เพื่อนๆ คิดว่าการปฏิบัติธรรมของตนเป็นเหมือนหนังเรื่องอะไรกันบ้าง

คุยเล่นๆ หนุกๆ นะ  ไม่ซีเรียส   ไม่เน้นทฤษฎี  เอาความรู้สึกล้วนๆ   555

เอาแบบในบางแง่มุมก็ได้  หรือจากหนังบางตอนก็ได้นะ

ของเราคงเหมือน edge of tomorrow ในแง่ที่แบบแพ้กิเลสตลอดเลยอะ  ต้องทำซ้ำๆ ซากๆ ในเรื่องเดิมๆๆๆ  แต่ก็ต้องฝึกปฏิบัติต่อ  ตายเกิด ตายเกิด ไม่สิ้นสุดเลยแฮะ   ล้มลุกคลุกคลานเหมือนพระเอกเลย  

แต่พอฝึกไปเรื่อยๆ เฮ้ย การปฏิบัติมันดีขึ้นเองอะ   เหมือนกับเป็น skill สกิลหนึ่ง  ที่ยิ่งฝึกบ่อยๆ ทำซ้ำๆ ยิ่งเก่งของมันเอง คล่องขึ้น รู้ทางกิเลสได้ง่ายขึ้น ถึงจะยังโดนกิเลสจัดการก็เหอะ   เพราะพวกมันมากันยั้วเยี้ยเหลือเกินเหมือนไอ่พวกเอเลี่ยนในหนังเลยอะ

หวังว่าวันนึงจะได้ลงไปวางระเบิดอวิชชาเหมือนพระเอกในเรื่องบ้าง  555  เมื่อไหร่หว่า

ขำๆ นะ   แล้วเพื่อนๆ ละ  ให้เดา ต้องมี matrix แหงเลย  หรือแบบประมาณว่า inside out หรือ invisible man ไรเงี้ย  555

ตอบว่า martian หรือ mad max อะไรก็ได้นะ  hang over , GI joe , transformers, aquaman, conan   ไรก็ได้นะ   แต่ขอเหตุผลด้วย
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ไม่รู้เรื่องอะไรดี แต่อยากเอาชีวิตตัวเองไปทำหนังมากครับ

พอดีตอน 8 ขวบ (ป.4)
เรียนวิทยาศาสตร์ แล้วนักวิทยาศาสตร์ต้องเป็นคนช่างสังเกต
เลยลองสังเกตตัวเองว่าเป็นคนช่างสังเกต สรุปไม่รู้ว่าก่อนหน้าเป็นคนช่างสังเกตรึเปล่า
แต่ตอนนั้นก็กลายเป็นคนช่างสังเกตไปแล้ว และเริ่มมีสติระลึกถึงจิตได้
ตอนนั้นยังเป็นเด็กชายกระดาษขาวดำ คิดว่าโลกนี้มีดีกับไม่ดี อยากเปลี่ยนมันให้ดีหมด
จึงคิดเริ่มหาทางครองโลก และเปลี่ยนมันให้ได้

พอ 9 ขวบ (ป.5)
ก็พัฒนาขึ้น สามารถจินตนาการเหตุการณ์ที่เกิดไปแล้ว เพื่อดูสภาพจิต
หรือว่าจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อทำความเข้าใจกับความรู้สึกที่คนอื่นจะมี
เริ่มเห็นความโกรธ รู้สึกร้อนรนเป็นทุกข์ ก็เลยเริ่มโปรแกรมสมองใหม่
สร้างสติขึ้นมาเมื่อมีจิตโกรธ แล้วให้ทำตามปัญญาที่โปรแกรมเอาไว้ตามเหตุผล
จึงละโกรธได้บางรูปแบบ ตอนนั้นโปรแกรมเรื่องโกรธจากเรื่องไม่จริงเอาไว้
เช่น พ่อมึนตาย (พ่อผมยังอยู่ พูดไปพ่อผมก็ไม่ได้ตาย ไม่รู้จะโกรธทำไม)
ไอ้วารานุส (ผมก็เป็นคน ด่ายังไงก็ไม่กลายเป็นวารานุส ไม่รู้จะโกรธทำไม)
ได้ดูหนังซีรี่ส์ Small Wander เป็นเด็กหุ่นยนต์ ตอบทุกอย่างเป็นเปอร์เซ็นต์
เลยเริ่มพยายามทำบ้าง โดยค้นข้อมูลย้อนหลังในสมอง แล้วดูสิ่งที่เจอ กับสิ่งอื่น แล้วหารเป็นเปอร์เซ็นต์
(ความแม่นยำประมาณ +- 20% และขึ้นกับประสพการณ์ในเรื่องนั้นมาก ความแม่นยำก็เพิ่ม)

พอ 10 ขวบ (ป.6)
ได้เรียนรู้เรื่องสถิติ การเรียงสับเปลี่ยน ทำให้จิตนาการหาเหตุได้มากขึ้น
เริ่มเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เริ่มจินตนาการตอนที่ครองโลกได้ก็คงจะไม่มีความสุข
แถมส่วนใหญ่พวกพยายามจะครองโลก มักครองโลกไม่ได้ และจุดจบไม่สวยทั้งนั้น - -.
ต้องแบกรับภาระคนอื่น เริ่มค้นหาว่าต้องการอะไร พบว่ารู้สึกอยากเป็นที่รัก
เลยพยายามพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น ให้คนรักเรามากขึ้น อยากเป็นกระดาษขาว
คุณทวดตาย เริ่มรู้จักความตาย กลัวกับความตายอยู่ 2 วันเต็ม
ผลสุดท้ายก็ได้ปัญญามา 2 ข้อ โปรแกรมเพิ่มให้สมองอัตโนมัติไป
1. กลัวตายแค่ไหนก็ต้องตาย และไม่รู้จะมีชีวิตถึงเมื่อไหร่
งั้นในระหว่างมีชีวิตก็อย่าพึ่งไปกลัวมันเลยเดี๋ยวขาดทุน
2. ขอมีชีวิตอย่างมีคุณค่าดีกว่าตายไปอย่างไร้ค่า
จากที่โปรแกรมไว้ ทำให้เราสามารถทำดีได้แม้ว่าจะต้องตายก็ตาม
จุดหมายในชีวิตคือการเป็นคนดีขึ้นเรื่อย ๆ

พออายุ 11 (ม.1)
เข้าใจทฤษฎีสัมพันธภาพ พบว่าไม่มีดีแท้ ไม่มีชั่วสมบูรณ์
เราไม่สามารถเป็นกระดาษขาวได้แล้ว จุดหมายในชีวิตหายไป กลายเป็นเด็กชายกระดาษหลากสี
รู้สึกว่าไม่มีความต้องการที่จะต้องอยู่ในโลกอีกแล้ว เริ่มคิดหาทางตายแบบไม่ทรมาน
แต่พอเริ่มจินตนาการว่าตายแล้วจะเป็นยังไงต่อ แม่เสียใจ ครอบครัวเสียใจ
และที่เรียนมาในพุทธศาสนาพบว่า ตายแล้ว ต้องมาเกิดใหม่อีก (ตายเพื่ออะไรเนี่ย!!?)
แต่มีนิพพาน ที่ทำให้ตายแล้วตายเลยได้ ไม่ต้องมาเกิดอีก แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรทำยังไง
รู้สึกว่ามีความรู้ไม่พอ เลยตั้งเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิต ค้นหาว่านิพพานคืออะไร เราคืออะไร โลกนี้คืออะไร
และไหน ๆ ก็จะฆ่าตัวตายแล้ว ขอให้ตัวเราในตอนนั้นที่มีเพื่อตัวเราตายไปเลยละกัน
จากนี้ไปจะได้มีชีวิตเพื่อคนอื่น ขอสร้างตัวตนอื่นขึ้นมา เริ่มโปรแกรมตัวตนใหม่
เลือกนำลักษณะตัวละครจากในการ์ตูนที่ชอบมายำเป็นตัวเองขึ้นมาใหม่ บางอย่างก็เลียนแบบเพื่อนเอา
เนื่องจากเราทำความเข้าใจจิตของผู้อื่นได้จากการจำลองเหตุการณ์ ทำให้เข้าใจเหตุและผล
จึงสามารถทำให้เราเลียนแบบคนอื่น ๆ ได้ง่าย เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้ไว ประยุกต์ใช้ผสมผสานต่อยอดได้
แต่เป้าหมายที่จะไปถึงนิพพานไม่พอ เพราะต้องสร้างเป้าหมายให้ระหว่างมีชีวิตว่าจะอยู่ด้วยอาชีพอะไร
สำหรับคนที่โปรแกรมตัวเองได้ จะทำอาชีพอะไรก็ได้ มันก็เลยเลือกยากเหมือนกันว่าจะเป็นอะไรดี
เลยลองค้นในจิตก็พบคำตอบว่า เกมส์ คือสิ่งที่เราชอบที่สุด ดังนั้นเป้าหมายในชีวิตรองลงมาคือการสร้างเกมส์

พออายุ 12 (ม.2)
ได้เล่นเกมส์ภาษาเกมส์แรกคือ Final Fantasy I ก็เริ่มคิดว่าเกมส์แบบนี้แหละ
จะเป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อเกมส์ทุกแบบได้ และสามารถนำมาทำออนไลน์ได้
และถ้าทำเกมส์ออนไลน์ได้ ย่อมสามารถสร้างเนื้อหาที่ครอบงำความเชื่อผู้คนได้
เริ่มเห็นช่องทางในการครองโลกได้ จึงเริ่มศึกษาข้อมูลในการทำเกมส์ออนไลน์
ฝึกวาดการ์ตูน ฝึกวิเคราะห์ความเพราะของเพลง จินตนาการฉากแอ๊คชั่น (เหยียบข้ามไหล่ หัว ของจาก็มีนะ)
และมีโอกาสได้ไปเข้าค่ายสีน้ำที่วัดป่าทางภาคใต้ จะเป็นการปฏิบัติธรรม และวาดรูปสีน้ำด้วย 3 วัน 2 คืน
รู้สึกจิตสงบดีมากจนวันสุดท้ายช่วงสายก่อนกลับ เจ้าอาวาสมาให้นั่งเพ่งลูกแก้วแล้วจำแสงแวววาวไว้
จากนั้นก็ให้นั่งสมาธิหลับตานึกถึงแสงนั้นเอาไว้ เคลื่อนไปตามร่างกายต่าง ๆ แล้วก็กลับมาที่เดิม แล้วหยุด
แล้วนั่งสมาธิต่อไปเรื่อย ๆ (มารู้ภายหลังว่าน่าจะเป็นกสิณขาวแต่ไม่มั่นใจนะครับ) พอท่านให้ลืมตา
สิ่งที่เห็นด้วยจิตที่สงบไม่มี โลภ โกรธ หลง ครั้งแรก มันทำให้สิ่งที่เห็นเปลี่ยนไปครับ
ผมเห็นการเคลื่อนไหวของป่าทั้งหมด ใบไม้ทุกใบ นกบินผ่าน คนขยับเคลื่อนไหว พร้อมกันหมดโดยไม่มีจุดโฟกัส
มันจึงเป็นการเห็นหมดแบบเบลอเล็กน้อย (เข้าใจแล้วว่าในหนังพอมันจิตสงบ ทำไมถึงหลบหมัดได้หมด
เพราะไม่หลงโฟกัสตามหมัดเท้าที่ต่อยเข้ามาจุดเดียว แต่เห็นทุกหมัด ทุกเท้าที่เข้ามาพร้อมกัน จึงหลบได้หมด)
แล้วพระท่านก็ให้ย้ายที่ไปยังอุโบสถ จิตยังรู้สึกว่าอยู่ในภาวะสงบอยู่ ระหว่างรอมีนักเรียนคนอื่นมาชวนเล่นทายหัวก้อยครับ
ปรากฏว่าเดาถูกไป 5 ตา เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีพลังพิเศษหรือ ถึงได้ทายถูก 5 ตาติด (ปกติไม่เคยเกิน 4)
พอทายถูกถึง 7 ตา เริ่มมั่นใจแล้วว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา เลยเริ่มดูจิตตัวเองว่าเรารู้จากอะไร
คิดว่าน่าจะเดาจากด้านเริ่มต้น แรงดีด แล้วจินตนาการเหรียญหมุนได้ แล้วดูจากภาพติดตาของเหรียญก่อนที่จะปิดมือ
ผ่านไป อีก 3 ตาจน 10 ตา ก็พบว่าสิ่งที่ตอบ ไม่ตรงกับในหัวตามที่ไล่ดึงตรวจสอบย้อนหลังทุกครั้ง
จึงสรุปว่าเราไม่ได้ใช้สมองคิดแล้ว งั้นเรารู้ได้ยังไง? เลยลองเริ่มเดาคำตอบล่วงหน้าครับ
ตาที่ 11 ก็ถูกและเดาผลของตาที่ 12 ไว้ พอตาที่ 12 ก็เดาผลตาที่ 13 14 ไว้ครับ
พอตาที่ 13 ก็เดาผลของตาที่ 15 เอาไว้ พอผลของตาที่ 13 ยังถูก จิตเริ่มยินดีกับพลังพิเศษ
สภาวะสงบของจิตก็หมดไป ผลของตาที่ 14 และ 15 ก็ยังคงถูกอยู่ แต่ตาที่ 16 ผลที่เดาก็ผิดครับ
หลังจากนั้นเล่นตาที่ 17 ก็ผิด จนมาถูกตาที่ 18 แล้วก็ผิดตาที่ 19 กับ 20 จึงรู้สึกว่าพอละ
ทีนี้ก็พยายามหาที่มาครับ ว่าเรารู้ได้ยังไง แม้กระทั่งเดาล่วงหน้าหลายครั้งก็ยังเดาได้ถูก
คำตอบที่พอเป็นไปได้ ถ้าเราไม่ได้ใช้สมองคำนวณล่ะ แต่ใช้ใจคำนวณ?
เคยดูหนังประเภทพระเอกนางเอกสมองเสียหายความจำเสื่อม แต่ยังจำคนที่รักมากได้อยู่ไหมครับ?
ถ้าความทรงจำไม่ได้มีแค่ที่สมอง แต่มีในใจ หรือวิญญาณล่ะ ถ้ามันสามารถคำนวณได้เร็วกว่าสมองล่ะ
ด้วยความรู้ตอนนั้นก็คิดได้เท่านั้นครับ แต่เริ่มรู้สึกว่าความสามารถพิเศษในโลกนี้ มันอาจจะมีจริง ๆ ก็ได้
กลับจากค่ายก็ลองไปหาพระไตรปิฏกอ่านในห้องพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าศัพท์ยากแฮะ ไม่รู้เรื่องเลย

พออายุ 13 (ม.3)
ได้เรียนคอมพิวเตอร์ช่วงปิดภาคเรียน และได้รู้ว่าจะทำเกมส์ต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ จึงตั้งเป้าหมายในชีวิตเป็นโปรแกรมเมอร์
พัฒนาระบบการมองจากมุมมองอื่น ในการ์ตูนหรือหนังอาจจะเรียกว่า eagle eye หรือ eye from the sky
ปกติตาเรารับแสงมาแล้วประมวลผลเป็นภาพในจินตนาการตามที่ตาเห็น เป็นมุมมองจากตาเรา
เนื่องจากผมจะจินตนาการเห็นภาพการเคลื่อนไหวล่วงหน้าของลูกบอล รถยนต์ คน อยู่ก่อนแล้ว
ทำให้สามารถจินตนาการเห็นสิ่งต่าง ๆ หมุนรอบได้ (คงเพราะดูโมเดลหมุนในเกมส์บ่อย ๆ เลยชินกับการหมุนอย่างอื่น)
ดังนั้นผมจึงสามารถจินตนาการตัวเองว่าเป็นวิญญาณที่ลอยออกจากร่างกายไปแล้วเห็นภาพจากมุมของวิญญาณนั้นได้
เพราะมันก็แค่หมุนสิ่งต่าง ๆ ไปในมุมอื่นพร้อม ๆ กันนั่นเอง แล้วก็ลองหายตัวไปมองในมุมอื่นเลยในทันทีก็ปรากฏว่าทำได้
เวลาเห็นภาพมุมอื่นจะมองไม่เห็นด้านหน้า ต้องดูสลับไปมา แต่ถ้ามีอะไรเคลื่อนไหวไวดูจะเป็นอันตรายมันจะตีกลับมาด้านหน้าอัตโนมัติ
ผมนำมุมมองแบบนี้มาใช้ในการเล่นกีฬา แต่พัฒนาให้จินตนาการเห็นสิ่งที่อยู่ด้านหลังเพิ่มแทนจากการมองมุมอื่นจะได้เห็นพร้อม ๆ กัน
แล้วอัพเดตตำแหน่งด้านหน้าจากการมอง อัพเดตตำแหน่งจากด้านหลังจากเสียงฝีเท้า (ความแม่นยำพอประมาณขึ้นกับสภาพจิตด้วย)

พออายุ 14 (ม.4)
ในวันเกิดปีนี้ผมตั้งใจจะเริ่มโปรแกรมตัวเองให้เปลี่ยนแปลงเป็นคนดีขึ้น โดยจะเปลี่ยนปีละอย่างในวันเกิด
(พอดีตอนม. 3 ถูกโหวตว่าเป็นเพื่อนที่ไม่ชอบมากที่สุดอันดับที่ 2 เลยรู้สึกอยากเปลี่ยนตัวเอง)
สิ่งที่ผมเลือกจะเปลี่ยนเป็นสิ่งแรกคือ ลดความโกรธ ผมจำจิตที่โกรธได้แล้ว
ผมก็ตั้งจิตเอาไว้ว่า ถ้าโกรธขึ้นมาเมื่อไหร่ ให้ดูว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง
กรณีไม่จริง เช่น พ่อมึนตาย หรือไอ้วรนุส เค้าว่ามาก ๆ ก็ใช่ว่าพ่อเราจะตายจริงหรือกลายเป็นวรนุส ก็เลิกโกรธซะ
กรณีจริง เค้าพูดความจริง เค้าก็ไม่ผิดนี่ จะโกรธเค้าทำไม ควรจะนำมาปรับปรุงตัวแทน ต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำ
ผมได้เรียนชีววิทยา เกี่ยวกับการทำงานของร่างกายตัวเอง จึงพบว่ากายเราเหมือนเครื่องจักรชีวภาพ
ที่ถูกออกแบบมาอย่างดี เลยเริ่มไม่เชื่อเรื่องที่อยู่ดี ๆ โลกเราก็บังเอิญเกิดมา สิ่งมีชีวิตบังเอิญเกิดมา
ต้องมีใครสร้างร่างกายเราขึ้นมาแน่นอน และก็เริ่มพัฒนาการใช้ศักยภาพของร่างกายขึ้นมา
เริ่มฝึกเพ่งสมาธิไปที่สัมผัสใดสัมผัสหนึ่งให้ทำงานได้เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ
เริ่มจากหูฝึกให้สามารถได้ยินเสียงได้ไกลขึ้น ได้ยินเสียงที่เบามากขึ้น และเลือกสนใจเสียงบางเสียงได้
แต่ที่ยากสุดคือพยายามฟังเพื่อนรอบ ๆ ห้องว่าคุยเรื่องอะไรพร้อม ๆ กัน ทำได้ไม่นานรู้สึกเหนื่อย
และเหมือนจะได้ยินแค่สองสามจุด เหมือนสมองจะประมวลความหมายจากเสียงหลายแหล่งได้ไม่ทัน
บางครั้งจิตก็สนใจไปกับเสียงจุดใดจุดหนึ่งนั้นจนละเลยจุดอื่นอีก (กับการมองก็เป็น)
ต่อมาก็ฝึกจมูก ให้รับกลิ่นและจำกลิ่นเพื่อแยกแยะกลิ่นได้ดีขึ้น เวลาได้กลิ่นอาหารจะพอบอกได้ว่าใส่อะไรบ้าง
แล้วก็ฝึกลิ้น ให้แยกแยะรสชาติของสิ่งต่าง ๆ ได้ ทำให้รู้ว่าเวลากินอาหารแล้วมันประกอบจากอะไรบ้าง
แต่ก็ไม่ถึงขนาดการ์ตูนอาหารที่บอกได้ทุกอย่าง แต่พอบอกส่วนประกอบส่วนใหญ่ได้ครับ
ฝึกการสัมผัสด้วยมือ เพื่อรับรู้แรงสั่นสะเทือนที่สะท้อนกลับมาจากการเคาะหรือสัมผัส
เริ่มจากใส่ของในกล่อง แล้วลองเคาะหรือสัมผัสเพื่อดูแรงสะท้อนกลับมากับฝ่ามือ
ทำให้เริ่มแยกแยะของเหลว รูปทรงคร่าว ๆ ของสิ่งที่อยู่ด้านในได้ พอจะบอกได้ว่ากำแพงกลวง พรุน ตัน ตรงส่วนใดบ้าง
แต่ว่ารู้ได้บริเวณรอบฝ่ามือประมาณ 2 เซนติเมตรเท่านั้น และก็ไม่ได้ละเอียดมาก
ฝึกรับรู้ลมที่สัมผัสกับร่างกาย ทำให้พอจะจินตนาการเห็นเส้นทางลมรอบ ๆ ตัวบริเวณ 1 - 2 ฟุตออก ถ้ามีลมแรง ๆ นะครับ
ส่วนการมองเห็นนั้นพัฒนามาก่อนหน้านั้นแล้ว ที่ใช้หนัก ๆ ก็จินตนาการภาพสามมิติซ้อน
ทำให้การเรียนวิชาน่าเบื่อกลายเป็นวิชาที่ดูตื่นตาตื่นใจได้ อย่างวิชาประวัติศาสตร์ที่กลายเป็นหนังสงครามแบบ Lord of The Ring
หรือวิชาเคมี ก็ช่วยให้จินตนาการเข้าใจองค์ประกอบของอะตอม ธาตุ สารประกอบได้
วิชาเลขก็เห็นภาพช่วยเพิ่มความเข้าใจ เห็นตัวเลขย้ายตำแหน่ง หายไป เพิ่มขึ้น เหมือนมีกระดาษทดในสมองแบบ 3 มิติ
วิชาชีวะ ช่วยให้จินตนาการเห็นกล้ามเนื้อ อวัยวะภายในของมนุษย์ได้
วิชาฟิสิกส์ ช่วยให้เข้าใจหลักการเคลื่อนที่ และจินตนาการเห็นอนาคตของการเคลื่อนที่สิ่งต่าง ๆ ล่วงหน้าได้แม่นยำขึ้น
ผมเลือกเรียนวิชาเลือกเป็นพิมพ์ดีด เพื่อจะได้ใช้ตอนเป็นโปรแกรมเมอร์
เริ่มหัดวาดการ์ตูนกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่เห็นว่าวาดรูปเก่ง

พออายุ 15 (ม.5)
ในวันเกิดปีนี้ สิ่งที่ผมตั้งใจจะเปลี่ยนคือ จะไม่โลภในของของคนอื่น
เพราะถ้าไปอยากได้ของคนอื่นเขา ไปขโมยก็ติดคุก และก็ต้องทะเลาะกับเจ้าของอีก
ซึ่งสุดท้ายแล้วเราไม่ทำอยู่แล้ว จะเสียเวลาไปอยากได้ทำไม
สู้เอาเวลาไปอยากได้ในสิ่งที่ยังไม่มีเจ้าของ หรือเค้าขายให้เราจะดีกว่า

ต่อใน ตอบกลับ นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่