เครื่องปั่นน้ำผลไม้ แพงแล้วดีจริงหรือ?

ใครที่จะหาเครื่องปั่นน้ำผลไม้ , สมูทตี้ ดีๆซักเครื่อง เพื่อใช้งานภายในบ้าน หรือ เพื่อการพาณิชย์
พูดง่ายๆคือจะซื้อมาปั่นกินเองหรือขายที่ตลาดนัด ตลาดสด อะไรก็ว่าไป



เราจะเลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งานและงบประมาณของเรา

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องการใช้เครื่องปั่นเหมือนกันครับ
และเห็นหลายๆท่านก็กำลังมองหาเครื่องปั่นเหมือนกัน
ไปเจอบทความหนึ่ง ของคุณคุณเชษฐา

อ่านแล้วค่อนข้างครอบคลุมและเป็นประโยชน์มากครับในการเลือกซื้อเครื่องปั่นที่เหมาะสมกับเราซักเครื่อง




เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเครื่องปั่นผักและผลไม้

  ใกล้เทศกาลกินเจแล้ว เรามาดูแลสุขภาพด้วยการทานผักและผลไม้กันดีว่า  เริ่มต้นจากการเลือกเครื่องปั่นน้ำผักและผลไม้กันก่อนนะคะ

เครดิตข้อมูล คุณเชษฐา ใจใส่มติชน


ด้วยความที่ประเทศของเราเป็นเมืองร้อน เครื่องดื่มปั่นเย็นๆ ชื่นใจ จึงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นน้ำปั่นผลไม้แบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคยดี เช่น มะนาวปั่น แตงโมปั่น หรือนมปั่น ไปจนถึงเครื่องดื่มปั่นสมัยใหม่ เช่น เฟรปเป้ หรือสมูธตี้ ที่เป็นที่รู้จักกันในไม่กี่ปีที่ผ่านมาและกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ



ความแตกต่างของน้ำปั่นแบบดั้งเดิมกับสมูธตี้ที่เห็นได้ชัดคือ ความข้นหนืดและเนื้อสัมผัสของสมูธตี้ที่มากกว่าน้ำปั่น ซึ่งเกิดจากการใส่ส่วนผสมที่เป็นเนื้อผลไม้ทั้งสดหรือแช่แข็งลงไปด้วย และต้องปั่นในเครื่องปั่นระดับมืออาชีพ ที่มีกำลังและความเร็วสูง ส่วนน้ำปั่นแบบดั้งเดิมมีแต่ของเหลว ได้แก่ น้ำผลไม้กับน้ำเชื่อมและน้ำแข็ง หรือมีผลไม้เนื้ออ่อนอย่างแตงโม แคนตาลูป สามารถใช้เครื่องปั่นแบบใช้ในบ้านที่มีวางขายทั่วไป ซึ่งมอเตอร์มีขนาดเล็กประมาณ 1/2-3/4 แรงม้า ก็พอได้ หากต้องการปั่นสมูธตี้หรือเฟรปเป้ ควรมีกำลังเครื่องมากกว่า 1 แรงม้าขึ้นไป (1 แรงม้าเทียบเท่า 746 วัตต์) แต่กระนั้นก็ตามยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกำลังวัตต์ของเครื่อง ซึ่งหลายๆ คนยังสับสน และคิดว่าเป็นคำตอบสุดท้ายที่จะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของเครื่องปั่น



การเลือกซื้อเครื่องปั่น



ในการเลือกซื้อเครื่องปั่นเราควรต้องพิจารณาจากหลายๆ ปัจจัย ไม่ใช่แค่กำลังวัตต์เท่านั้น เครื่องปั่นคุณภาพต่ำหลายยี่ห้อ ผลิตจากจีนแดง ระบุกำลังวัตต์สูงถึง 1,500 วัตต์ แต่ราคาถูกแสนถูกอย่างเหลือเชื่อ แต่เมื่อนำมาปั่นเครื่องดื่มกลับไม่ละเอียด สู้เครื่องปั่นต้นตำรับจากอเมริกา ซึ่งมีกำลังวัตต์เพียงแค่ 850 วัตต์ ไม่ได้ จากตัวอย่างนี้ เห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังวัตต์ที่แสดงในป้ายเครื่อง (เนมเพลท) เป็นเสมือนภาพลวงตาทำให้เราเข้าใจผิดได้



ผู้เขียนจะอธิบายประเด็นนี้ให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น โดยการเปรียบเทียบกับหลอดตะเกียบประหยัดไฟกับหลอดไส้แบบดั้งเดิม หลอดตะเกียบประหยัดไฟกินไฟแค่ 15-18 วัตต์เท่านั้น แต่กลับให้ความสว่างเทียบเท่าหรือมากกว่าหลอดไส้แบบดั้งเดิมที่กินไฟสูงถึง 60-80 วัตต์ เห็นได้ชัดเลยว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่มีการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพได้ โดยไม่ต้องใช้พลังงานมากหรือกินไฟเหมือนแต่ก่อน ซึ่งเทคโนโลยีของเครื่องปั่นก็เช่นเดียวกัน



ข้อควรพิจารณา



ก่อนซื้อเครื่องปั่นสมูธตี้



ในการจะเลือกซื้อหาเครื่องปั่นเบลนเดอร์ดีๆ สักตัว ให้ใช้งานได้ตรงกับความต้องการและอยู่เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้นานๆ ไม่จุกจิกให้ปวดหัว เราจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบมากๆ ด้วยความที่เครื่องปั่นที่มีให้เลือกในท้องตลาดมีมากมายเหลือเกิน ซึ่งผู้เขียน แบ่งกลุ่มประเภทเครื่องปั่นออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ



1. เครื่องปั่นแบบไลท์ดิวตี้หรือแบบใช้ในบ้าน เหมาะกับการใช้งานไม่หนัก ปั่นเครื่องดื่มที่มีความข้นหนืดสูงๆ หรือมีเนื้อของแข็งผสมมากไม่ได้ เพราะมอเตอร์มีขนาดเล็ก ประมาณ 1/2-3/4 แรงม้า (ประมาณ 400-600 วัตต์) ราคาไม่แพง หลักร้อยถึงหลักพันต้นๆ เท่านั้น ควรใช้ในครัวเรือนเป็นหลัก หากนำมาใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากิน อาจจะพังได้ง่าย เพราะมอเตอร์จะร้อนเร็วและไหม้ได้ง่าย ชิ้นส่วนอื่นๆ ก็ไม่ค่อยแข็งแรงทนทาน ออกแบบมาให้ใช้งานในบ้านเป็นหลักซึ่งใช้ไม่เกิน 2-3 ครั้ง ต่อวัน อีกทั้งอาจจะพ้นจากการรับประกันสินค้า หากนำไปใช้เชิงพาณิชย์ ดังนั้น ควรอ่านเงื่อนไขการรับประกันให้ดีว่ามีระบุไว้หรือไม่





2. เครื่องปั่นประสิทธิภาพสูงแบบเฮฟวีดิวตี้ เป็นเครื่องที่ออกแบบมาให้มีความแข็งแรงทนทาน เหมาะกับงานหนัก หรือต้องใช้บ่อยๆ มากกว่า 20 ครั้ง ต่อวัน เครื่องมักจะมีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะมอเตอร์มีขนาดใหญ่ สามารถใช้งานเชิงพาณิชย์ เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้อย่างสบาย เครื่องปั่นแบบนี้ยังมีแยกย่อยออกเป็น



- แบบแมนวลปรับความเร็ว 2 ระดับ (2 speed) เหมาะกับปั่นเครื่องดื่มเป็นหลัก



- แบบปรับความเร็วได้หลายระดับ สามารถใช้งานอเนกประสงค์ ปั่นอาหาร ของแห้ง เครื่องแกง ได้



- แบบโปรแกรมตั้งเวลาอัตโนมัติ



เครื่องแต่ละแบบมีข้อดี ข้อเสียในตัวเอง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการใช้งาน พอสรุปข้อดีข้อเสียได้ดังนี้



เครื่องปั่นแบบ 2 สปีด



เครื่องปั่นแบบปรับความเร็วได้



เครื่องปั่นแบบโปรแกรมอัตโนมัติ



ข้อดี



ใช้ง่าย ไม่หยุมหยิม ราคาย่อมเยากว่า



ใช้งานได้อเนกประสงค์



ง่าย สะดวก ไม่ต้องมีความชำนาญ กดเพียงปุ่มเดียว



ข้อเสีย



อาจต้องอาศัยผีมือหรือความเชี่ยวชาญในการปั่นเพื่อให้ได้เครื่องดื่มคุณภาพดี หากเปลี่ยนผู้ใช้งานต้องมีการฝึกฝน จึงจะปั่นได้ดี



ราคาสูงกว่า ความทนทานอาจจะน้อยกว่าแบบแมนวล เพราะมีระบบอิเล็กทรอนิกส์



หลักคิด



ในการเลือกซื้อหาเครื่องปั่น



ด้วยความหลากหลายเช่นนี้ ผู้เขียนจึงขอมอบหลักคิดในการเลือกซื้อหาดังต่อไปนี้



ลักษณะการใช้งาน เราต้องรู้ให้แน่ชัดเสียก่อนว่าเราจะเอาเครื่องปั่นไปทำอะไร เช่น ใช้งานในครัวเรือน หรือเอาไปเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ปั่นเครื่องดื่มอย่างเดียวหรือใช้ปั่นอเนกประสงค์ เผื่อว่าไปปั่นอย่างอื่น เช่น อาหาร เครื่องแกง หากปั่นเครื่องดื่มอย่างเดียว ใช้เครื่องแบบ 2 สปีดก็เพียงพอ ใช้ง่าย จ่ายเงินน้อยกว่า หรือหากเปิดร้านแต่ไม่ได้ยืนขายเอง เปลี่ยนลูกน้องบ่อย ควรใช้แบบโปรแกรมอัตโนมัติ กดปุ่มเดียวเสร็จ ไม่ว่าจะใครปั่นก็ได้เครื่องดื่มคุณภาพเดียวกัน



แรงม้าและความเร็วรอบของมอเตอร์ ถือได้ว่าเป็นหัวใจของเครื่องปั่นเลยทีเดียว หากไปทำมาค้าขายควรใช้เครื่องที่มีกำลังสูงกว่า 1 แรงม้าขึ้นไป ยิ่งแรงม้ายิ่งสูงยิ่งดี เพราะสามารถปั่นบดละเอียดได้อย่างรวดเร็ว เครื่องดื่มจะมีความข้นหนืด ไม่เหลวไม่แยกชั้น ดูดีมีราคากว่าน้ำปั่นทั่วไป ส่วนกำลังวัตต์ที่ระบุอยู่ที่เครื่องอย่าเข้าใจผิดว่าเป็นตัวบ่งบอกความแรงของเครื่อง แท้ที่จริงแล้ว หมายถึงอัตราการใช้พลังงานหรือการกินไฟฟ้า ส่วนด้านขาออก หรือผลผลิตที่มอเตอร์จะให้กำลังออกมาจะวัดเป็นหน่วยแรงม้า (HP) ยกตัวอย่างเช่น เครื่องปั่นระดับมืออาชีพราคาแพงๆ ตัวละหลายหมื่นบาท นำเข้าจากอเมริกาแบบที่ร้านกาแฟใหญ่เขาใช้กัน ระบุในป้ายติดเครื่องว่า 850 วัตต์ แต่ให้กำลังสูงถึง 2 แรงม้า หรือระบุว่า 1,500 วัตต์ แต่ให้กำลังสูงถึง 3.5 แรงม้า เป็นต้น ด้วยเทคโนโลยีมอเตอร์ที่พัฒนาขึ้นมากทำให้กินไฟน้อยลงแต่ให้แรงม้ามากขึ้น อย่างที่ได้ยกตัวอย่างหลอดประหยัดไฟ ยิ่งวัตต์สูงขึ้นก็กินไฟมากขึ้น เครื่องก็ร้อนเร็ว หากไม่มีระบบระบายความร้อนที่ดีพอ มอเตอร์อาจไหม้ได้ง่าย ยิ่งมอเตอร์ร้อนบ่อยๆ จะทำให้อายุการใช้งานหดสั้นลง ส่วนเรื่องความเร็วรอบ ยิ่งเร็วยิ่งดี ซึ่งเครื่องระดับมืออาชีพส่วนใหญ่จะมีความเร็วรอบมากกว่า 30,000 รอบ ต่อนาที



ขนาดของโถปั่นและวัสดุ โถปั่นแบบเก่าๆ มักทำจากแก้ว เพราะราคาถูก แต่ค่อนข้างหนักและแตกง่าย แต่มีข้อดีคือไม่ดูดซับกลิ่นอาหาร ส่วนโถปั่นสมัยใหม่โดยเฉพาะประเภทมืออาชีพ ล้วนทำจากพลาสติคชนิดโพลีคาร์บอเนต ที่มีความทนทานสูงไม่แตกง่าย ด้วยความเร็วของมอเตอร์ที่สูงมาก หากมีส่วนผสมที่เป็นของแข็งมาก ถ้าเป็นโถแก้วอาจแตกได้ อย่างไรก็ตาม โถพลาสติคโพลีคาร์บอเนตบางเกรด อาจมีสารปนเปื้อนที่เรียกว่า ไบฟีนอล เอ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งเคยพบในอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยไมโครเวฟในภาชนะพลาสติคเป็นเวลานาน ดังนั้น ควรเลือกใช้ยี่ห้อที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยจากสารปนเปื้อนจะดีที่สุด หากใช้โถปั่นโพลีคาร์บอเนตควรแยกโถปั่นระหว่างเครื่องดื่มกับอาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น เครื่องเทศ เครื่องแกง เพราะกลิ่นจะติดโถได้ง่าย



ในการปั่นแต่ละครั้งควรใส่ส่วนผสมไม่เกิน 1/2 ของความจุโถปั่น ยิ่งเครื่องมีกำลังต่ำๆ ยิ่งต้องใส่ส่วนผสมให้น้อยลงไปอีก มิฉะนั้น จะไม่มีแรงดูดเข้าหาใบมีด เครื่องปั่นระดับมืออาชีพมักมีความจุ ประมาณ 1.5-2 ลิตร สามารถปั่นได้ครั้งละ 1 ลิตร หรือ 1 กิโลกรัม ส่วนเครื่องปั่นแบบไลต์ดิวตี้มักมีความจุไม่เกิน 1 ลิตร หรือ 32 ออนซ์



อุปกรณ์ประกอบอื่นๆ มีผู้อ่านและลูกศิษย์ผู้เขียนมักถามบ่อยๆ ว่า อุปกรณ์เสริมที่ได้มากับเครื่องปั่นบางอย่างใช้ทำอะไร ยกตัวอย่างเช่น แท่งกวนพลาสติคที่มากับเครื่องปั่นบางรุ่น ซึ่งจากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่า จะใช้หรือไม่ใช้ก็ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก หากเราใส่ส่วนผสมที่เหมาะสม คือเวลาปั่นแล้วส่วนผสมมีการไหลเวียนได้จากแรงดูดที่เรียกว่า วอร์เท็กซ์ (Vortex) จากการหมุนของใบมีด การใช้แท่งกวนพลาสติคก็ไม่มีความจำเป็น แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะใช้กวนกันยกใหญ่ อาจจะเป็นความรู้สึกตามหลักจิตวิทยาว่าใช้แล้วจะปั่นได้ละเอียดยิ่งขึ้น ก็ไม่ผิดอะไรหรอกครับได้ออกกำลังแขนไปด้วย อีกอย่างที่เคยเห็นคือโถปั่นแบบมีไส้กรองแบบทำน้ำเต้าหู้ได้ อันนี้ก็ไม่มีความจำเป็นเลยถ้าเราไม่ได้ขายน้ำเต้าหู้ ก็คงไม่ได้ใช้



ความน่าเชื่อถือของผู้ขายและการบริการหลังการขาย ผู้เขียนจะให้ความสำคัญกับปัจจัยนี้มากที่สุด เพราะว่าเครื่องปั่นไม่ว่าจะยี่ห้อไหน แพงแค่ไหน มีโอกาสชำรุดได้ตลอด ด้วยการหมุนที่ความเร็วรอบสูง หรือเกิดจากความพลั้งเผลอของผู้ใช้งาน เช่น ลืมช้อนเหล็กในโถทำให้ต้องปั่นเหล็กไปด้วย หรือมีน้ำเข้าเครื่องเป็นต้น ดังนั้น การบริการหลังการขายต้องมีความเชื่อถือได้ ขายแล้วไม่ทอดทิ้งกัน



อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้วราคาของเครื่องก็เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด แต่ไม่จำเป็นต้องราคาต่ำที่สุด แต่ต้องมีความเหมาะสมคุ้มค่าเงิน และเหมาะสมกับการใช้งาน มีความทนทานและมีการรับประกันสินค้าบริการหลังการขายที่น่าเชื่อถือ ประหยัดพลังงานลดโลกร้อน ราคาไม่จำเป็นต้องแพงเป็นหลักหมื่นหลักแสน ก็สามารถหาเครื่องปั่นดีๆ ได้




Create Date : 01 ตุลาคม 2556

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่