หลังจากซึมซับธรรมชาติบนยอดเขาภูสีสักพัก ก็ได้เวลากล่าวคำอำลา เดินทางกลับสู่จุดเริ่มต้น ชีวิตขาลงมันช่างรวดเร็วเสียจริง เดินลงเขาไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงถนนเบื้องล่างแล้ว นาฬิกาบอกเวลา 5 โมงเย็น เห็นแม่ค้ากำลังทำความสะอาดพื้นที่บริเวณริมฟุตบาท จัดแจงเตรียมร้านขายของ ซึ่งบริเวณถนนด้านหน้าทางขึ้นพระธาตุภูสี จะกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้ง หรือที่เรียกว่า ถนนคนเดิน (ตลาดมืด) ในคืนนี้
เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันพระ ริมถนนหนทางยามเย็นจึงคักคักไปด้วยการจำหน่ายดอกไม้ โดยเฉพาะดอกดาวเรือง ซึ่งเป็นดอกไม้ที่คนหลวงพระบางนิยมนำมาบูชาพระ
ตลอดแนวถนนเหลืองอร่ามไปด้วยสีเหลือง อาจจะเรียกว่าถนนสายดาวเรือง ก็ไม่ผิดนัก
มองนาฬิกาอีกรอบยังพอมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงสำหรับการไปเที่ยวชมวัด เพราะส่วนใหญ่วัดที่นี่จะปิดตอนหกโมงเย็น แต่เวลานี้จะให้เดินเท้าคงไปต่อไม่ไหวแล้ว ข้าพเจ้าจึงใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กจากบริเวณถนนคนเดินไปส่งที่วัดเชียงทอง ในราคา 15,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
ตุ๊กตุ๊กพาขับเลาะเลียบถนนริมโขงมาเรื่อยๆ
วัดเชียงทอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เป็นวัดที่มีความงดงามและเก่าแก่ที่สุดของหลวงพระบาง จนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาวเลยทีเดียว
พระอุโบสถหรือคนลาวเรียกว่า “สิม” เป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น
และลาดต่ำลงมา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันฝนสาดเข้าไปในพระอุโบสถ ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทอง คนลาวเรียกว่า “ช่อฟ้า”
ลวดลายพระอุโบสถแกะสลักสวยงาม ลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ
ด้านหลังพระอุโบสถ ตกแต่งด้วยกระจกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาปะติดปะต่อกันเป็นภาพรูป “ต้นทอง” เป็นความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับการสร้างเมืองเชียงดง เชียงทอง คนลาวบอกว่า งดงามมากยามเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ เป็นมุมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป แต่เวลานี้พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว เสียดายที่ไม่ได้เห็นภาพความงดงามนั้น

กระจกสีใกล้ๆ
อีกด้านของพระอุโบสถ มีวิหารน้อย ภายในมีองค์พระยืนประดิษฐานอยู่
พระยืนในวิหารน้อย
วิหารสวยงามอีกหนึ่งหลังที่ข้าพเจ้าชอบมากเป็นพิเศษ คือ “หอไหว้สีกุหลาบ” (สีชมพู) ตัววิหารประดับด้วยกระจกสีต่างๆ ตัดเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย แล้วมาปะติดปะต่อเป็นภาพเล่าเรื่องต่างๆ
ที่ชอบเป็นพิเศษเพราะเห็นถึงความตั้งใจของคนทำ หากไม่ใช่เพราะความศรัทธาความสวยงามแบบนี้คงไม่เกิดแก่คนรุ่นเราได้เห็นเป็นแน่
ภายในมีหอไหว้(สีชมพู) มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์
ที่สวยงาม แปลกตา คือ ช่องบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กจำนวนนับพันองค์บนผนังภายในวิหาร
ชมวัดเชียงทองแล้วเสร็จ เป็นเวลาพลบค่ำ อากาศสดชื่นเย็นสบาย ไม่มีกลิ่นควันรบกวน เพราะที่นี่เป็นที่ห้ามสูบยา
ฝั่งตรงข้ามวัดเชียงทองเป็นแม่น้ำโขง มองออกไปหน้าวัดเห็นทิวทัศน์สวยงาม มีท่าเทียบเรือเล็กๆ น้ำไหลเอื่อยๆ เรือลอยไปช้าๆ สอดประสานกับแรงลมพัดเบาๆ เวลานี้จิตใจของข้าพเจ้าแทบไม่อนุญาตให้ความทุกข์ใดๆเข้ามาย่างกราย
ข้าพเจ้าเดินทอดน่องท่องริมโขงมาเรื่อยๆ จนถึงตลาดมืด หรือ ถนนคนเดิน
“สะบายดี” คำทักทายจากเจ้าของร้านเฝอ ชวนให้ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะเข้าไปฝากท้องที่นี่
มื้อเย็นกับเฝอริมทางเท้า อร่อย เรียบง่าย สะบายดี รสชาติและหน้าตาเหมือนก๋วยเตี๋ยวน้ำใสบ้านเรา
ราคาชามละ 15,000 กีบ
อิ่มท้องแล้วไปเดินเล่นในตลาดกันต่อ บรรยากาศตลาดมืดของหลวงพระบาง เห็นแล้วชวนให้นึกถึงถนนคนเดินเชียงใหม่
สินค้าคล้ายทางภาคเหนือบ้านเรา พ่อค้าแม่ค้าพูดภาษาไทยฉะฉาน ร้านค้าส่วนใหญ่รับเงินไทยและเงินกีบ ราคาต่อรองได้ เน้นว่าต้องต่อเยอะๆ สินค้าบางชนิดแอบแพงกว่าบ้านเรา
ในตลาดมืดจะมีตรอกเล็กๆอยู่ตรอกหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปกินดื่มกันมาก สังเกตหน้าซอยนี้จะอยู่ข้างร้าน Indigo Cafe
เห็นคนเดินเบียดเสียดกันเยอะแยะ ที่แท้ในตรอกนี้ก็มีของกินสารพัดอย่าง ทั้งอาหารลาว ไทย ฝรั่ง จีน ฝีมือคนท้องถิ่นขายในราคาถูก
ตระเวณชิมร้านแรก เป็นร้านส้มตำที่คนรอคิวกันแน่นเชียว เห็นแล้วเปรี้ยวปาก
มีไก่ย่าง ปลาย่าง หมูย่าง ของย่างๆสารพัดเมนูให้เลือกกิน

ปลาแม่น้ำปิ้งย่างกันใหม่ๆสดๆเลย
อาหารไฮไลท์อีกอย่าง คือ อาหารบุฟเฟ่ต์ จัดวางเป็นถาดๆ อยากกินอะไร กินกี่อย่าง ก็จะตักใส่จานตัวเองรวมกันในจานเดียว ขนาดจานก็มีสองแบบให้เลือก มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ราคาจะแพงตามขนาด เวลาคิดเงิน เขาคิดตามขนาดจาน และจำนวนอาหารที่ตักไป
ตรงข้ามร้านบุฟเฟ่ต์ก็มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งรับประทานแต่พื้นที่มีจำกัด อาจจะเบียดเสียดดูทุลักทุเลหน่อย แต่เห็นสีหน้าทุกคนที่เดินเข้ามาในตลาดนี้ เอนจอยกับการกินในแบบฝุ่นตลบ ถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของหลวงพระบาง
จบของคาวมาต่อที่ของหวาน แวะชิมขนมครกหน้าตลาด

กำลังจะจับกล้องขึ้นมาถ่ายรูป แม่ค้าร้องบอก เดี๋ยวๆ จัดให้งามๆ ก่อนเจ้า (คนที่นี่พูดเจ้าเหมือนคนเหนือ) ว่าแล้วนางก็เอาขนมครกมาเรียงให้ถ่ายเป็นแถวแบบนี้ กระทงหนึ่งราคา 10 บาท รับเงินไทยด้วยนะ
สำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งทานอาหารในตลาด บริเวณถนนคนเดินก็มีพวกร้านอาหาร หลากหลายสัญชาติอยู่ตามอาคาร บ้านเก่า ให้เลือกกินดื่มความสุขตามอารมณ์
ข้าพเจ้าเลือกที่จะนั่งทิ้งตัวในบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง หากการเดินทางคือการเริ่มต้นชีวิตคู่
คืนนี้ข้าพเจ้าก็ได้สมรสกับหลวงพระบางแล้ว และนี่คือฉากจบของการเดินทางในวันนี้
ฮักนะหลวงพระบาง Cheers!!
พรุ่งนี้จะมารีวิวให้ชมกันใหม่จ้า ชีวิตยังต้องเดินทางอีกวัน...ต่อวัน
JPOP
[CR] หลวงพระบางกับใจบางบาง(ตอนสอง)
เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันพระ ริมถนนหนทางยามเย็นจึงคักคักไปด้วยการจำหน่ายดอกไม้ โดยเฉพาะดอกดาวเรือง ซึ่งเป็นดอกไม้ที่คนหลวงพระบางนิยมนำมาบูชาพระ
ตลอดแนวถนนเหลืองอร่ามไปด้วยสีเหลือง อาจจะเรียกว่าถนนสายดาวเรือง ก็ไม่ผิดนัก
มองนาฬิกาอีกรอบยังพอมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงสำหรับการไปเที่ยวชมวัด เพราะส่วนใหญ่วัดที่นี่จะปิดตอนหกโมงเย็น แต่เวลานี้จะให้เดินเท้าคงไปต่อไม่ไหวแล้ว ข้าพเจ้าจึงใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กจากบริเวณถนนคนเดินไปส่งที่วัดเชียงทอง ในราคา 15,000 กีบ (ประมาณ 80 บาท)
ตุ๊กตุ๊กพาขับเลาะเลียบถนนริมโขงมาเรื่อยๆ
วัดเชียงทอง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง เป็นวัดที่มีความงดงามและเก่าแก่ที่สุดของหลวงพระบาง จนได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาวเลยทีเดียว
พระอุโบสถหรือคนลาวเรียกว่า “สิม” เป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาแบบหลวงพระบางแท้ๆ ด้วยหลังคาพระอุโบสถที่แอ่นโค้งซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น
และลาดต่ำลงมา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันฝนสาดเข้าไปในพระอุโบสถ ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทอง คนลาวเรียกว่า “ช่อฟ้า”
ลวดลายพระอุโบสถแกะสลักสวยงาม ลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ
ด้านหลังพระอุโบสถ ตกแต่งด้วยกระจกตัดเป็นชิ้นเล็กๆ นำมาปะติดปะต่อกันเป็นภาพรูป “ต้นทอง” เป็นความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับการสร้างเมืองเชียงดง เชียงทอง คนลาวบอกว่า งดงามมากยามเมื่อต้องกับแสงอาทิตย์ เป็นมุมหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป แต่เวลานี้พระอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว เสียดายที่ไม่ได้เห็นภาพความงดงามนั้น
อีกด้านของพระอุโบสถ มีวิหารน้อย ภายในมีองค์พระยืนประดิษฐานอยู่
พระยืนในวิหารน้อย
วิหารสวยงามอีกหนึ่งหลังที่ข้าพเจ้าชอบมากเป็นพิเศษ คือ “หอไหว้สีกุหลาบ” (สีชมพู) ตัววิหารประดับด้วยกระจกสีต่างๆ ตัดเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย แล้วมาปะติดปะต่อเป็นภาพเล่าเรื่องต่างๆ
ที่ชอบเป็นพิเศษเพราะเห็นถึงความตั้งใจของคนทำ หากไม่ใช่เพราะความศรัทธาความสวยงามแบบนี้คงไม่เกิดแก่คนรุ่นเราได้เห็นเป็นแน่
ภายในมีหอไหว้(สีชมพู) มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์
ที่สวยงาม แปลกตา คือ ช่องบรรจุพระพุทธรูปขนาดเล็กจำนวนนับพันองค์บนผนังภายในวิหาร
ชมวัดเชียงทองแล้วเสร็จ เป็นเวลาพลบค่ำ อากาศสดชื่นเย็นสบาย ไม่มีกลิ่นควันรบกวน เพราะที่นี่เป็นที่ห้ามสูบยา
ฝั่งตรงข้ามวัดเชียงทองเป็นแม่น้ำโขง มองออกไปหน้าวัดเห็นทิวทัศน์สวยงาม มีท่าเทียบเรือเล็กๆ น้ำไหลเอื่อยๆ เรือลอยไปช้าๆ สอดประสานกับแรงลมพัดเบาๆ เวลานี้จิตใจของข้าพเจ้าแทบไม่อนุญาตให้ความทุกข์ใดๆเข้ามาย่างกราย
ข้าพเจ้าเดินทอดน่องท่องริมโขงมาเรื่อยๆ จนถึงตลาดมืด หรือ ถนนคนเดิน
“สะบายดี” คำทักทายจากเจ้าของร้านเฝอ ชวนให้ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะเข้าไปฝากท้องที่นี่
มื้อเย็นกับเฝอริมทางเท้า อร่อย เรียบง่าย สะบายดี รสชาติและหน้าตาเหมือนก๋วยเตี๋ยวน้ำใสบ้านเรา
ราคาชามละ 15,000 กีบ
อิ่มท้องแล้วไปเดินเล่นในตลาดกันต่อ บรรยากาศตลาดมืดของหลวงพระบาง เห็นแล้วชวนให้นึกถึงถนนคนเดินเชียงใหม่
สินค้าคล้ายทางภาคเหนือบ้านเรา พ่อค้าแม่ค้าพูดภาษาไทยฉะฉาน ร้านค้าส่วนใหญ่รับเงินไทยและเงินกีบ ราคาต่อรองได้ เน้นว่าต้องต่อเยอะๆ สินค้าบางชนิดแอบแพงกว่าบ้านเรา
ในตลาดมืดจะมีตรอกเล็กๆอยู่ตรอกหนึ่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมไปกินดื่มกันมาก สังเกตหน้าซอยนี้จะอยู่ข้างร้าน Indigo Cafe
เห็นคนเดินเบียดเสียดกันเยอะแยะ ที่แท้ในตรอกนี้ก็มีของกินสารพัดอย่าง ทั้งอาหารลาว ไทย ฝรั่ง จีน ฝีมือคนท้องถิ่นขายในราคาถูก
ตระเวณชิมร้านแรก เป็นร้านส้มตำที่คนรอคิวกันแน่นเชียว เห็นแล้วเปรี้ยวปาก
มีไก่ย่าง ปลาย่าง หมูย่าง ของย่างๆสารพัดเมนูให้เลือกกิน
ปลาแม่น้ำปิ้งย่างกันใหม่ๆสดๆเลย
อาหารไฮไลท์อีกอย่าง คือ อาหารบุฟเฟ่ต์ จัดวางเป็นถาดๆ อยากกินอะไร กินกี่อย่าง ก็จะตักใส่จานตัวเองรวมกันในจานเดียว ขนาดจานก็มีสองแบบให้เลือก มีทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก ราคาจะแพงตามขนาด เวลาคิดเงิน เขาคิดตามขนาดจาน และจำนวนอาหารที่ตักไป
ตรงข้ามร้านบุฟเฟ่ต์ก็มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งรับประทานแต่พื้นที่มีจำกัด อาจจะเบียดเสียดดูทุลักทุเลหน่อย แต่เห็นสีหน้าทุกคนที่เดินเข้ามาในตลาดนี้ เอนจอยกับการกินในแบบฝุ่นตลบ ถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของหลวงพระบาง
จบของคาวมาต่อที่ของหวาน แวะชิมขนมครกหน้าตลาด
กำลังจะจับกล้องขึ้นมาถ่ายรูป แม่ค้าร้องบอก เดี๋ยวๆ จัดให้งามๆ ก่อนเจ้า (คนที่นี่พูดเจ้าเหมือนคนเหนือ) ว่าแล้วนางก็เอาขนมครกมาเรียงให้ถ่ายเป็นแถวแบบนี้ กระทงหนึ่งราคา 10 บาท รับเงินไทยด้วยนะ
สำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งทานอาหารในตลาด บริเวณถนนคนเดินก็มีพวกร้านอาหาร หลากหลายสัญชาติอยู่ตามอาคาร บ้านเก่า ให้เลือกกินดื่มความสุขตามอารมณ์
ข้าพเจ้าเลือกที่จะนั่งทิ้งตัวในบาร์เล็กๆ แห่งหนึ่ง หากการเดินทางคือการเริ่มต้นชีวิตคู่
คืนนี้ข้าพเจ้าก็ได้สมรสกับหลวงพระบางแล้ว และนี่คือฉากจบของการเดินทางในวันนี้
ฮักนะหลวงพระบาง Cheers!!
พรุ่งนี้จะมารีวิวให้ชมกันใหม่จ้า ชีวิตยังต้องเดินทางอีกวัน...ต่อวัน
JPOP