[แบ่งปัน] ผมผิดไหม? ที่ผมเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่ทางที่พ่อเลือก

สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปอีกครั้งครับ

ที่ผ่านมานั้น ผมได้ตั้งกระทู้ปัญหาครอบครัวมาแล้วสองกระทู้ ซึ่งล้วนเป็นปัญหาครอบครัวของผมเอง
ในวันนี้จะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมจะตั้งกระทู้ปัญหา เพื่อแบ่งปัน และขอความเห็นจากเพื่อนๆว่า สิ่งที่ผมเลือกทำนั้น ถูกต้องแล้วหรือไม่?

ท้าวความไปถึงเมื่อปลายเดือน มิถุนายนที่ผ่านมา ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่ผมลาออกจากงานประจำแห่งหนึ่งที่ทำอยู่
เนื่องด้วยเหตุผลของความก้าวหน้า และความมั่นคงในงาน
(กล่าวคือหน่วยงานนี้ไม่มีความมั่นคงใดๆ ซึ่งในฐานะหัวหน้าครอบครัว ผมต้องการงานที่มีความมั่นคงและก้าวหน้ากว่าที่เป็น)
และผมได้นำเงินเดือนงวดที่ได้มานั้น ลงทุนซื้อเครื่องและอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหารมาขายตามตลาดนัด
โดยในระหว่างนั้นก็ได้หางานประจำที่มีความมั่นคงและก้าวหน้าไปในตัวด้วย
(ประมาณว่าว่างจากการขายของวันไหน ผมก็จะไปสมัครและสัมภาษณ์งานไว้เลย)

จนเมื่อผมขายของไปได้สักพักหนึ่งก็พบกับปัญหา ยอดขายของร้านผมที่ทำได้ไม่ตรงตามเป้าหมายนัก
ลูกค้าไม่พอใจในคุณภาพ และความหลากหลายในสินค้าก็มีไม่มากสักเท่าไหร่ ซึ่ง ณ จุดๆนี้ผมเข้าใจดี
มันเป็นช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจ (แม้ผมจะคิดไว้ให้มันเป็นธุรกิจเสริมก็ตาม) ผมเองต้องนำปัญหานี้มาแก้ไขและปรับปรุง
แต่เนื่องด้วยว่างบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้ผมไม่สามารถแก้ไขปัญหา หรือปรับกลยุทธใดๆได้
เป็นอันว่าธุรกิจของผมต้องม้วนเสื่อลงไปชั่วคราว เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับเสถียรภาพของครอบครัวผมไปมากกว่านี้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แต่โชคก็ยังเข้าข้างผมอยู่นิดหนึ่ง เมื่อบริษัทที่ผมเคยทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัดเมื่อ 2 ปีก่อน ติดต่อผมมา
แจ้งว่าที่สาขาหนึ่งในกรุงเทพฯ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านของผม ยังขาดบุคลากรที่มีความสามารถตรงจุดอย่างผมอยู่ 1 ตำแหน่ง
บริษัทนี้ถือว่าสวัสดิการ ความก้าวหน้า และความมั่นคงอยู่ในขั้นที่เรียกว่าดีมากครับ เป็นบริษัทมหาชน
และเจริญเติบโตในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 25 ปี
ผมตัดสินใจไปกรอกใบสมัคร สัมภาษณ์ และเซ็นสัญญาเริ่มงานกับบริษัทแห่งนี้อีกครั้งในวันเดียวกันนั้นเอง
(ผมไปกรอกไปสมัคร / สัมภาษณ์ และเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้มีผลเริ่มงานวันแรกวันที่ 27 กรกฎาคม)

เมื่อผมกลับมาบ้าน ก็ได้จัดแจงตระเตรียมทุกสิ่งอย่างไว้ รอวันที่จะเริ่มงานกับบริษัทแห่งนี้อีกครั้ง
ไม่ว่าจะชุดที่ใส่ งบประมาณที่ต้องใช้ในการเริ่มงานใหม่ รวมไปถึงการควบคุมน้ำหนักเพื่อให้กลับมาสวมใส่เครื่องแบบเดิมได้
ทุกอย่างผมเตรียมตัวไว้เป็นอย่างดี เพราะผมตั้งใจว่าเมื่อกลับไปเริ่มงานกับบริษัทที่ผมเคยทำ ผมก็จะทำตรงนี้ให้ดีที่สุดเรื่อยๆไป

แต่อีกสองวันต่อมา คุณพ่อของผมแจ้งว่า งานรัฐวิสาหกิจตัวหนึ่งที่คุณพ่อเคยติดตามเอาไว้
เรียกตัวให้ผมไปเขียนใบสมัครและสอบสัมภาษณ์ ซึ่งมีผู้หลักผู้ใหญ่ในนั้นแนะนำให้
อีกทั้งยืนยันว่า งานรัฐวิสาหกิจแผนกที่จะไปสมัครนี้มีคนสมัครไม่มาก
สวัสดิการดี เทียบเท่ากับราชการทั่วๆไป ไม่ว่าจะสิทธิรักษาพยาบาล นู่น นั่น นี่ ฯลฯ
และความรู้ที่ผมมีก็ตรงทาง สามารถเข้าได้อย่างแน่นอน พ่อผมยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะเช่นนั้น (คือจะใช้เส้นสายนั่นแหละ)

ด้วยความที่ว่าผมได้งานแล้ว และกำลังอยู่ในสถานะที่เรียกว่า รอปฏิบัติงานอีกไม่ถึงสองสัปดาห์
ผมมีความกังวลว่า ถ้าผมเปลี่ยนไปเลือกงานที่พ่อแนะนำ แล้วขั้นตอนต่างๆมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่พ่อบอกผม
จะทำให้ผมต้องเสียงาน เสียความหน้าเชื่อถือ และต้องอยู่อย่างคนว่างงานที่ไม่มีรายได้นานออกไปอีก
ผมจึงถามแกอย่างตรงไปตรงมา ณ เดี๋ยวนั้นว่า แน่ใจไหมว่าจะได้แน่นอน
เพราะบอกตรงๆว่าผมไม่แน่ใจ ถ้าพลาดขึ้นมาผมจะต้องเสียทุกอย่าง

แกก็พูดติดตลกว่า "ถ้าไม่ได้ก็คงต้องไปขายของเหมือนเดิมแล้วล่ะ ฮ่าๆๆๆ ... เชื่อกูสิ กูบอกว่าได้ก็คือได้"
ผมก็เลย คิดต่อไปอีกนิดว่า เดี๋ยวดูวันสอบสัมภาษณ์ของงานรัฐวิสาหกิจตัวนี้ก่อนว่ามันสอดคล้องกับตารางเริ่มงานใหม่ของผมหรือไม่
เผื่อว่าถ้าสอบก่อนที่ผมจะเริ่มงาน ผมก็จะลองไปสอบดู (บริษัทเก่าผมนัดเริ่มงานวันที่ 27 กรกฎาคม)

ปรากฎว่า วันสอบข้อเขียน และสอบสัมภาษณ์งานรัฐวิสาหกิจนี้ ตรงกับวันที่ 28 กรกฎาคม และวันประกาศผลคืออีก 1 วันถัดมา ...
นั่นหมายความว่า ผมต้องเลือกแล้วว่าจะไปทางไหน เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเลือกไปเริ่มงานที่บริษัทใหม่เพียงวันเดียว
และลาหยุดเพื่อที่จะไปสอบในวันถัดไป (มันเป็นการตัดความหน้าเชื่อถือที่ผมทำไว้กับบริษัทนะ ผมมองแบบนี้)
และด้วยความที่พ่อของผมยืนยันหนักแน่นว่า ยังไงก็ได้แน่นอน ผ่านแน่นอน ทำให้ผมตัดสินใจเลือกงานรัฐวิสาหกิจที่พ่อแนะนำให้

ผมต้องบากหน้าโทรไปหาบริษัทเก่า แจ้งเขาว่าผมไม่พร้อมจะทำงานกับเขา เนื่องด้วยเหตุผลว่างานราชการที่สมัครไว้ติดต่อมาแล้ว
ทางบริษัทผมเขาก็อธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ใช้อารมณ์อะไรว่า ...

อยากให้คิดดีๆ เพราะการกระทำแบบนี้เป็นการตัดโอกาสเจริญก้าวหน้าของตัวเองต่อบริษัทนี้ แต่ถ้าเลือกแล้วก็ขอให้โชคดี

ผมรู้สึกแย่มาก เพราะมันรู้สึกได้เลยว่า ผมเสียความหน้าเชื่อถือที่เคยทำไว้ไปแล้ว
แต่ด้วยความมั่นคงที่กำลังจะได้มา (ที่พ่อผมว่าอย่างนั้น) ผมยินดี ถ้าสวัสดิการที่ได้นั้นจะทำให้ครอบครัวผมมีความมั่นคงได้

ปรากฏว่าเมื่อถึงวันประกาศผลสอบ คนที่มีชื่อได้รับคัดเลือกเข้าทำงาน ไม่ใช่ผมครับ
ผมที่ว่าจะได้เข้าไปทำแน่ๆ มีรายชื่อเป็นตัวสำรองเบอร์ 1

ผมสลดใจนะ รู้ได้ทันทีว่า ผมพลาดไปแล้ว นี่คือการตัดสินใจที่ผิดไปจริงๆ
แต่สลดใจได้สักพักก็ฮึดสู้ เริ่มหางานใหม่ เพื่อจะเริ่มต้นชีวิตใหม่และสานต่อความตั้งใจที่มี
ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว และธุรกิจเสริมที่ยังรอการรดน้ำพรวนดิน ให้ประสบผลดีต่อไป
แต่ทว่า พ่อของผมไม่หยุดอยู่แค่นั้นครับ แกบอกว่า ทางโน้นติดต่อมายืนยันแล้วว่าได้ อย่าไปอิงกับผลสอบ (มีงี้ด้วย)
ให้รอหน่อย อย่าเพิ่งทำอะไร โดยเอาคำว่าสวัสดิการต่างๆอย่างนั้นอย่างนี้มาเกลี้ยกล่อม
ไอ้ครั้นที่ผมจะปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายไป เพราะแกเองก็ดิ้นรนให้ทุกอย่าง และหวังจะให้ผมได้ทำงานรัฐวิสาหกิจนี้จริงจังมาก
แกเสิร์ฟ แกชง โดยที่ผมเองก็ดูอย่างงงๆ นะ แต่ก็โอเค ตกลงรอตามคำขอของแก

ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์ ล่วงเลยมาจน 1 เดือน เข้าสู่สิ้นเดือนสิงหาคม ผมก็ยังไม่ได้รับข่าวความคืบหน้าใดๆ
ผมจึงเลือกที่จะไปติดต่อสอบถามด้วยตัวเอง ได้คำตอบว่า "เคสของผมยังไม่มีความคืบหน้าใดๆทั้งสิ้น"
ผมเชื่อในคำตอบนี้ เพราะเหตุผลคือเป็นคำตอบที่ได้ จากการไปสอบถามด้วยตัวเอง
ผมกลับบ้านไปพร้อมความตั้งใจที่จะหางานใหม่ และกลับมาบอกกับพ่อผมว่า ผมเลือกที่จะไม่รออีกต่อไปแล้ว
วันนั้นผมกับพ่อจึงทะเลาะกันเล็กๆ พ่อบอกว่าผมไปถามกับพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้อง พวกนั้นจะไปรู้ได้อย่างไร บลาๆๆ
แม้ผมจะเลือกแล้วว่าผมจะไม่รออีก แต่ผมก็อยากให้แกได้เรียนรู้ว่าการรอคอยอะไรลมๆแล้งๆมันให้ผลเสียอย่างไรบ้าง
ผมจึงบอกกับแกไปว่า ...

"ได้ ผมจะรออีก 2 สัปดาห์ ถ้าทางนั้นไม่เรียกมา ถือว่าจบแล้วนะพ่อ ห้ามมีข้อโต้แย้ง"

แกได้ยินดังนั้นก็เงียบไป ไม่พูดไม่ตอบอะไรใดๆ
ไอ้เราก็ เออ แกสงบลงเสียได้ก็ดี ผมไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากให้พ่อผมยอมรับความจริงที่เป็น อย่ายึดติดก็แค่นั้น

และก็ตามฟอร์มครับ ภายในสองสัปดาห์แห่งพันธสัญญา ที่ทั้งผมและพ่อก็ติดต่อสอบถามเรื่อยมา
เป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปโดยไม่มีอะไรคืบหน้าจริงๆ ...

หลังจากนั้นผมไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมขี่รถออกไปตระเวนหางาน
จนกระทั่งวันศุกร์ที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา มีบริษัทแห่งหนึ่ง ตกลงรับผมเข้าทำงาน โดยให้มีผลเริ่มงานในต้นเดือนตุลาคมนี้
ผมดีใจมาก เนื่องด้วยบริษัทนี้เป็นบริษัทอีกแห่งที่มีความมั่นคงมาก มีความเจริญรุ่งเรืองมาหลายสิบปี
และที่สำคัญคือภรรยาของผมเขาจะได้ไม่เป็นทุกข์ (คือที่ผ่านมาเธอทุกข์มากๆครับ เธอหาเงินทางเดียวมาเกือบ 3 เดือน)
แม้กระนั้น ใจผมก็ยังระแวงยิบๆนะว่า ไม่ใช่งานรัฐวิสาหกิจเจ้ากรรมจะมาติดต่ออะไรช่วงนี้หรอกนะ หุหุ

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ขณะที่ผมกำลังขี่รถกลับบ้าน คุณพ่อผมโทรมาถามว่าอยู่ที่ไหน ผมบอกตำแหน่งไปแล้วแกก็บอกว่า ...

"ไปเอาเอกสารยืนยันตัวด้วย ทางโน้นเขาเรียกมาแล้ว"

เฮ้ย!! เดี๋ยวนะ มันใช่รึเปล่าว่า?? นอนว่างงานอยู่บ้านมาสองเดือนไม่เรียก พอวันที่จะขยับตัวทำงานแล้วกลับมาเรียก
แล้วที่เรียกไปเนี่ย ไม่ใช่ว่าได้เริ่มงานนะครับ เรียกไปทำตามขั้นตอนที่เหลือคือยื่นเอกสารส่งตัว, รอตรวจคดี
ซึ่งขั้นตอนพวกนี้เนี่ยใช้เวลาร่วมเดือนน่ะครับ (ข้อมูลนี้ผมได้มาจากเพื่อนที่ทำอยู่)
แปลว่าถ้าผมเลือกที่จะปฏิเสธงานที่เพิ่งได้ไปหมาดๆ ชีวิตผมก็วนเข้าลูปเดิม คือ บากหน้าโทรไปขอโทษเขา และเข้าสู่กระบวนการ "รอ"
และผมก็จะว่างงานไปอีก 1 เดือนเป็นอย่างน้อย

แล้วครอบครัวผม ลูกเมียผมที่ยังรอคำตอบและความคืบหน้าต่างๆของตัวผมเองล่ะครับ? ผมจะตอบพวกเขายังไง?
ผมจึงบอกพ่อไป และทวงสัญญาที่เคยให้กันไว้ ... ก็ตามที่ตกลงนะพ่อ สองสัปดาห์ ล่วงเลยมาแล้วก็ไม่รอ "ผมไม่เอาแล้ว"

ผลที่ได้คือแกโกรธผมมากเลยครับ แกด่าและกระแทกผมว่า "ชีวิตนี้ทั้งชีวิต ก็จะตามเมียอย่างนี้ตลอดไปนั่นแหละ"

ตอนนั้นผมเซ็งมากๆเลยนะครับ ผมมองไม่เห็นความผิดตัวเองทั้งที่พยายามใช้เหตุผลทั้งหมดที่เอามาวางตรงหน้าได้
แต่พ่อเขาไม่ฟังอะไรเลย มีแต่ความเกรี้ยวกราดที่มีต้นเหตุมาจากความผิดหวังล้วนๆ ผมจึงเลือกไม่ตอบโต้อะไรกับแก

และหลังจากวันนั้นแกก็ยังคงมีอาการเช่นเดิมนะครับ บึ้งตึง ปั้นปึ่งต่อผม และบ่นให้แม่ผมฟังทุกวันกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ซึ่งแม่ผมก็ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรตั้งแต่แรก แต่แกต้องกลับมารับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้แกต้องเครียด ไม่พูดจากับผมไปอีกคน

มาถึงตอนนี้ผมอยากทราบความเห็นของเพื่อนๆครับว่า
1.) ผมเลือกที่จะไม่รอตามความปรารถนาของพ่อ ผมผิดไหม?
2.) เพื่อให้สถานการณ์ในบ้านกลับสู่สภาวะปกติ ผมควรตามใจพวกเขาใช่หรือไม่? หรือควรจะปล่อยให้มันเป็นไปแล้วเดี๋ยวจะดีเอง?
(คือผมสงสารแฟนครับ เธอเป็นคนกลาง ที่ต้องมารับรู้เรื่องความขัดแย้งภายในบ้านแล้วคงอึดอัดมาก)
3.) ความคิดเห็นอื่นๆเพิ่มเติมครับ ไม่ว่าจะคำวิจารณ์ต่อเรื่องนี้ หรือเรื่องใดๆก็ตามแต่เพื่อนๆจะกรุณาครับ

ขอบคุณสำหรับทุกความคิดเห็นและขอโทษที่เล่าเรื่องราวเสียยาวเหยียด
ผมตั้งใจว่ากระทู้ปัญหาชีวิตเรื่องนี้จะเป็นกระทู้ปัญหาสุดท้ายที่ผมจะเขียน
เพราะที่ผ่านๆมาผมเขียนแต่กระทู้ปัญหาจริงๆ ซึ่งตัวผมเองอยากจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาดเสียที


ปล.1 - ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ หรือยกเอาครอบครัวมานินทาว่าร้ายนะครับ
ปล.2 - ตำแหน่งงานรัฐวิสาหกิจที่ว่าคือ "ลูกจ้างเฉพาะงานชั่วคราว"
และขอยอมรับทุกคำตำหนิที่ว่าด้วยเรื่องการใช้เส้นสายแต่โดยดีครับ
ปล.3 - ในช่วงของการรอ เพื่อนๆอาจมองว่า ผมดูไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง
ผมเพียงอยากจะบอกว่า ผมแค่ต้องการทำตามประสงค์ของพ่อที่แกหมายมั่นเอาไว้ จนแน่ใจแล้วว่าผิดทางผมจึงถอยออก
ปล.4 - ผมปรึกษากับแฟนไว้ว่าเมื่อลูกสาวเข้าโรงเรียนและหน้าที่การงานของเรามั่นคง เราจะไปใช้ชีวิตเป็นครอบครัวตัวเองจริงๆเสียที
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่