สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
รบกวนถามท่าน aunemaek2 ว่า
๑.สุขกาย กับ สุขใจ นี้ เป็นอันเดียวกันหรือไม่
๒.ทุกข์กาย กับทุกข์ใจ นี้ เป็นอันเดียวกันหรือไม่
๓.เฉยๆ ทางกาย กับ เฉยๆ ทางใจ นี้เป็นอันเดียวกันหรือไม่
๔.พระอรหันต์ อาจมี เวทนาใดได้บ้าง ดังต่อไปนี้
ก.สุขกาย ข. สุขใจ ค.ทุกข์กาย ง.ทุกข์ใจ จ.เฉยๆทางกาย ฉ. เฉยๆ ทางใจ
๕.ปุถุชน อาจมีเวทนาใด ได้บ้าง (ช้อยส์เหมือนข้อ ๔)
๖.การไม่ชอบใจในกาม ในลาภ เป็นโทสะไหม มีอะไร แตกต่างกันไหม ถ้าบุคคลนี้ เป็นพระอรหันต์ หรือปุถุชน
คำตอบข้อ ๑-๓ ทำให้เคลียร์ ความหมายของเวทนา
คำตอบข้อ ๔ - ๕ น่าจะทำให้เรา ทราบว่า การที่ไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ นี้ จะส่งผลต่อการเกิด หรือไม่เกิด เวทนาชนิดใดอย่างไร
ข้อ ๖ นี้ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเหตุการณ์
ถามไปแล้วก็นึกขึ้นว่า ถ้าตัวเองเป็นผู้ตอบก็รู้สึกยากเหมือนกัน งั้น เชิญ จขกท และทุกท่าน ช่วยตอบด้วย
๑.สุขกาย กับ สุขใจ นี้ เป็นอันเดียวกันหรือไม่
๒.ทุกข์กาย กับทุกข์ใจ นี้ เป็นอันเดียวกันหรือไม่
๓.เฉยๆ ทางกาย กับ เฉยๆ ทางใจ นี้เป็นอันเดียวกันหรือไม่
๔.พระอรหันต์ อาจมี เวทนาใดได้บ้าง ดังต่อไปนี้
ก.สุขกาย ข. สุขใจ ค.ทุกข์กาย ง.ทุกข์ใจ จ.เฉยๆทางกาย ฉ. เฉยๆ ทางใจ
๕.ปุถุชน อาจมีเวทนาใด ได้บ้าง (ช้อยส์เหมือนข้อ ๔)
๖.การไม่ชอบใจในกาม ในลาภ เป็นโทสะไหม มีอะไร แตกต่างกันไหม ถ้าบุคคลนี้ เป็นพระอรหันต์ หรือปุถุชน
คำตอบข้อ ๑-๓ ทำให้เคลียร์ ความหมายของเวทนา
คำตอบข้อ ๔ - ๕ น่าจะทำให้เรา ทราบว่า การที่ไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ นี้ จะส่งผลต่อการเกิด หรือไม่เกิด เวทนาชนิดใดอย่างไร
ข้อ ๖ นี้ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบเหตุการณ์
ถามไปแล้วก็นึกขึ้นว่า ถ้าตัวเองเป็นผู้ตอบก็รู้สึกยากเหมือนกัน งั้น เชิญ จขกท และทุกท่าน ช่วยตอบด้วย
ความคิดเห็นที่ 16
ความหมายของพระนิพพานจาก พระไตรปิฏก อรรถกถา
http://pantip.com/topic/33679699/comment15
นิพพานมี ๒ ประเภท
นิพพาน เมื่อกล่าวโดยปริยายแห่งเหตุ(การณูปจารปัจจัย)แล้ว มี ๒ ประเภท คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ได้แก่ นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ ๕ = ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ได้แก่ นิพพานที่ไม่มีขันธ์ ๕
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หมายเหตุ จขกท. พระอรหันต์ แบ่งเป็น ๔ ระดับ คือ พระอรหันต์ที่กำหนดรู้, พระอรหันต์ที่ราคะสิ้นไป,พระอรหันต์ที่โทสะสิ้นไป, พระอรหันต์ที่โมหะสิ้นไป จะเห็นได้ว่าพระอรหันต์ซึ่งกำหนดในภูมินัย ๓ ราคะ โทสะ โมหะ ยังไม่สิ้นไป
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระ
อรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์
ของตนอันบรรลุแล้ว มี สังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้น
ย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕เหล่า
ใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียวดูกรภิกษุทั้งหลาย
ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียก
ว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดย
ชอบเวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็น
ต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
จขกท คงอยากจะตีความหมายใหม่ เหมือนเดียรถีย์เงื่อม น่ะ
http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/library/topic/K2651104/K2651104.html
---พระอรหันต์ที่ยังมีรู้สึก สุข ทุกข์ โสมนัส หัวเราะได้ ยังเพียงบรรลุ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ยังไม่มีปรอภนุตตรสุญญตา อินทรีย์ยังไม่ถูกกำจัดโดยสิ้นเชิง ยังโสมนัส -- โทมนัส ยังไม่เหนือของคู่ , ยังไม่เป็นอัพยากฤต --- ยังบัญญัติได้
http://pantip.com/topic/33679699/comment15
นิพพานมี ๒ ประเภท
นิพพาน เมื่อกล่าวโดยปริยายแห่งเหตุ(การณูปจารปัจจัย)แล้ว มี ๒ ประเภท คือ
๑. สอุปาทิเสสนิพพาน ได้แก่ นิพพานที่เป็นไปกับขันธ์ ๕ = ทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ
๒. อนุปาทิเสสนิพพาน ได้แก่ นิพพานที่ไม่มีขันธ์ ๕
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หมายเหตุ จขกท. พระอรหันต์ แบ่งเป็น ๔ ระดับ คือ พระอรหันต์ที่กำหนดรู้, พระอรหันต์ที่ราคะสิ้นไป,พระอรหันต์ที่โทสะสิ้นไป, พระอรหันต์ที่โมหะสิ้นไป จะเห็นได้ว่าพระอรหันต์ซึ่งกำหนดในภูมินัย ๓ ราคะ โทสะ โมหะ ยังไม่สิ้นไป
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระ
อรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์
ของตนอันบรรลุแล้ว มี สังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้น
ย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕เหล่า
ใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียวดูกรภิกษุทั้งหลาย
ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียก
ว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดย
ชอบเวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็น
ต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
จขกท คงอยากจะตีความหมายใหม่ เหมือนเดียรถีย์เงื่อม น่ะ
http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/library/topic/K2651104/K2651104.html
---พระอรหันต์ที่ยังมีรู้สึก สุข ทุกข์ โสมนัส หัวเราะได้ ยังเพียงบรรลุ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ยังไม่มีปรอภนุตตรสุญญตา อินทรีย์ยังไม่ถูกกำจัดโดยสิ้นเชิง ยังโสมนัส -- โทมนัส ยังไม่เหนือของคู่ , ยังไม่เป็นอัพยากฤต --- ยังบัญญัติได้
ความคิดเห็นที่ 14
ถ้าสิ้นไปจะเป็นความสามรถของพระอรหันต์ตามกำหนดภูมินัยที่๔-๖" rel="nofollow" >หมายเหตุ จขกท.
กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระอรหันตขีณาสพ ....ย่อมรู้โดย...ฯ เพราะเธอกำหนดรู้แล้ว
ความสามารถพระอรหันต์ ตามที่กำหนดภูมินัยที่ ๓ แค่ "กำหนดรู้แล้ว"
คือ กำหนดรู้ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ แค่กำหนดรู้ ยังไม่ "สิ้นไป"
(ถ้าสิ้นไปจะเป็นความสามรถของพระอรหันต์ ตามกำหนดภูมินัยที่ ๔ - ๖
จขกท ครับ ที่ว่า ท่าน รู้ใน ทุกข์ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ละได้แล้วใน ทุกข์
ไม่ใช่ว่า ราคะ โทสะ โมหะ จะเกิดกับ จิตของพระอรหันต์ได้อีก น่ะ
ทำไมกิเลสตัณหา ของ สมมุติสงฆ์ และ ฆาราวาส ที่หนาแน่นด้วยกิเลส อยากให้ พระอรหันต์มี ราคะ โทสะ โมหะ เหมือนตนเอง
มาจากกระแส ของเจ้าสำนักวัดนาป่าพง หรือเปล่าน่ะ ?
กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระอรหันตขีณาสพ ....ย่อมรู้โดย...ฯ เพราะเธอกำหนดรู้แล้ว
ความสามารถพระอรหันต์ ตามที่กำหนดภูมินัยที่ ๓ แค่ "กำหนดรู้แล้ว"
คือ กำหนดรู้ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ แค่กำหนดรู้ ยังไม่ "สิ้นไป"
(ถ้าสิ้นไปจะเป็นความสามรถของพระอรหันต์ ตามกำหนดภูมินัยที่ ๔ - ๖
จขกท ครับ ที่ว่า ท่าน รู้ใน ทุกข์ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ละได้แล้วใน ทุกข์
ไม่ใช่ว่า ราคะ โทสะ โมหะ จะเกิดกับ จิตของพระอรหันต์ได้อีก น่ะ
ทำไมกิเลสตัณหา ของ สมมุติสงฆ์ และ ฆาราวาส ที่หนาแน่นด้วยกิเลส อยากให้ พระอรหันต์มี ราคะ โทสะ โมหะ เหมือนตนเอง
มาจากกระแส ของเจ้าสำนักวัดนาป่าพง หรือเปล่าน่ะ ?
ความคิดเห็นที่ 13
พระอรหันต์ ยังมี ราคะ โทสะ โมหะ ไหม ?
ความคิดเห็นที่ 17
http://pantip.com/topic/34223948/comment17
[๒๒๓] คำว่า พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย มีความว่า
พาลปุถุชนทั้งปวงย่อมกำหนัด
พระอริยบุคคลผู้เสขะ ๗ จำพวก ตลอดถึงกัลยาณปุถุชนย่อมคลายกำหนัด
ส่วนพระอรหันต์ย่อมกำหนัดหามิได้ ย่อมคลายกำหนัดก็หามิได้.
เพราะ
พระอรหันต์นั้นคลายกำหนัดแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะโดยราคะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะโดยโทสะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะโดยโมหะสิ้นไปแล้ว
และพระอรหันต์นั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว
ฯลฯ
ภพใหม่มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ไม่คลายกำหนัดเลย.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด
ย่อมไม่สำคัญในรูปที่เห็น
เสียงที่ได้ยิน
และอารมณ์ที่ทราบ
พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่ปรารถนาความหมดจดด้วยมรรคอื่น
ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย ดังนี้.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=2586&Z=3083
สมาชิกหมายเลข 809877
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
http://larndham.org/index.php?/topic/22603-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99-%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%97/
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรให้เจริญ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล เราให้เจริญแล้ว.
ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดีแล้ว เพียงใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.
อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป.
----------------------------------------------------------------
http://larndham.org/index.php?/topic/19097-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84/page__st__2
เมื่อใดที่บุคคลผู้มีคุณสมบัติของเหตุดังกล่าวได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐาน เหตุที่กระทำมาจะเป็นตัวอุดหนุนให้อินทรีย์มีกำลังแก่กล้า ด้วยปัญญาที่ปรีชามากขึ้นย่อมเป็นปัจจัยส่งเสริมให้บุคคลผู้นั้นประจักษ์ความจริงของรูปนามได้โดยง่าย ญาณปัญญาจากนามรูปปริเฉทญาณ ปัจจยปริคห-ญาณ สัมมสสนญาณ ที่เกิดขึ้นตามลำดับ ทำให้ประจักษ์ความจริงของไตรลักษณ์ได้ และเมื่อใดที่โยคาวจรอาศัย “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เป็นพาหนะพาสู่ “วิปัสสนาญาณ ๙“ (นับตั้งแต่อุทยัพพยญาณ จนถึงอนุโลมญาณ)ได้สำเร็จ นับว่าเขาสามารถก้าวเข้าถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ คือ อริยสัจ ๔ ได้เมื่อนั้น เพราะ อนุโลมญาณนั้นก็คือ ญาณที่อนุโลมให้เห็นอริยสัจ ๔ หมายถึง
ทุกข์ ซึ่งเป็นของที่มีอยู่แท้จริง และพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดให้เป็นกิจรู้ นับได้ว่าโยคาวจรผู้นั้น ได้กำหนดรู้แล้ว
สมุทัย ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ และพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดให้เป็นกิจละ นับได้ว่าโยคาวจรผู้นั้น ได้ละแล้ว
นิโรธ ซึ่งเป็นธรรมที่ดับทุกข์ และพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดให้เป็นกิจที่ควรกระทำให้แจ้ง นับได้ว่าโยคาวจรผู้นั้น ได้ทำให้แจ้งแล้ว
มรรค ซึ่งเป็นหนทางที่ดับทุกข์ และพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดให้เป็นกิจที่ควรดำเนินตาม นับได้ว่าโยคาวจรผู้นั้น ได้ดำเนินตามแล้ว
เมื่อบุคคลใดเข้าถึงอริยสัจ เมื่อนั้นสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ได้บังเกิดขึ้นแล้วกับบุคคลนั้น
ปริวัฏ ๓ อาการ ๑๒ ในอนุโลมญาณ จะเป็นปัจจัยให้ผู้นั้นก้าวเข้าสู่ โคตรภูญาณ อันเป็นญาณที่ประจักษ์แจ้งในพระนิพพาน สามารถปหาณกิเลส พร้อมกับตัดโคตรปุถุชน เข้าสู่อริยชนได้ (ตามลำดับ) จิตที่ดำเนินอยู่ในกามวิถี ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นโลกุตตรอัปนาวิถีทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4&detail=on
กิจในอริยสัจ ข้อที่ต้องทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง คือ
ปริญญา กำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์
ปหานะ การละ เป็นกิจในสมุทัย
สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้งหรือการบรรลุ เป็นกิจในนิโรธ
ภาวนา การเจริญคือปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นกิจในมรรค
ความคิดเห็นที่ 17
http://pantip.com/topic/34223948/comment17
[๒๒๓] คำว่า พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย มีความว่า
พาลปุถุชนทั้งปวงย่อมกำหนัด
พระอริยบุคคลผู้เสขะ ๗ จำพวก ตลอดถึงกัลยาณปุถุชนย่อมคลายกำหนัด
ส่วนพระอรหันต์ย่อมกำหนัดหามิได้ ย่อมคลายกำหนัดก็หามิได้.
เพราะ
พระอรหันต์นั้นคลายกำหนัดแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากราคะโดยราคะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโทสะโดยโทสะสิ้นไปแล้ว
เพราะเป็นผู้ปราศจากโมหะโดยโมหะสิ้นไปแล้ว
และพระอรหันต์นั้นอยู่จบแล้ว มีจรณะอันประพฤติแล้ว
ฯลฯ
ภพใหม่มิได้มีแก่พระอรหันต์นั้น
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่กำหนัด ไม่คลายกำหนัดเลย.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
พระอรหันต์ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องกำจัด
ย่อมไม่สำคัญในรูปที่เห็น
เสียงที่ได้ยิน
และอารมณ์ที่ทราบ
พระอรหันต์นั้น ย่อมไม่ปรารถนาความหมดจดด้วยมรรคอื่น
ย่อมไม่กำหนัด ย่อมไม่คลายกำหนัดเลย ดังนี้.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=29&A=2586&Z=3083
สมาชิกหมายเลข 809877
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
http://larndham.org/index.php?/topic/22603-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99-%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%97/
[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสีย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล ควรทำให้แจ้ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรให้เจริญ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล เราให้เจริญแล้ว.
ญาณทัสสนะ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดีแล้ว เพียงใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ ๔ นี้ มีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์.
อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป.
----------------------------------------------------------------
http://larndham.org/index.php?/topic/19097-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84/page__st__2
เมื่อใดที่บุคคลผู้มีคุณสมบัติของเหตุดังกล่าวได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐาน เหตุที่กระทำมาจะเป็นตัวอุดหนุนให้อินทรีย์มีกำลังแก่กล้า ด้วยปัญญาที่ปรีชามากขึ้นย่อมเป็นปัจจัยส่งเสริมให้บุคคลผู้นั้นประจักษ์ความจริงของรูปนามได้โดยง่าย ญาณปัญญาจากนามรูปปริเฉทญาณ ปัจจยปริคห-ญาณ สัมมสสนญาณ ที่เกิดขึ้นตามลำดับ ทำให้ประจักษ์ความจริงของไตรลักษณ์ได้ และเมื่อใดที่โยคาวจรอาศัย “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” เป็นพาหนะพาสู่ “วิปัสสนาญาณ ๙“ (นับตั้งแต่อุทยัพพยญาณ จนถึงอนุโลมญาณ)ได้สำเร็จ นับว่าเขาสามารถก้าวเข้าถึงธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ คือ อริยสัจ ๔ ได้เมื่อนั้น เพราะ อนุโลมญาณนั้นก็คือ ญาณที่อนุโลมให้เห็นอริยสัจ ๔ หมายถึง
ทุกข์ ซึ่งเป็นของที่มีอยู่แท้จริง และพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดให้เป็นกิจรู้ นับได้ว่าโยคาวจรผู้นั้น ได้กำหนดรู้แล้ว
สมุทัย ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ และพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดให้เป็นกิจละ นับได้ว่าโยคาวจรผู้นั้น ได้ละแล้ว
นิโรธ ซึ่งเป็นธรรมที่ดับทุกข์ และพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดให้เป็นกิจที่ควรกระทำให้แจ้ง นับได้ว่าโยคาวจรผู้นั้น ได้ทำให้แจ้งแล้ว
มรรค ซึ่งเป็นหนทางที่ดับทุกข์ และพระพุทธองค์ได้ทรงกำหนดให้เป็นกิจที่ควรดำเนินตาม นับได้ว่าโยคาวจรผู้นั้น ได้ดำเนินตามแล้ว
เมื่อบุคคลใดเข้าถึงอริยสัจ เมื่อนั้นสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ได้บังเกิดขึ้นแล้วกับบุคคลนั้น
ปริวัฏ ๓ อาการ ๑๒ ในอนุโลมญาณ จะเป็นปัจจัยให้ผู้นั้นก้าวเข้าสู่ โคตรภูญาณ อันเป็นญาณที่ประจักษ์แจ้งในพระนิพพาน สามารถปหาณกิเลส พร้อมกับตัดโคตรปุถุชน เข้าสู่อริยชนได้ (ตามลำดับ) จิตที่ดำเนินอยู่ในกามวิถี ก็จะถูกเปลี่ยนเป็นโลกุตตรอัปนาวิถีทันที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%89%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4&detail=on
กิจในอริยสัจ ข้อที่ต้องทำในอริยสัจ ๔ แต่ละอย่าง คือ
ปริญญา กำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์
ปหานะ การละ เป็นกิจในสมุทัย
สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้งหรือการบรรลุ เป็นกิจในนิโรธ
ภาวนา การเจริญคือปฏิบัติบำเพ็ญ เป็นกิจในมรรค
แสดงความคิดเห็น
.... พระอรหันต์ ที่มี ราคะ โทสะ โมหะ ก็มี ....
จากกระทู้นี้
... สัทธรรมปฏิรูป สาเหตุหนึ่งที่จะทำให้พระศาสนาเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น (พร้อมตัวอย่าง) ...
http://pantip.com/topic/34240114
พระอรหันต์ ไม่มีใครพยากรณ์ใครได้เว้นแต่พระศาสดา และรายละเอียดของพระอรหันต์ก็ยากที่จะอธิบายโดยภูมิรู้ของปุถุชน เหมือนเด็กอนุบาลที่พยายามอธิบายคณิตศาสตร์ชั้นสูง... เพราะฉะนั้นกระทู้นี้ขอยกมาเฉพาะ "พุทธวจน" ที่ตรัสไว้เกี่ยวกับพระอรหันต์และ ราคะ โทสะ โมหะ
โดยส่วนใดเป็นความคิดผมจะแยกไว้เป็นหมายเหตุ อาจถูกหรือผิดก็ตามแต่เหตุปัจจัยในการศึกษา หากผิดตรงส่วนใดท่านผู้รู้กรุณาชี้แนะก็จะขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งครับ...
ผมขอนำพระสูตรประกอบความคิดของผมที่ว่า "พระอรหันต์ ที่มี ราคะ โทสะ โมหะ ก็มี" เป็นอย่างไร ด้วย "พุทธวจน" ๖ พระสูตร ดังนี้
๑. คำพระศาสดานับแต่ตรัสรู้จนปรินิพพานย่อมเข้ากันได้โดยประการเดียวทั้งสิ้นไม่แย้งกันเป็นประการอื่น...
...พระตถาคตย่อมตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในราตรีใดและย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ในราตรีใด ย่อมตรัสบอกแสดงซึ่งพุทธพจน์อันใดในระหว่างนี้ พุทธพจน์นั้นทั้งหมด ย่อมเป็นอย่างนั้นนั่นแลไม่เป็นอย่างอื่น...
อิติวุ. ขุ. ๒๕/๒๕๑/๒๙๓
http://etipitaka.com/read/thai/25/251/
๒. พระองค์บัญญัติ หลักเกณฑ์การพยากรณ์การบรรลุอรหัตตผลของตัวเอง สรุปว่า
- เมื่อเห็นรูปด้วยจักษุ,ลิ้มรสด้วยลิ้น แล้ว ย่อมรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะและ โมหะอันมีอยู่ในภายในว่า
ราคะ โทสะ และโมหะมีอยู่ในภายในของเรา
- เมื่อ เห็นรูปด้วยจักษุ,ลิ้มรสด้วยลิ้น ,รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ ย่อมรู้ชัดซึ่งราคะโทสะ และโมหะอันมีอยู่ในภายในว่า ราคะ โทสะ และโมหะมีอยู่ในภายในของเรา หรือรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะและโมหะอันไม่มีอยู่ในภายในว่า ราคะ โทสะ และโมหะไม่มีอยู่ในภายในของเรา
สฬา. สํ. ๑๘/๑๔๒-๑๔๔/๒๓๙-๒๔๒
http://etipitaka.com/read/thai/18/143/?keywords=
๓. พระองค์บัญญัติ มูลปริยายสูตร ว่าด้วยมูลเหตุแห่งธรรมทั้งปวง โดยจำแนกออกเป็น ๘ ภูมินัย
(ไล่ลำดับความสามารถจากต่ำสุดคือ ปุถุชน จนถึง พระศาสดา)
กำหนดภูมินัยที่ ๑ ด้วยสามารถปุถุชน
กำหนดภูมินัยที่ ๒ ด้วยสามารถเสขบุคคล (ยังไม่บรรลุพระอรหัตผล)
กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระอรหันตขีณาสพ ....ย่อมรู้โดย...ฯ เพราะเธอกำหนดรู้แล้ว
กำหนดภูมินัยที่ ๔ ด้วยสามารถพระอรหันตขีณาสพ ....ย่อมรู้โดย...ฯ เพราะปราศจากราคะ เหตุราคะสิ้นไป
กำหนดภูมินัยที่ ๕ ด้วยสามารถพระอรหันตขีณาสพ ....ย่อมรู้โดย...ฯ เพราะปราศจากโทสะ เหตุโทสะสิ้นไป
กำหนดภูมินัยที่ ๖ ด้วยสามารถพระอรหันตขีณาสพ ....ย่อมรู้โดย...ฯ เพราะปราศจากโมหะ เหตุโมหะสิ้นไป
กำหนดภูมินัยที่ ๗ ด้วยสามารถพระศาสดา.
กำหนดภูมินัยที่ ๘ ด้วยสามารถพระศาสดา
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) ๑๒ / ๑ / ๑ - ๒
http://etipitaka.com/read/thai/12/6/
หมายเหตุ จขกท. พระอรหันต์ แบ่งเป็น ๔ ระดับ คือ พระอรหันต์ที่กำหนดรู้, พระอรหันต์ที่ราคะสิ้นไป,พระอรหันต์ที่โทสะสิ้นไป, พระอรหันต์ที่โมหะสิ้นไป จะเห็นได้ว่าพระอรหันต์ซึ่งกำหนดในภูมินัย ๓ ราคะ โทสะ โมหะ ยังไม่สิ้นไป
๔. พระองค์บัญญัติ ปริญเญยยตสูร ว่าด้วยธรรมที่ควรกำหนดรู้
ธรรมที่ควรกำหนดรู้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ความกำหนดรู้ คือ ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ
บุคคลผู้กำหนดรู้แล้วควรจะกล่าวว่า "พระอรหันต์"
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๗/ ๑๕๒ / ๒๙๑ - ๒๙๒
http://etipitaka.com/read/thai/17/151/
หมายเหตุ จขกท.
กำหนดภูมินัยที่ ๓ ด้วยสามารถพระอรหันตขีณาสพ ....ย่อมรู้โดย...ฯ เพราะเธอกำหนดรู้แล้ว
ความสามารถพระอรหันต์ ตามที่กำหนดภูมินัยที่ ๓ แค่ "กำหนดรู้แล้ว"
คือ กำหนดรู้ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ แค่กำหนดรู้ ยังไม่ "สิ้นไป"
(ถ้าสิ้นไปจะเป็นความสามรถของพระอรหันต์ ตามกำหนดภูมินัยที่ ๔ - ๖
๕.พระองค์ ตรัสว่า นิพพานธาตุ มี ๒ ประการ คือ
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระ
อรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์
ของตนอันบรรลุแล้ว มี สังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ ภิกษุนั้น
ย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕เหล่า
ใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียวดูกรภิกษุทั้งหลาย
ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียก
ว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์
ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดย
ชอบเวทนาทั้งปวงในอัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็น
ต้นให้เพลิดเพลินมิได้แล้ว จัก (ดับ) เย็น ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) ๒๕ / ๑๙๒ / ๒๒๒
http://etipitaka.com/read/thai/25/192/
๖. "นิพพาน"ที่เห็นได้เอง (เมื่อสิ้นราคะ-โทสะ-โมหะ)
เมื่อบุคคลนี้เสวยธรรมเป็นที่สิ้นราคะอันไม่มีส่วนเหลือ เสวยธรรมเป็นที่สิ้นโทสะอันไม่มีส่วนเหลือ เสวย
ธรรมเป็นที่สิ้นโมหะอันไม่มีส่วนเหลือ นิพพานย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง
ติก. อํ. ๒๐/๒๐๒/๔๙๕.
http://etipitaka.com/read/thai/20/0/
หมายเหตุ จขกท. พระอรหันต์ตามที่กำหนดภูมินัยที่ ๓-๕ ยังไม่ใช่สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหตุเพราะขันธ์ 5 ยังมีอยู่ ยังทำงานอยู่ แต่ท่านไม่ยึดกับขันธ์ 5 นั้นแล้ว เวทนายังเกิดดับ ราคะ โทสะ โมหะ ยังเกิดดับ แต่เกิดตามเหตุปัจจัย ไม่เกี่ยวข้องกับพระอรหันต์ ตามแต่ละภูมินัย จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ตามที่กำหนดภูมินัยที่ ๖ จึงจะถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ
ขอปิดท้ายด้วยคำกล่าวของภิกษุสาวกของพระศาสดา ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติชอบ
ผู้ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วประเทศว่าท่านเป็น "พระอรหันต์"
จากธรรมข้อคิด บางประการของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ว่า "ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม?"
หลวงปู่ตอบสั้นๆว่า "มี แต่ไม่เอา"
http://www.nkgen.com/10.htm