บังเกอร์ห้องนิรภัย หรืออาคารที่ออกแบบให้สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ เด็ก ๆ จะได้รับการฝึกซ้อม
ให้อพยพไปยังจุดปลอดภัยทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอีกด้วย

มันคงเป็นอะไรที่น่าเบื่อไม่น้อยเหมือนกันนะ ถ้านักเรียนและผู้ปกครองทุกคนต้องยินยอมพร้อมใจซ้อมเตรียมตัว
รับมือภัยพิบัติเหล่านี้มากถึงปีละ 4-6 ครั้ง

     และคุณจะแปลกใจที่พวกเขาเปลี่ยนมันให้เป็นเรื่องสนุกที่ทุกคนตั้งตารอ

Tokyo Bōsai คู่มือเตรียมรับมือภัยพิบัติกรุงโตเกียว หนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กที่รัฐบาลกรุงโตเกียวแจกจ่ายให้ทุกครัวเรือน
คู่มือเล่มนี้เต็มไปด้วยภาพประกอบ สีเหลืองสดใส และคำแนะนำที่เข้าใจง่าย นอกจากนี้ยังมีตัวละครนำอย่าง “โบไซคุง”
แรดน้อยวัย 3 ขวบ ที่มาพร้อมสโลแกนประจำตัว “เตรียมตัวกันเถอะ!” ว่ากันว่าเหตุผลที่เลือกแรดเป็นตัวแทนของ

การป้องกันภัยพิบัติ เพราะคำว่า “โบไซ” (Bosai) หมายถึง “การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ” และพ้องเสียงกับคำว่า
“แรด” ในภาษาญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ทำให้คู่มือนี้โดดเด่นที่สุด คือ ไม่ใช่แค่ภาพประกอบหรือมาสคอตสุดน่ารัก แต่คือแนวคิดที่ว่า
“การเตรียมตัวให้พร้อม” ไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องน่าเบื่อและเข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับทุกเพศทุกวัย กับลูกเล่นต่าง ๆ
ที่ซ่อนอยู่ในหนังสือ หากพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว จะเห็นภาพเคลื่อนไหวของโบไซคุงแสดงท่าทางต่าง ๆ
เช่น “การหมอบใต้โต๊ะ” หรือ “วิ่งไปยังจุดรวมพล”
.
นอกจากการฝึกซ้อมและตำราเรียน ญี่ปุ่นยังนำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้เด็ก ๆ
หนึ่งในนวัตกรรมที่ถูกนำมาใช้คือ AR (Augmented Reality) ซึ่งช่วยจำลองภัยพิบัติให้อยู่ในรูปแบบที่สัมผัสได้
โดยคุณครูจะให้นักเรียนถือ Tablet ขึ้นมาสแกนรอบ ๆ ห้องเรียน เพียงไม่นาน พื้นห้องก็เริ่ม “จม” ลงไปในภาพจำลองน้ำท่วมแบบ

Realtime น้ำไหลเชี่ยว ระดับน้ำค่อย ๆ สูงขึ้นจนถึงระดับอกของเขา แม้ทั้งหมดจะเป็นเพียงภาพเสมือนจริง
แต่ความรู้สึกของเด็กน้อยกลับสมจริงจนหัวใจเต้นแรง ผลงานชิ้นนี้เป็นของ ศาสตราจารย์โทโมกิ อิตามิยะ (Tomoki Itamiya)
จากมหาวิทยาลัยคานางาวะ ผู้พัฒนา AR ให้ใช้ในเรื่องภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม สึนามิ ไฟไหม้ หรือแผ่นดินไหว

เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความตื่นตระหนกเมื่อเผชิญสถานการณ์จริง
เพราะพวกเขาผ่านการจำลองมาแล้ว แม้ปัจจุบันเทคโนโลยี AR จะยังไม่แพร่หลายไปทั่วทุกโรงเรียน เนื่องจากต้นทุนสูง
และต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ แต่แนวคิดนี้กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น เพราะในระยะยาวมันอาจเป็นการลงทุนที่ “ถูกกว่า”
การต้องกู้ภัยหรือซ่อมแซมความเสียหายเมื่อภัยพิบัติจริงมาถึง


ในสายตาของคนภายนอกญี่ปุ่นอาจดูเหมือนประเทศที่ต้องเผชิญภัยพิบัติบ่อยครั้งที่สุดแต่ในสายตาของชาวญี่ปุ่นเอง
พวกเขาไม่เคยมองว่าแผ่นดินไหวเป็น “ศัตรู” หากแต่มันเป็นอาจารย์ผู้สอนบทเรียนสำคัญ

บทเรียนจากอดีตจะช่วยปกป้องเราในอนาคต นี่คือสิ่งที่ญี่ปุ่นเข้าใจดี และอาจถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเริ่มเขียนบทเรียนของตัวเองบ้างแล้ว

บทเรียนที่ว่า หายนะไม่ใช่สิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงได้เสมอไป แต่การเตรียมพร้อมรับมือคือสิ่งที่เราทำได้เสมอ...แม้แต่ในโรงเรียน

เรื่องนี้อาจจะพอทำให้ใครหลายคนคลายสงสัยกันแล้วบ้าง ว่า ข่าวภัยพิบัติตามหน้าจอโทรทัศน์ทุกครั้งทำไมญี่ปุ่นยังรอดมาได้เสมอ

ไม่ใช่เพราะโชคดี...แต่เพราะเขาเตรียมตัวมาดี

ขอบคุณข้อมูล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่