เริ่มต้นการเดินทาง (กับเจ้าสัว)
หลังจากวันนั้น ผ่านไปได้สามถึงสี่วันผมก็ได้ค่าแรงเป็นของตัวเองครับวันละ 150 บาท ไม่ใช่น้อยเลยนะครับ แต่ถึงผมได้เงินมา ตอนเช้าผมก็ควักเงินให้แม่เอาไปเก็บครับเพราะผมคิดว่าแม่จำเป็นต้องใช้เงิน และเจตนาของผมก็เป็นแบบนั้นอยู่ก่อนแล้ว
ทีนี้ผมก็ไปทำทุกวันครับ สัปดาห์แรกๆก็จับแต่ถุงกับกวาดพื้นครับ นานๆจะไปส่งของครับ การไปส่งของก็ไม่มีอะไรมาก ยี้ห่อรถอะไร ทะเบียนอะไร บางครั้งเข็นเลยก็มี หาไม่เจอเพราะเข็นอยู่ผิดฝั่งก็มี จนคนเฝ้ารถตะโกนมา “ทางนี้ไอ้หนู” ก็ส่งของขึ้นรถง่ายๆกันไป
มีอยู่วันหนึ่งช่วงเช้าตรู่ ป้าผมบอกให้เดินตามลูกค้าไป เพื่อรับเงินจากลูกค้าเพื่อชำระค่าของ ไอ้ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เดินตามไปถึงรถลูกค้า ลูกค้าก็บอกว่าถือเงินดีๆหละเดี๋ยวหล่นหาย ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอควักออกมาเท่านั้นแหล่ะ แบงค์ 500 ตั้งหลายใบ ตกเป็นเงินประมาณ สองหมื่นบาทได้ ผมนี้ถือเงินมือสั่นๆเลยอะ อยากจะรีบเดินเอาเงินไปให้ป้าไวๆ กลัวเงินหาย 5555
หลังจากคล่องตัวแล้วก็โกยสิครับ ไอ้เรื่องโกยนี่ผมเชื่อตัวเองว่าถนัดอยู่แล้วปรากฏว่า ความยากมันไม่ได้อยู่ที่ตอนตักครับ ความยากมันอยู่ที่ เทยังไงให้พอดีปากถุง เพราะพลั่วมันคมครับกลัวเอาไปเฉือนนิ้วคนถือ 555...บางครั้งผมก็ชอบแกล้งเด็กใหม่เหมือนกันนะคือเอาไปจ่อใกล้ๆ เขาก็เสียวกันแล้ว
มีอยู่บางวันพี่ๆเขาไม่อยู่ที่ร้าน ก็จะไม่มีคนถ่ายของลงจากรถสิบล้อ ผมก็เลยลองขึ้นไปทำดู มันก็แค่เหวี่ยงตระขอลงไปเท่านั้นแหล่ะหว้า...ปรากฏว่า ยกไม่เป็น 555 หอยกระสอบนึงก็ ห้าสิบโลกว่าๆเท่านั้นครับ ขายหน้าไปพี่เขาก็ขำกัน ไอ้เราก็ขำตัวเอง ทำไม่เป็นก็ดันริจะทำ เกี่ยว ยก ไม่เป็นเอ้า เข็นก็ได้ ปกติเวลาเข็นเต็มที่ก็ ร้อยโล มาวันนี้เล่นของหนัก สามร้อยโลเลย ต้องบอกก่อนว่า รถเข็นมันเป็นแบบยาวๆนะครับ จะมีทั้งยาว สองล้อและสี่ล้อ ตอนนั้นน้ำหนักตัวผมน่าจะ 40 โลเห็นจะได้นะ......เข็นไม่ไปครับ ก็เลยหันไปบอกพี่ๆเขา “ช่วยยกตูดหน่อยดิคร๊าบบบ” พอยกเท่านั้นแหล่ะง่ายเลย หลักการก็เหมือนไม้กระดกนั้นแหล่ะครับ
ช่วงโหดสุดของการทำงานน่าจะเป็นช่วงเทศกาลกินเจครับ คือ เหมือนไม่มีแรงไปทำงานอะ ก็งานมันต้องใช้แรงแต่กินแค่ผักกับข่าว แรงเสริมผมเลยเป็นข้าวต้มมัดมือดึก ก็เอาอยู่แหล่ะ 9 คืนอะครับ
ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเลิกไปช่วยงานป้าผมเพราะอะไรแต่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นปีสองผมเรียนภาคเช้านะ ทำให้ขาดรายได้ให้แม่ไปเลย ในระหว่างนี้ผมก็ไปช่วยแม่แล้วก็กลับบ้านนอนตอนตีสาม บางครั้งงานที่โรงเรียนเยอะผมก็จะกลับมานั่งทำต่อ เช้าแล้วค่อยไปเรียน
ในระหว่างนั้นเพื่อนผมก็มีเข้ามาคุยว่า สนใจจะทำงานเซเว่นอีเลเว่นมั้ย...สนดิ แล้วต้องทำอะไรบ้างหละ เพื่อนก็บอกว่าเดี๋ยวไปสมัครด้วยกัน ก็เตรียมหลักฐานปกติ กรอกแบบฟอร์มสมัครงาน part-time ในแบบฟอร์มนั้นถามว่า คุณจะทำงานกี่ชั่วโมงและเวลาไหน ผมนี้ตอบไปเลย แปดชั่วโมง...5555 เวลาก็ สี่โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ส่งใบสมัครรอสัมภาษณ์........ผลปรากฏว่า ไม่ผ่าน แต่เพื่อนผมผ่าน เอ...ยังไง กรูไม่ผ่านอะ เพื่อนผมก็รอไปอบรมครับ มันก็บอกผมว่าลองดูใหม่แล้วให้ลดเวลาลง ผมก็เลยลองดู คราวนี้ไปสมัครใหม่คนเดียว ก็เขียนเหมือนเดิมครับ แต่เปลี่ยนเวลา เป็นสี่ชั่วโมงแทน เริ่มงานหกโมงเย็น เลิกเที่ยงคืน คราวนี้ผ่าน เย้ๆได้ลองทำงานที่ไม่เกี่ยวกับญาติแล้ว
ผมนี่ก็ช่างเป็นคนที่อ่อนต่อโลกจริงๆครับ ไอ้สถานที่อบรมพนักงานใหม่ตอนนั้นอะครับเวลาไปนี่ต้องนั่งรถผ่านโรงเรียนคู่อริด้วย แล้วที่ไปอบรมก็ต้องใส่ชุดนักเรียน 555 วันแรกไปก็ไม่ทันคิดรถติดตั้งแต่สี่แยกบางนา เวลาก็ใกล้จะเข้าอบรมแล้ว....ถ้าไม่ลงเดินคงไม่ทันแน่ เอา เดินก็เดินวะ
ผมนี่รู้สึกโชคดีจริงๆ ตอนเริ่มเดินมีนักเรียนโรงเรียนอื่นลงเดินกันเยอะแยะ ทั้งชุดนักเรียน ชุดช๊อป ชุดลูกเสือ เดินกันเต็มสองข้างถนน เดินไปทั้งชายหญิง ผมนี้นึกในใจเลย เมิงเดินกันเฉยๆไม่เป็นรึไงวะ มองหน้าตรูอยู่ได้ ผมก็ไม่อยากสนใจอะไร รีบเดินเพราะเวลาจวนเจียน เดินไกลมาก ประมาณ หกถึงเจ็ดป้ายได้มั้ง ผมเดินไปสักพักใหญ่ก็เดินไปเกือบถึงหน้าปากซอยแห่งหนึ่ง นักเรียนที่เดินตามผมมาส่วนใหญ่เดินเข้าซอยนี้กัน ผมก็ไม่ได้สนจนเดินมาถึงหน้าปากซอยเห็นป้ายชื่อโรงเรียน เท่านั้นแหล่ะ ขาเริ่มอ่อนแบบอัตโนมัติ สำนึกรู้บางอย่างแล่นขึ้นสมอง มันบอกว่ารีบโกยเถอะครับ เดี๋ยวจมตีนอยู่แถวนี้แน่นอน ตอนนั้นผมเดินไม่เหลียวหลังเลยอะ...กลัวววว
สุดท้ายก็มาทันเวลา อบรม แหม...มีเพื่อนอบรมกันเก้าถึงสิบคนได้ครับ พี่ที่มาอบรมให้ก็ใจดีครับวันแรกก็เล่าประวัติความเป็นมา ช่วงบ่ายก็แนะนำอุปกรณ์ภายในร้าน ตู้แช่ต่างๆ จบแหล่ะโดดเรียนหนึ่งวัน พอวันที่สองนี่เตรียมพร้อมแล้วหาชุดมาเปลี่ยน...5555 ไม่พลาดๆเรื่องแบบนี้อย่าเสี่ยง วันที่สองเป็นการแนะนำเครื่องคิดเงินกับสินค้าที่ไม่สามารถยิงสแกน บาร์โค๊ดได้ครับ ช่วงบ่ายของวันนั้นก็เล่นบทบาทสมมุติกัน ผลัดกันลองคิดเงินด้วยเครื่องพร้อมแนะนำแท็กติกการใช้ปุ่มก็สนุกดีครับ จบวันที่สองเราก็จะได้รู้ว่าเราจะได้ไปลงที่สาขาไหน ต้องบอกก่อนว่าสมัยนั้นไม่มีนโยบายทำงานใกล้บ้าน ผลสรุปมาว่าผมได้ไปทำที่สาขาวัดด่านสำโรงด้านท้ายซอยฝั่งถนนศรีนครินทร์ ผมนี่โชคดีได้ทำงานกะพี่อีกคน สวย ขาว น่ารักด้วย...แหมจะโชคดีอะไรปานนั้น
ก่อนเริ่มงานจริงต้องมีไปรายงานตัวก่อนตอนเช้าครับ...เอทำไมพี่เขายังไม่มานะ รออยู่ครึ่งชั่วโมงได้...เพราะพี่เขาบอกไว้ว่าให้เข้าไปด้วยกัน แหมมาบอกเอาที่หลังว่า พี่ขอโทษนะเอก พี่ขอย้ายไปทำที่หน้าปากซอยบุญศิริ หน้าโรงเรียนนายเรือ โธ่เศร้าเลยอะ อดทำงานกะคนสวยเลย555
ผมลืมบอกไปอีกอย่าง ทั้งหมดที่พูดมานี่ ผมยังไม่ได้ขอแม่เลยอะ………..ทำไงดี
ค่าแรงตอนนั้นชั่งโมงละ 21 บาทก็ตกวันละ 84 บาท เดือนละ 2016 บาท ก็เอาตัวเงินไปคุยกับแม่ คำตอบที่กลับมามีอย่างเดียว เลิกจากเซเว่นแล้วต้องมาช่วยแม่ขึ้นร้านต่อนะ แล้วค่อยกลับไปนอน ผมไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการได้ทำงานอะครับ ก็ตอบตกลงแม่ไป โดยไม่ได้คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น
วันแรกเริ่มงาน...สู้ๆเว้ยไอ้เอก เอ็งต้องทำได้....แล้วทำอะไรบ้างอะคือไม่รู้เลยครับ ผมเจอพี่แมว พี่แมวเป็นผู้จัดการร้านครับ พี่แมวให้เริ่มต้นง่ายๆไปก่อนครับ กวาดพื้น ถูพื้น ทำความสะอาดชั้นวางสินค้า เช็ดกระจกหน้าร้าน ล้างพรมยางสีแดงในห้องน้ำ ล้างห้องน้ำ เรียงหรือเติมสินค้าที่ขาดทั้งที่ชั้นวางสินค้าและตู้แช่ (หนาวมาก) อาทิตย์แรกผ่านไปอย่างช้าๆเพราะรู้สึกเวลาผ่านไปช้ามาก
จุดที่สร้างปัญหาให้ผมในการทำงานคือผมเป็นคนขี้เกรงใจครับพอถึงเวลาใกล้เลิกงานรึเลิกงานแล้วผมจะยังไม่กลับทันที แต่จะให้เลยเวลาไปหน่อยค่อยกลับ แต่บางครั้งไอ้เลยเวลามาหน่อยนี่ก็ไม่หน่อยนะ มันติดพันอะกินเวลาเราไปชั่วโมงแหน่ะ แหงนหน้ามองเวลา..อ้าวเฮ้ย ซวยแล้วไง ผมต้องรอรถเมล์สาย 145 เพื่อกลับบ้านครับ ช่วงห้าทุ่มสมัยนั้นรถน้อยแล้วครับกว่าจะมานี่นานมาก (เอาน่าอย่างน้อยมั่นใจได้ว่าวิ่งทั้งคืน) ปกติผมจะรอรถร้อน ไม่นั่งรถแอร์เพราะเงินผมมีจำกัด คือผมได้เงินเป็นรายวันครับ ต้องใช้ให้พอดีสำหรับไปเรียนแล้วเหลือนั่งรถไปทำงานต่อแล้วต้องกลับบ้านมาช่วยที่บ้านต่อ
เวลาก็พลาด รถอะไรมาก็ต้องขึ้น ถ้าพลาดการไปช่วยงานแม่ อาจลามมาถึงงานเซเว่นด้วย และแล้วรถแอร์ก็มา มาก็ต้องขึ้น นั้นหมายความว่าเมื่อผมลงรถที่ปากน้ำ ผมต้องเดินกลับบ้าน..เอาน่านิดๆ 1.8 กิโลเมตรไม่มีอะไรมากเดินได้อยู่แล้ว สงสัยมั้ยทำไมต้องเดิน จริงๆผมรออยู่ที่ตลาดเลยก็ได้ เหตุผลไม่มีอะไรมาก หนึ่งผมไม่มีโทรศัพท์ บ้านผมก็ไม่มีโทรศัพท์ เพราะงั้นโอกาสหากันไม่เจอมีสูง สองผมกลัวแม่ผมโมโห ประเด็นหลังน่ากลัวกว่าประเด็นแรกอีก เพราะอย่างงี๊ผมเลยเลือกเดิน มากกว่ายืนรออยู่ที่ตลาด การพยายามเดินกลับให้สวนทางกับแม่ แก้ปัญหาได้ดีกว่า การเจอแม่ที่ตลาดพร้อมกับอารมณ์ขึ้น...มันน่ากลัวเอามากๆเลยหละ...ฮืออออออ
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ 1 กิโลเมตรพอดี แต่แม่เห็นผมก่อนเลย เจอปุ๊บแม่ให้พรปั๊บเลย แต่ก็แป๊ปเดี๋ยว สบายใจผมไปไม่โดนให้เลิกจากงานที่เซเว่น เวลาผมมีความกังวลรึทุกข์ใจรึเดือดร้อนอะไรผมไม่เคยบอกแม่ผมหรอก ส่วนใหญ่ผมเก็บมาคิดหาคำตอบเอาเอง ช้าหน่อยแต่มันก็ลงตัวดีไม่มีใครต้องเดือดร้อน เรื่องเงินก็เหมือนกันผมไม่เคยเอ่ยขอมากไปกว่าที่ผมได้ในแต่ละวัน
พอเข้าสัปดาห์ที่สองผมก็ได้เข้าประจำเครื่องชำระเงิน ต้องบอกว่าสมัยก่อนบริการของเซเว่นยังไม่มากเท่าสมัยนี้ เต็มที่แค่ต้องดูแลไส้กรอก อบขนมปัง ก็ง่ายๆทั้งหมดที่อยู่หน้าเคาท์เตอร์อะแหล่ะ ไม่เยอะ แต่....เอกเสียงอะเสียงหายไปไหน....โอ้พี่แมวตะโกนมา แหม วันแรกหน้าเคาท์เตอร์เล่นซะเสียงนี้หายไปเลย เชียร์ลูกค้าซื้อของเพิ่มด้วยสิ....โอ้หน้าเคาท์เตอร์มันเป็นอย่างนี้นี่เองนึกว่าจะสนุกกว่านี้ ตอนจะออกจากเครื่องนี่เครียดครับ เงินมันจะครบรึเปล่านะชีวิตของไอ้เอกน้อย เอ็งมีแค่ค่ารถกลับบ้านนะเว้ยเฮ้ย เล่นเอาเกร็งเลยตอนนับเสร็จแล้วนี้โล่งงงง
อยู่นี่ดีนะครับมีน้ำให้ดื่มฟรี แต่ดันไม่มีเวลาเดินไปดื่ม 5555 ผมก็ดื่มตอนจะกลับบ้านแค่นั้นอะครับ...ผมก็ถามตัวเองนะว่า ทำไมผมต้องพยายามหางานทำด้วยอายุอย่างผมไม่จำเป็นต้องมาดิ้นรนอะไรแบบนี้ก็ได้นี่นา...ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า การที่เราช่วยลดภาระของคนเป็นแม่ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหละครับ
การเดินทางของนายเอก #004
หลังจากวันนั้น ผ่านไปได้สามถึงสี่วันผมก็ได้ค่าแรงเป็นของตัวเองครับวันละ 150 บาท ไม่ใช่น้อยเลยนะครับ แต่ถึงผมได้เงินมา ตอนเช้าผมก็ควักเงินให้แม่เอาไปเก็บครับเพราะผมคิดว่าแม่จำเป็นต้องใช้เงิน และเจตนาของผมก็เป็นแบบนั้นอยู่ก่อนแล้ว
ทีนี้ผมก็ไปทำทุกวันครับ สัปดาห์แรกๆก็จับแต่ถุงกับกวาดพื้นครับ นานๆจะไปส่งของครับ การไปส่งของก็ไม่มีอะไรมาก ยี้ห่อรถอะไร ทะเบียนอะไร บางครั้งเข็นเลยก็มี หาไม่เจอเพราะเข็นอยู่ผิดฝั่งก็มี จนคนเฝ้ารถตะโกนมา “ทางนี้ไอ้หนู” ก็ส่งของขึ้นรถง่ายๆกันไป
มีอยู่วันหนึ่งช่วงเช้าตรู่ ป้าผมบอกให้เดินตามลูกค้าไป เพื่อรับเงินจากลูกค้าเพื่อชำระค่าของ ไอ้ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เดินตามไปถึงรถลูกค้า ลูกค้าก็บอกว่าถือเงินดีๆหละเดี๋ยวหล่นหาย ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอควักออกมาเท่านั้นแหล่ะ แบงค์ 500 ตั้งหลายใบ ตกเป็นเงินประมาณ สองหมื่นบาทได้ ผมนี้ถือเงินมือสั่นๆเลยอะ อยากจะรีบเดินเอาเงินไปให้ป้าไวๆ กลัวเงินหาย 5555
หลังจากคล่องตัวแล้วก็โกยสิครับ ไอ้เรื่องโกยนี่ผมเชื่อตัวเองว่าถนัดอยู่แล้วปรากฏว่า ความยากมันไม่ได้อยู่ที่ตอนตักครับ ความยากมันอยู่ที่ เทยังไงให้พอดีปากถุง เพราะพลั่วมันคมครับกลัวเอาไปเฉือนนิ้วคนถือ 555...บางครั้งผมก็ชอบแกล้งเด็กใหม่เหมือนกันนะคือเอาไปจ่อใกล้ๆ เขาก็เสียวกันแล้ว
มีอยู่บางวันพี่ๆเขาไม่อยู่ที่ร้าน ก็จะไม่มีคนถ่ายของลงจากรถสิบล้อ ผมก็เลยลองขึ้นไปทำดู มันก็แค่เหวี่ยงตระขอลงไปเท่านั้นแหล่ะหว้า...ปรากฏว่า ยกไม่เป็น 555 หอยกระสอบนึงก็ ห้าสิบโลกว่าๆเท่านั้นครับ ขายหน้าไปพี่เขาก็ขำกัน ไอ้เราก็ขำตัวเอง ทำไม่เป็นก็ดันริจะทำ เกี่ยว ยก ไม่เป็นเอ้า เข็นก็ได้ ปกติเวลาเข็นเต็มที่ก็ ร้อยโล มาวันนี้เล่นของหนัก สามร้อยโลเลย ต้องบอกก่อนว่า รถเข็นมันเป็นแบบยาวๆนะครับ จะมีทั้งยาว สองล้อและสี่ล้อ ตอนนั้นน้ำหนักตัวผมน่าจะ 40 โลเห็นจะได้นะ......เข็นไม่ไปครับ ก็เลยหันไปบอกพี่ๆเขา “ช่วยยกตูดหน่อยดิคร๊าบบบ” พอยกเท่านั้นแหล่ะง่ายเลย หลักการก็เหมือนไม้กระดกนั้นแหล่ะครับ
ช่วงโหดสุดของการทำงานน่าจะเป็นช่วงเทศกาลกินเจครับ คือ เหมือนไม่มีแรงไปทำงานอะ ก็งานมันต้องใช้แรงแต่กินแค่ผักกับข่าว แรงเสริมผมเลยเป็นข้าวต้มมัดมือดึก ก็เอาอยู่แหล่ะ 9 คืนอะครับ
ผมจำไม่ได้ว่าตัวเองเลิกไปช่วยงานป้าผมเพราะอะไรแต่ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นปีสองผมเรียนภาคเช้านะ ทำให้ขาดรายได้ให้แม่ไปเลย ในระหว่างนี้ผมก็ไปช่วยแม่แล้วก็กลับบ้านนอนตอนตีสาม บางครั้งงานที่โรงเรียนเยอะผมก็จะกลับมานั่งทำต่อ เช้าแล้วค่อยไปเรียน
ในระหว่างนั้นเพื่อนผมก็มีเข้ามาคุยว่า สนใจจะทำงานเซเว่นอีเลเว่นมั้ย...สนดิ แล้วต้องทำอะไรบ้างหละ เพื่อนก็บอกว่าเดี๋ยวไปสมัครด้วยกัน ก็เตรียมหลักฐานปกติ กรอกแบบฟอร์มสมัครงาน part-time ในแบบฟอร์มนั้นถามว่า คุณจะทำงานกี่ชั่วโมงและเวลาไหน ผมนี้ตอบไปเลย แปดชั่วโมง...5555 เวลาก็ สี่โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ส่งใบสมัครรอสัมภาษณ์........ผลปรากฏว่า ไม่ผ่าน แต่เพื่อนผมผ่าน เอ...ยังไง กรูไม่ผ่านอะ เพื่อนผมก็รอไปอบรมครับ มันก็บอกผมว่าลองดูใหม่แล้วให้ลดเวลาลง ผมก็เลยลองดู คราวนี้ไปสมัครใหม่คนเดียว ก็เขียนเหมือนเดิมครับ แต่เปลี่ยนเวลา เป็นสี่ชั่วโมงแทน เริ่มงานหกโมงเย็น เลิกเที่ยงคืน คราวนี้ผ่าน เย้ๆได้ลองทำงานที่ไม่เกี่ยวกับญาติแล้ว
ผมนี่ก็ช่างเป็นคนที่อ่อนต่อโลกจริงๆครับ ไอ้สถานที่อบรมพนักงานใหม่ตอนนั้นอะครับเวลาไปนี่ต้องนั่งรถผ่านโรงเรียนคู่อริด้วย แล้วที่ไปอบรมก็ต้องใส่ชุดนักเรียน 555 วันแรกไปก็ไม่ทันคิดรถติดตั้งแต่สี่แยกบางนา เวลาก็ใกล้จะเข้าอบรมแล้ว....ถ้าไม่ลงเดินคงไม่ทันแน่ เอา เดินก็เดินวะ
ผมนี่รู้สึกโชคดีจริงๆ ตอนเริ่มเดินมีนักเรียนโรงเรียนอื่นลงเดินกันเยอะแยะ ทั้งชุดนักเรียน ชุดช๊อป ชุดลูกเสือ เดินกันเต็มสองข้างถนน เดินไปทั้งชายหญิง ผมนี้นึกในใจเลย เมิงเดินกันเฉยๆไม่เป็นรึไงวะ มองหน้าตรูอยู่ได้ ผมก็ไม่อยากสนใจอะไร รีบเดินเพราะเวลาจวนเจียน เดินไกลมาก ประมาณ หกถึงเจ็ดป้ายได้มั้ง ผมเดินไปสักพักใหญ่ก็เดินไปเกือบถึงหน้าปากซอยแห่งหนึ่ง นักเรียนที่เดินตามผมมาส่วนใหญ่เดินเข้าซอยนี้กัน ผมก็ไม่ได้สนจนเดินมาถึงหน้าปากซอยเห็นป้ายชื่อโรงเรียน เท่านั้นแหล่ะ ขาเริ่มอ่อนแบบอัตโนมัติ สำนึกรู้บางอย่างแล่นขึ้นสมอง มันบอกว่ารีบโกยเถอะครับ เดี๋ยวจมตีนอยู่แถวนี้แน่นอน ตอนนั้นผมเดินไม่เหลียวหลังเลยอะ...กลัวววว
สุดท้ายก็มาทันเวลา อบรม แหม...มีเพื่อนอบรมกันเก้าถึงสิบคนได้ครับ พี่ที่มาอบรมให้ก็ใจดีครับวันแรกก็เล่าประวัติความเป็นมา ช่วงบ่ายก็แนะนำอุปกรณ์ภายในร้าน ตู้แช่ต่างๆ จบแหล่ะโดดเรียนหนึ่งวัน พอวันที่สองนี่เตรียมพร้อมแล้วหาชุดมาเปลี่ยน...5555 ไม่พลาดๆเรื่องแบบนี้อย่าเสี่ยง วันที่สองเป็นการแนะนำเครื่องคิดเงินกับสินค้าที่ไม่สามารถยิงสแกน บาร์โค๊ดได้ครับ ช่วงบ่ายของวันนั้นก็เล่นบทบาทสมมุติกัน ผลัดกันลองคิดเงินด้วยเครื่องพร้อมแนะนำแท็กติกการใช้ปุ่มก็สนุกดีครับ จบวันที่สองเราก็จะได้รู้ว่าเราจะได้ไปลงที่สาขาไหน ต้องบอกก่อนว่าสมัยนั้นไม่มีนโยบายทำงานใกล้บ้าน ผลสรุปมาว่าผมได้ไปทำที่สาขาวัดด่านสำโรงด้านท้ายซอยฝั่งถนนศรีนครินทร์ ผมนี่โชคดีได้ทำงานกะพี่อีกคน สวย ขาว น่ารักด้วย...แหมจะโชคดีอะไรปานนั้น
ก่อนเริ่มงานจริงต้องมีไปรายงานตัวก่อนตอนเช้าครับ...เอทำไมพี่เขายังไม่มานะ รออยู่ครึ่งชั่วโมงได้...เพราะพี่เขาบอกไว้ว่าให้เข้าไปด้วยกัน แหมมาบอกเอาที่หลังว่า พี่ขอโทษนะเอก พี่ขอย้ายไปทำที่หน้าปากซอยบุญศิริ หน้าโรงเรียนนายเรือ โธ่เศร้าเลยอะ อดทำงานกะคนสวยเลย555
ผมลืมบอกไปอีกอย่าง ทั้งหมดที่พูดมานี่ ผมยังไม่ได้ขอแม่เลยอะ………..ทำไงดี
ค่าแรงตอนนั้นชั่งโมงละ 21 บาทก็ตกวันละ 84 บาท เดือนละ 2016 บาท ก็เอาตัวเงินไปคุยกับแม่ คำตอบที่กลับมามีอย่างเดียว เลิกจากเซเว่นแล้วต้องมาช่วยแม่ขึ้นร้านต่อนะ แล้วค่อยกลับไปนอน ผมไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการได้ทำงานอะครับ ก็ตอบตกลงแม่ไป โดยไม่ได้คิดว่าอะไรจะเกิดขึ้น
วันแรกเริ่มงาน...สู้ๆเว้ยไอ้เอก เอ็งต้องทำได้....แล้วทำอะไรบ้างอะคือไม่รู้เลยครับ ผมเจอพี่แมว พี่แมวเป็นผู้จัดการร้านครับ พี่แมวให้เริ่มต้นง่ายๆไปก่อนครับ กวาดพื้น ถูพื้น ทำความสะอาดชั้นวางสินค้า เช็ดกระจกหน้าร้าน ล้างพรมยางสีแดงในห้องน้ำ ล้างห้องน้ำ เรียงหรือเติมสินค้าที่ขาดทั้งที่ชั้นวางสินค้าและตู้แช่ (หนาวมาก) อาทิตย์แรกผ่านไปอย่างช้าๆเพราะรู้สึกเวลาผ่านไปช้ามาก
จุดที่สร้างปัญหาให้ผมในการทำงานคือผมเป็นคนขี้เกรงใจครับพอถึงเวลาใกล้เลิกงานรึเลิกงานแล้วผมจะยังไม่กลับทันที แต่จะให้เลยเวลาไปหน่อยค่อยกลับ แต่บางครั้งไอ้เลยเวลามาหน่อยนี่ก็ไม่หน่อยนะ มันติดพันอะกินเวลาเราไปชั่วโมงแหน่ะ แหงนหน้ามองเวลา..อ้าวเฮ้ย ซวยแล้วไง ผมต้องรอรถเมล์สาย 145 เพื่อกลับบ้านครับ ช่วงห้าทุ่มสมัยนั้นรถน้อยแล้วครับกว่าจะมานี่นานมาก (เอาน่าอย่างน้อยมั่นใจได้ว่าวิ่งทั้งคืน) ปกติผมจะรอรถร้อน ไม่นั่งรถแอร์เพราะเงินผมมีจำกัด คือผมได้เงินเป็นรายวันครับ ต้องใช้ให้พอดีสำหรับไปเรียนแล้วเหลือนั่งรถไปทำงานต่อแล้วต้องกลับบ้านมาช่วยที่บ้านต่อ
เวลาก็พลาด รถอะไรมาก็ต้องขึ้น ถ้าพลาดการไปช่วยงานแม่ อาจลามมาถึงงานเซเว่นด้วย และแล้วรถแอร์ก็มา มาก็ต้องขึ้น นั้นหมายความว่าเมื่อผมลงรถที่ปากน้ำ ผมต้องเดินกลับบ้าน..เอาน่านิดๆ 1.8 กิโลเมตรไม่มีอะไรมากเดินได้อยู่แล้ว สงสัยมั้ยทำไมต้องเดิน จริงๆผมรออยู่ที่ตลาดเลยก็ได้ เหตุผลไม่มีอะไรมาก หนึ่งผมไม่มีโทรศัพท์ บ้านผมก็ไม่มีโทรศัพท์ เพราะงั้นโอกาสหากันไม่เจอมีสูง สองผมกลัวแม่ผมโมโห ประเด็นหลังน่ากลัวกว่าประเด็นแรกอีก เพราะอย่างงี๊ผมเลยเลือกเดิน มากกว่ายืนรออยู่ที่ตลาด การพยายามเดินกลับให้สวนทางกับแม่ แก้ปัญหาได้ดีกว่า การเจอแม่ที่ตลาดพร้อมกับอารมณ์ขึ้น...มันน่ากลัวเอามากๆเลยหละ...ฮืออออออ
แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ 1 กิโลเมตรพอดี แต่แม่เห็นผมก่อนเลย เจอปุ๊บแม่ให้พรปั๊บเลย แต่ก็แป๊ปเดี๋ยว สบายใจผมไปไม่โดนให้เลิกจากงานที่เซเว่น เวลาผมมีความกังวลรึทุกข์ใจรึเดือดร้อนอะไรผมไม่เคยบอกแม่ผมหรอก ส่วนใหญ่ผมเก็บมาคิดหาคำตอบเอาเอง ช้าหน่อยแต่มันก็ลงตัวดีไม่มีใครต้องเดือดร้อน เรื่องเงินก็เหมือนกันผมไม่เคยเอ่ยขอมากไปกว่าที่ผมได้ในแต่ละวัน
พอเข้าสัปดาห์ที่สองผมก็ได้เข้าประจำเครื่องชำระเงิน ต้องบอกว่าสมัยก่อนบริการของเซเว่นยังไม่มากเท่าสมัยนี้ เต็มที่แค่ต้องดูแลไส้กรอก อบขนมปัง ก็ง่ายๆทั้งหมดที่อยู่หน้าเคาท์เตอร์อะแหล่ะ ไม่เยอะ แต่....เอกเสียงอะเสียงหายไปไหน....โอ้พี่แมวตะโกนมา แหม วันแรกหน้าเคาท์เตอร์เล่นซะเสียงนี้หายไปเลย เชียร์ลูกค้าซื้อของเพิ่มด้วยสิ....โอ้หน้าเคาท์เตอร์มันเป็นอย่างนี้นี่เองนึกว่าจะสนุกกว่านี้ ตอนจะออกจากเครื่องนี่เครียดครับ เงินมันจะครบรึเปล่านะชีวิตของไอ้เอกน้อย เอ็งมีแค่ค่ารถกลับบ้านนะเว้ยเฮ้ย เล่นเอาเกร็งเลยตอนนับเสร็จแล้วนี้โล่งงงง
อยู่นี่ดีนะครับมีน้ำให้ดื่มฟรี แต่ดันไม่มีเวลาเดินไปดื่ม 5555 ผมก็ดื่มตอนจะกลับบ้านแค่นั้นอะครับ...ผมก็ถามตัวเองนะว่า ทำไมผมต้องพยายามหางานทำด้วยอายุอย่างผมไม่จำเป็นต้องมาดิ้นรนอะไรแบบนี้ก็ได้นี่นา...ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า การที่เราช่วยลดภาระของคนเป็นแม่ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วหละครับ