เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ถึง 5 กันยายน ผมได้ไปดูการปล่อยจรวดโซยูส Soyuz TMA-18M ที่ไบโครนัวร์ประเทศคาซัคสถานมาครับ เป็นผลจากการได้รับเลือกจากกิจกรรมในพันทิปกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/33779420/comment60 วันนี้เลยจะมาเล่าเรื่องการเดินทางสุดระทึกใจให้ฟังกันครับ นอกจากกระทู้นี้แล้วยังสามารถติดตามเรื่องราวได้จาก แฮชแท้ก #SinghaInBaikonur ในเฟสบุ้กครับ
เรื่องระทึกใจนี้เริ่มตั้งแต่การขอวีซ่าเลยทีเดียว แม้ว่าฐานปล่อยจรวดไบโครนัวร์นั้นอยู่ในความควบคุมของรัสเซีย แต่ว่าที่ตั้งจริงๆนั้นอยู่ในประเทศคาซัคสถาน เราจึงจำเป็นต้องขอวีซ่าเพื่อไปยังประเทศคาซัคสถานครับ แต่ทั้งนี้การขอวีซ่าเพื่อท่องเที่ยวเนี่ย จำเป็นต้องมีจดหมายเชิญ ซึ่งในที่นี่ คุณว่านน้ำ ไกด์ของเราก็ได้ลงมือติดต่อไปยัง ROSCOSMOS ซึ่งก็คือองค์การอวกาศรัสเซีย ขอให้ออกจดหมายเชิญให้ จนกระทั่งใกล้ถึงวันเดินทาง เรื่องก็ไม่คืบหน้า เงียบหาย เข้าป่าไป เหตุเป็นเพราะว่า เจ้าหน้าที่เค้าไม่สันทัดภาษาอังกฤษครับ ซึ่งกว่าจะรู้เรื่องก็สายไปเสียแล้ว ซึ่งตอนคุณว่านน้ำติดต่อมาหาผม เรื่องปัญหาวีซ่านี้ ก็ถอดใจเลยครับ เพราะว่าตอนนั้นก่อนออกเดินทางตามกำหนดแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น เสียใจหนักมาก เพราะโอกาสที่จะได้ไปดูการปล่อยจรวดแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ
5 วันก่อนการเดินทางพี่ว่านน้ำก็ปรึกษากับทางสถานฑูตคาซัคสถานประจำประเทศไทย ว่าจะแก้ปัญหายังไงได้บ้าง สุดท้ายจึงไปจยลงที่ ใช้วีซ่าแบบทรานสิท แทนวีซ่าท่องเที่ยว เพราะไม่จำเป็นต้องใช้จดหมายเชิญ และทางสถานฑูตเองก็จะช่วยเร่งดำเนินการขอวีซ่าให้เราอีกด้วย! ด้วยการมโนไปเองว่าเราจะได้วีซ่า กลายเป็นว่าทริปนี้ไม่ล้มแล้ว เย้! วันที่ 31 สิงหาคม เราก็นัดพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ครับ กลุ่มของเรามีสี่คน คือ คุณว่านน้ำ ณ พันทิป พี่ไอซ์ บล้อกเกอร์ นักท่องเที่ยว อาจารย์เจษฎา นักวิทย์ชื่อดัง และ...ผมเอง เกาะเค้าไปให้ครบสี่คน
เช็คอินเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มการเดินทางสู่ อัลมาตี (Almaty) เมืองหลวงเก่าของประเทศคาซัคสถาน โดยสายการบิน แอสทาน่า ครับ
เครื่องบินดูใหม่มาก ที่นั่งก็ใหญ่ นั่งสบายดีครับ เครื่องบินคนไม่เต็มลำ เมื่อถึงประมาณครึ่งทางผมเลยไปหาที่นั่งริมหน้าต่าง ดูภูมิประเทศภายนอก บนแผ่นดินรัสเซีย เพราะผมไม่เคยนั่งเครื่องบินผ่านทางนี้มาก่อนเลย ถึงนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศส่วนมาก จากประเทศไทยก็จะบินผ่านทะเลซะสวนใหญ่ การบินใช้เวลา 6 ชั่วโมงครับ แต่บินขึ้นทิศเหนืออย่างเดียวเลย เวลาที่เมืองแอสทาน่าเลยต่างจากประเทศไทยเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
เถือกเขาใหญ่โตอลังการ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสูงระดับไหน แต่ว่าคงต้องเกิน 4000 เมตรแน่ๆ เพราะมีหิมะปกคลุมอยู่ข้างบน แม้ว่าพึ่งจะผ่านหน้าร้อนมา
ผ่านไปอีกนิดก็เป็นพื้นที่ทำการเกษตร โดยมีแหล่งน้ำจากทะเลสาบหน้าตาแปลกดี
อึดใจเดียวเราก็มาถึงสนามบินอัลมาตีแล้วครับ ตื่นเต้นมากที่ได้เห็น ภาษารัสเซีย เพราะเป็นภาษาที่ปกติจะไม่ค่อยได้เห็นมากนัก (เห็นก็เฉพาะตอนเล่นเกม อิอิ) แต่ซักพักก็จะพบกับความจริงที่น่าสะพรึงก็คือ เค้าพูดภาษาอังกฤษกันน้อยมากน่ะสิครับ! การเดินทางสุดระทึกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
หลังจากแลนดิ้ง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยเรียบร้อยไม่มีปัญหา ก็รับกระเป๋าแล้วก็เข้าโรงแรม โดยมีรถจากโรงแรมมารับครับ โรงแรมก็ใจดีแถมซิมการ์ดมาให้ด้วยสองอัน ใช้โทรติดต่อได้ แต่ไม่มีอินเตอร์เนตนะ ต้องเติมตังค์เพิ่มกันเอาเอง ฮ่วย! นึกว่าจะใจดี พอมาถึงโรงแรมก็เงิบครับ พนักงานโรงแรมบอกว่าระบบหาข้อมูลการจองไม่เจอ! ไปถึงตอนนั้นก็เย็นแล้วด้วย แล้วจะมีที่นอนมั้ยเนี่ย โถๆๆ พนักงานเค้าบอกว่าขอเวลาแป้ป จะหาห้องให้ พวกเราก็นั่งๆนอนๆรอซักพัก ก็ได้ห้องครับ โชคดีไป ไม่ต้องไปเร่ร่อนหาที่พักใหม่กระทันหัน เพราะของที่หิ้วมาก็พะรุงพะรังเอาการเลยทีเดียว
รูปห้องพักคืนแรก พร้อมพรีเซนเตอร์ครับ สวยงามตามท้องเรื่องระดับโรงแรมสีดาว สัญญาณไวไฟแรงชัวร์ๆเพราะมีเราท์เตอร์อยู่ในห้องเลย แต่เตียงแอบนิ่มเกินไปหน่อย นอนแล้วยวบบบ ลงไปเลย คุณว่านน้ำ ไกด์กิตติมศักดิ์ของเราให้เวลาพักหายใจครึ่งชั่วโมง แล้วนัดเจอกันที่ลอบบี้ เพื่อไปทานข้าวเย็นกันครับ แอบตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะคุณว่านน้ำเป็นบล้อกเกอร์อาหารซะด้วย คงต้องจัดทีเด็ดไว้รอเราแน่ๆ

แล้วก็เด็ดจริง ไม่อิงนิยายครับ หลังจากเดินด้วยกัน แล้วก็พากันหลง แล้วก็พากันกลับ แล้วก็ดูแผนที่ ภาษาคาซัคกันแบบงงๆ เราก็มาถึงจุดหมายที่คุณว่านน้ำได้เล็งเอาไว้ครับ เป็นร้านอาหารแนวพื้นเมืองคาซัคสถาน ตกแต่งภายในได้สวยงามเชียวครับ เมนูก็มีภาษาอังกฤษ พร้อมกับมีพนักงานมาแนะนำอาหารด้วย ผมก็ปล่อยพี่ๆเค้าสั่งกันมาครับ บอกเค้าไปว่าสั่งอะไรมาก็ได้ ผมกินง่ายกินได้หมด ทันใดนั้น เหมือนกับสายตาพร่ามัว อาจจะเป็นเพราะเดินทางนานก็ได้ แอบเห็นพี่ว่านน้ำยิ้มมุมปากให้หนึ่งทีครับ!ชั่วเวลาเสี้ยววิ แล้วก็หายไป ผมก็คิดว่ามโนไปเอง ไม่ได้เก็บไปคิดอะไรมากมาย ระหว่างรอออาหารก็ออกไปเดินเล่นลั้ลลาทั่วร้าน หามุมถ่ายรูปเก๋ๆครับเค้าแต่งร้านสวยมากจริงๆ พอกลับมาปุ้ป ก็มีเครื่องดื่มมารอแล้วครับ พี่ว่านจัดให้ เป็นเครื่องดื่มพื้นเมืองจริงๆครับ มันคือ “น ม เ ป รี้ ย ว อู ฐ” จิบไปหนึ่งทีนี่ชะงักเลยครับ รสชาติล้ำลึกมาก ดื่มแทนกาแฟได้เลย หายง่วงทันที หันขึ้นมามองพี่ว่าน พี่แกบอกว่า “ดื่มเยอะๆนะ เดี้ยวจะหาว่าพี่เลี้ยงไม่ดี” ...พลาดแล้วครับ งานนี้ พลาดแล้ว ไม่น่าไปท้าทายเค้าเล้ยยยย.

หลังจากนั้นอาหารก็ทะยอยมาเรื่อยๆครับ เนื้อม้าบ้าง เนื้อแกะบ้าง เนื้อวัวบ้าง สลับกันไป ระดับความ “น่าสนใจ” ก็แตกต่างกันออกไป แต่ที่ถูกปากผมที่สุดก็เห็นจะเป็นจานเนื้อย่างจานนี้ที่มาพร้อมกันน้ำจิ้มรสเผ็ด กินกับแผนแป้งบางๆ
พอทานกันเสร็จก็เดินทางกลับโรงแรม แล้วนอนพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าเรามีโอกาสตะลอนทั่วเมืองช่วงสั้นๆ แล้วก็ไปสนามบินเพื่อบินต่อไปยังเมือง คีซีลอด้า (kyzylorda) กันครับ
ช่วงเช้าอากาศค่อนข้างดี เราก็นั่งรถทัวร์รอบเมืองๆ แล้วก็เค้าไปถ่ายรูปที่โบสถ์ใจกลางเมืองครับ เป็นโบสถ์ไม้สีสันสวยงามมาก กลางสวนสาธารณะขนาดใหญ่ แล้วเราก็เดินในเมืองกันซักพักนึง ผ่านหน้าโรงเรียนมัธยม แห่งนึง
โห สวยมากเลยเนอะ ‘จารย์ (อาจารย์เจต) “เออ สวยดีเนอะ โรงเรียนบ้านเราน่าจะออกแบบ แบบนี้บ้าง อยู่ตรงข้ามสวนสาธารณะใหญ่ๆ ร่มรื่น ผมชอบมากเลย” เปล่าครับ ‘จารย์ผมหมายถึงสองคนนู่นตะหาก (‘จารย์เจต : -*- ) ไกด์ที่มากับเราบอกว่า ชาวคาซัคประกอบไปด้วยคนที่มาจากชาติอื่นด้วย เช่น จีน อุยกูร์ และ เกาหลี(เหนือ) ประมาณ 15 เปอร์เซนต์ มิน่า สองสาวนั่นหน้าได้แนวเกาหลีมากเลย 55555

ช่วงบ่าย เราก็เก็บข้าวของที่โรงแรม แล้วก็เดินทางไปยังสนามบินครับไปถึงประมาณบ่ายโมง ก่อนเครื่องจะขึ้นตอนบ่ายสองโมงตามกติกาสนามบิน แต่ๆๆๆๆ แต่มันไม่ได้ราบรื่นอย่างนั้นน่ะสิครับท่านผู้ชม พอใกล้ๆจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง บอร์ดตารางบินก็ขึ้นว่าเที่ยวบินเราดีเลย์ซะอย่างงั้น! ดีเลย์ไปทีเดียวสองชั่วโมงเลยทีเดียว เป็นอะไรที่ปวดใจมาก เพราะว่าตามแผนแล้วเราต้องถึงสนามบินตอนสี่โมง และขึ้นรถบัสเพื่อไปยังเมืองไบโคนัวร์ตอนห้าโมง แล้วถึงเมืองไบโครนัวร์ตอนสามทุ่ม เพื่อที่จะพักผ่อน เพราะงานวันต่อไปของเราจะเริ่มต้นตอนตีสามพรุ่งนี้เช้า! เมื่อเกิดดีเลย์เกิดขึ้น รถบัสก็อาจจะไม่รอเรา แล้วเราก็จะไปถึงเมืองไบโคนัวร์ไม่ทันเวลาตีสามพรุ่งนี้เช้า หลังจากรอด้วยความกระวนกระวายใจ เกิดความเปลี่ยนแปลงที่บอร์ดตารางบินอีกครั้ง แต่! ดีเลย์เพิ่มครับ! เป็นออกเวลาสี่โมงครึ่งแทน โถๆๆ จรวดเค้าก็ไม่ได้รอเราหรอกนะ เห็นแววพลาดมารำไรๆ หลังจากนั้นสี่โมงครึ่ง เราก็ได้ขึ้นเครื่องบินจริงๆซักที ทุกคนดูท่าทางดีใจกันมาก รีบขึ้นเครื่องกันอย่างรีบร้อนพอดู แต่ระหว่างทางเดินอยู่บนงวงช้างขึ้นเครื่องบิน ก็เห็นสิ่งนี้เข้า

เอิ่มมมมม ตรงนั้นมันส่วนควบคุมระบบเบรกด้วยอากาศ่ใช่มั้ยน้ออออ ที่ตอนแลนด์แล้วมันจะกางออกเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานอากาศให้เครื่องบินหยุดอ่ะ. “ไป รีบขึ้นเครื่องกัน จะได้รีบไปรีบถึง” พี่ไอซ์ นักเดินทางผู้ขึ้นเครื่องบินมานักต่อนักแล้วกล่าว แล้วก็เดินนำไปอย่างคล่องแคล่ว ในใจผมก็คิด ระบบเบรก ระบบเบรก ที่เราดีเลย์นี่เค้าซ่อมระบบเบรกนี่เอง เอิ่มมมม แล้วเค้าซ่อมเสร็จรึยังน้ออออ
พอขึ้นเครื่องไปปุ้ป เจอแอร์เย็นๆที่นั่งสบายๆ ก็หลับทันที พอตื่นขึ้นมาปุ้ปก็อยู่ที่สนามบินแล้ว!? เห้ย ทำไมมันเร็วจัง ไม่รู้สึกตอนเครื่องลงเลย หันไปรอบๆจึงรู้ว่า กรรม นี่ยังอยู่ที่สนามบินเดิมเลยนี่หว่า ชั่วโมงนึงแล้ว ยังไม่ได้ขึ้นบิน! ฮืออออ จรวดช้านนนน ซักพักเครื่องก็ได้ทะยานสู้ฟากฟ้าจริงๆซํกที บินไปด้วยความราบรื่น ไม่สั่น ไม่ตกหลุมอากาศ จนกระทั่ง
ขณะนี้เรากำลังลดระดับลงเพื่อเตรียมลงจอดยังสนามบินคีซีลอด้าโปรดปรับพนักพิงฯลฯ….อีกซักพัก เราก็จะได้รู้แล้วสินะ ว่าระบบเบรกเค้าซ่อมเสร็จแล้วรึยัง ครืนนนน เอี้ยดดดๆๆ ล้อแตะพื้นแล้ว แล้วเครื่องก็หยุดได้จริงๆ แต่แอบรู้สึกว่า แรงที่เบรก มันมาจากล้ออ่ะ ไม่ได้มาจากปีกผมนั่งคนละฝั่งกับที่เข้าซ่อมซะด้วย ก็เลยไม่เห็นว่าส่วนที่เค้าซ่อมมันทำงานได้มั้ย. “เครื่องเบรกแรงดีเนอะ นักบินคงรีบอยากให้เราถึงทีหมายไวๆ เพราะดีเลย์มานาน” พี่ไอซ์กล่าว ...ครับ ผมตอบเบาๆ
หน้าตาของสนามบินคีซีลอด้าครับ เป็นสนามบินที่เล็กมากๆ ไม่มีสายพานลำเลียงกระเป๋า ใช้วิธีต่อแถวเข้าไปเอากระเป๋าที่พนักงานเอามากองรวมกันไว้กันเอง แล้วเราก็เจอกับคนขับรถที่จะพาเราเข้าไปยังเมืองไบโคนัวร์ครับ ใช้เวลาอีกประมาณสามชั่วโมงกว่าจะไปถึง
ถ่ายรูปกันเล็กน้อยหน้าสนามบิน พอเป็นพิธีครับ สนามบินเค้ามีแค่ตึกเดียวนี่แหละ แล้วก็ไม่มีระบบขนส่งอะไรเพิ่มเติม แต่ละคนที่บินมาด้วยกัน ก็มีรถมารับทั้งนั่น ไม่มีรถเมล์หรือรถไฟอะไรเลย
รถที่มารับ เป็นรถ 12 ที่นั่งครับ แต่มีคนนั่งแค่นี้เอง ถนนเค้าก็ดูเรียบร้อยมาก รถไม่ติด(เพราะรถน้อยมาก)ผิดคาดกับที่คิดไว้ว่า เป็นเมืองบ้านนอกถนนจะขรุขระ แต่พอนั่งไปซักพักก็เริ่มร็สึกแปลกครับ เพราะว่าถนนคือ มีแต่ถนนจริงๆ ไม่มีป้ายบอกทางอะไรเลย แม้แต่ทางแยกก็ไม่มีป้ายบอก ไม่มีพวกป้ายกำหนดความเร็ว หรือป้ายระยะทางถึงปลายทางด้วย คือโล่งงงงไปหมด คงจะเป็นถนนทำใหม่มากกระมัง
กระทู้ยาวเกินจำนวนคำที่กำหนดล่ะ - -" เดี้ยวจะต่อตอนสองให้นะคร้าบบบ
ลิงค์ตอนที่สอง
http://pantip.com/topic/34194518
ลิงค์ตอนที่สาม
http://pantip.com/topic/34194523
#SinghaInBaikonur ระทึกใจไปไบโคนัวร์ ตอนที่ 1
เรื่องระทึกใจนี้เริ่มตั้งแต่การขอวีซ่าเลยทีเดียว แม้ว่าฐานปล่อยจรวดไบโครนัวร์นั้นอยู่ในความควบคุมของรัสเซีย แต่ว่าที่ตั้งจริงๆนั้นอยู่ในประเทศคาซัคสถาน เราจึงจำเป็นต้องขอวีซ่าเพื่อไปยังประเทศคาซัคสถานครับ แต่ทั้งนี้การขอวีซ่าเพื่อท่องเที่ยวเนี่ย จำเป็นต้องมีจดหมายเชิญ ซึ่งในที่นี่ คุณว่านน้ำ ไกด์ของเราก็ได้ลงมือติดต่อไปยัง ROSCOSMOS ซึ่งก็คือองค์การอวกาศรัสเซีย ขอให้ออกจดหมายเชิญให้ จนกระทั่งใกล้ถึงวันเดินทาง เรื่องก็ไม่คืบหน้า เงียบหาย เข้าป่าไป เหตุเป็นเพราะว่า เจ้าหน้าที่เค้าไม่สันทัดภาษาอังกฤษครับ ซึ่งกว่าจะรู้เรื่องก็สายไปเสียแล้ว ซึ่งตอนคุณว่านน้ำติดต่อมาหาผม เรื่องปัญหาวีซ่านี้ ก็ถอดใจเลยครับ เพราะว่าตอนนั้นก่อนออกเดินทางตามกำหนดแค่ 1 อาทิตย์เท่านั้น เสียใจหนักมาก เพราะโอกาสที่จะได้ไปดูการปล่อยจรวดแบบนี้ หาไม่ได้ง่ายๆ
5 วันก่อนการเดินทางพี่ว่านน้ำก็ปรึกษากับทางสถานฑูตคาซัคสถานประจำประเทศไทย ว่าจะแก้ปัญหายังไงได้บ้าง สุดท้ายจึงไปจยลงที่ ใช้วีซ่าแบบทรานสิท แทนวีซ่าท่องเที่ยว เพราะไม่จำเป็นต้องใช้จดหมายเชิญ และทางสถานฑูตเองก็จะช่วยเร่งดำเนินการขอวีซ่าให้เราอีกด้วย! ด้วยการมโนไปเองว่าเราจะได้วีซ่า กลายเป็นว่าทริปนี้ไม่ล้มแล้ว เย้! วันที่ 31 สิงหาคม เราก็นัดพบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ครับ กลุ่มของเรามีสี่คน คือ คุณว่านน้ำ ณ พันทิป พี่ไอซ์ บล้อกเกอร์ นักท่องเที่ยว อาจารย์เจษฎา นักวิทย์ชื่อดัง และ...ผมเอง เกาะเค้าไปให้ครบสี่คน
เช็คอินเสร็จเรียบร้อย เราก็เริ่มการเดินทางสู่ อัลมาตี (Almaty) เมืองหลวงเก่าของประเทศคาซัคสถาน โดยสายการบิน แอสทาน่า ครับ
เครื่องบินดูใหม่มาก ที่นั่งก็ใหญ่ นั่งสบายดีครับ เครื่องบินคนไม่เต็มลำ เมื่อถึงประมาณครึ่งทางผมเลยไปหาที่นั่งริมหน้าต่าง ดูภูมิประเทศภายนอก บนแผ่นดินรัสเซีย เพราะผมไม่เคยนั่งเครื่องบินผ่านทางนี้มาก่อนเลย ถึงนั่งเครื่องบินไปต่างประเทศส่วนมาก จากประเทศไทยก็จะบินผ่านทะเลซะสวนใหญ่ การบินใช้เวลา 6 ชั่วโมงครับ แต่บินขึ้นทิศเหนืออย่างเดียวเลย เวลาที่เมืองแอสทาน่าเลยต่างจากประเทศไทยเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น
เถือกเขาใหญ่โตอลังการ ไม่รู้เหมือนกันว่ามีความสูงระดับไหน แต่ว่าคงต้องเกิน 4000 เมตรแน่ๆ เพราะมีหิมะปกคลุมอยู่ข้างบน แม้ว่าพึ่งจะผ่านหน้าร้อนมา
ผ่านไปอีกนิดก็เป็นพื้นที่ทำการเกษตร โดยมีแหล่งน้ำจากทะเลสาบหน้าตาแปลกดี
อึดใจเดียวเราก็มาถึงสนามบินอัลมาตีแล้วครับ ตื่นเต้นมากที่ได้เห็น ภาษารัสเซีย เพราะเป็นภาษาที่ปกติจะไม่ค่อยได้เห็นมากนัก (เห็นก็เฉพาะตอนเล่นเกม อิอิ) แต่ซักพักก็จะพบกับความจริงที่น่าสะพรึงก็คือ เค้าพูดภาษาอังกฤษกันน้อยมากน่ะสิครับ! การเดินทางสุดระทึกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!
หลังจากแลนดิ้ง ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยเรียบร้อยไม่มีปัญหา ก็รับกระเป๋าแล้วก็เข้าโรงแรม โดยมีรถจากโรงแรมมารับครับ โรงแรมก็ใจดีแถมซิมการ์ดมาให้ด้วยสองอัน ใช้โทรติดต่อได้ แต่ไม่มีอินเตอร์เนตนะ ต้องเติมตังค์เพิ่มกันเอาเอง ฮ่วย! นึกว่าจะใจดี พอมาถึงโรงแรมก็เงิบครับ พนักงานโรงแรมบอกว่าระบบหาข้อมูลการจองไม่เจอ! ไปถึงตอนนั้นก็เย็นแล้วด้วย แล้วจะมีที่นอนมั้ยเนี่ย โถๆๆ พนักงานเค้าบอกว่าขอเวลาแป้ป จะหาห้องให้ พวกเราก็นั่งๆนอนๆรอซักพัก ก็ได้ห้องครับ โชคดีไป ไม่ต้องไปเร่ร่อนหาที่พักใหม่กระทันหัน เพราะของที่หิ้วมาก็พะรุงพะรังเอาการเลยทีเดียว
รูปห้องพักคืนแรก พร้อมพรีเซนเตอร์ครับ สวยงามตามท้องเรื่องระดับโรงแรมสีดาว สัญญาณไวไฟแรงชัวร์ๆเพราะมีเราท์เตอร์อยู่ในห้องเลย แต่เตียงแอบนิ่มเกินไปหน่อย นอนแล้วยวบบบ ลงไปเลย คุณว่านน้ำ ไกด์กิตติมศักดิ์ของเราให้เวลาพักหายใจครึ่งชั่วโมง แล้วนัดเจอกันที่ลอบบี้ เพื่อไปทานข้าวเย็นกันครับ แอบตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะคุณว่านน้ำเป็นบล้อกเกอร์อาหารซะด้วย คงต้องจัดทีเด็ดไว้รอเราแน่ๆ
แล้วก็เด็ดจริง ไม่อิงนิยายครับ หลังจากเดินด้วยกัน แล้วก็พากันหลง แล้วก็พากันกลับ แล้วก็ดูแผนที่ ภาษาคาซัคกันแบบงงๆ เราก็มาถึงจุดหมายที่คุณว่านน้ำได้เล็งเอาไว้ครับ เป็นร้านอาหารแนวพื้นเมืองคาซัคสถาน ตกแต่งภายในได้สวยงามเชียวครับ เมนูก็มีภาษาอังกฤษ พร้อมกับมีพนักงานมาแนะนำอาหารด้วย ผมก็ปล่อยพี่ๆเค้าสั่งกันมาครับ บอกเค้าไปว่าสั่งอะไรมาก็ได้ ผมกินง่ายกินได้หมด ทันใดนั้น เหมือนกับสายตาพร่ามัว อาจจะเป็นเพราะเดินทางนานก็ได้ แอบเห็นพี่ว่านน้ำยิ้มมุมปากให้หนึ่งทีครับ!ชั่วเวลาเสี้ยววิ แล้วก็หายไป ผมก็คิดว่ามโนไปเอง ไม่ได้เก็บไปคิดอะไรมากมาย ระหว่างรอออาหารก็ออกไปเดินเล่นลั้ลลาทั่วร้าน หามุมถ่ายรูปเก๋ๆครับเค้าแต่งร้านสวยมากจริงๆ พอกลับมาปุ้ป ก็มีเครื่องดื่มมารอแล้วครับ พี่ว่านจัดให้ เป็นเครื่องดื่มพื้นเมืองจริงๆครับ มันคือ “น ม เ ป รี้ ย ว อู ฐ” จิบไปหนึ่งทีนี่ชะงักเลยครับ รสชาติล้ำลึกมาก ดื่มแทนกาแฟได้เลย หายง่วงทันที หันขึ้นมามองพี่ว่าน พี่แกบอกว่า “ดื่มเยอะๆนะ เดี้ยวจะหาว่าพี่เลี้ยงไม่ดี” ...พลาดแล้วครับ งานนี้ พลาดแล้ว ไม่น่าไปท้าทายเค้าเล้ยยยย.
หลังจากนั้นอาหารก็ทะยอยมาเรื่อยๆครับ เนื้อม้าบ้าง เนื้อแกะบ้าง เนื้อวัวบ้าง สลับกันไป ระดับความ “น่าสนใจ” ก็แตกต่างกันออกไป แต่ที่ถูกปากผมที่สุดก็เห็นจะเป็นจานเนื้อย่างจานนี้ที่มาพร้อมกันน้ำจิ้มรสเผ็ด กินกับแผนแป้งบางๆ
พอทานกันเสร็จก็เดินทางกลับโรงแรม แล้วนอนพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าเรามีโอกาสตะลอนทั่วเมืองช่วงสั้นๆ แล้วก็ไปสนามบินเพื่อบินต่อไปยังเมือง คีซีลอด้า (kyzylorda) กันครับ
ช่วงเช้าอากาศค่อนข้างดี เราก็นั่งรถทัวร์รอบเมืองๆ แล้วก็เค้าไปถ่ายรูปที่โบสถ์ใจกลางเมืองครับ เป็นโบสถ์ไม้สีสันสวยงามมาก กลางสวนสาธารณะขนาดใหญ่ แล้วเราก็เดินในเมืองกันซักพักนึง ผ่านหน้าโรงเรียนมัธยม แห่งนึง
โห สวยมากเลยเนอะ ‘จารย์ (อาจารย์เจต) “เออ สวยดีเนอะ โรงเรียนบ้านเราน่าจะออกแบบ แบบนี้บ้าง อยู่ตรงข้ามสวนสาธารณะใหญ่ๆ ร่มรื่น ผมชอบมากเลย” เปล่าครับ ‘จารย์ผมหมายถึงสองคนนู่นตะหาก (‘จารย์เจต : -*- ) ไกด์ที่มากับเราบอกว่า ชาวคาซัคประกอบไปด้วยคนที่มาจากชาติอื่นด้วย เช่น จีน อุยกูร์ และ เกาหลี(เหนือ) ประมาณ 15 เปอร์เซนต์ มิน่า สองสาวนั่นหน้าได้แนวเกาหลีมากเลย 55555
ช่วงบ่าย เราก็เก็บข้าวของที่โรงแรม แล้วก็เดินทางไปยังสนามบินครับไปถึงประมาณบ่ายโมง ก่อนเครื่องจะขึ้นตอนบ่ายสองโมงตามกติกาสนามบิน แต่ๆๆๆๆ แต่มันไม่ได้ราบรื่นอย่างนั้นน่ะสิครับท่านผู้ชม พอใกล้ๆจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง บอร์ดตารางบินก็ขึ้นว่าเที่ยวบินเราดีเลย์ซะอย่างงั้น! ดีเลย์ไปทีเดียวสองชั่วโมงเลยทีเดียว เป็นอะไรที่ปวดใจมาก เพราะว่าตามแผนแล้วเราต้องถึงสนามบินตอนสี่โมง และขึ้นรถบัสเพื่อไปยังเมืองไบโคนัวร์ตอนห้าโมง แล้วถึงเมืองไบโครนัวร์ตอนสามทุ่ม เพื่อที่จะพักผ่อน เพราะงานวันต่อไปของเราจะเริ่มต้นตอนตีสามพรุ่งนี้เช้า! เมื่อเกิดดีเลย์เกิดขึ้น รถบัสก็อาจจะไม่รอเรา แล้วเราก็จะไปถึงเมืองไบโคนัวร์ไม่ทันเวลาตีสามพรุ่งนี้เช้า หลังจากรอด้วยความกระวนกระวายใจ เกิดความเปลี่ยนแปลงที่บอร์ดตารางบินอีกครั้ง แต่! ดีเลย์เพิ่มครับ! เป็นออกเวลาสี่โมงครึ่งแทน โถๆๆ จรวดเค้าก็ไม่ได้รอเราหรอกนะ เห็นแววพลาดมารำไรๆ หลังจากนั้นสี่โมงครึ่ง เราก็ได้ขึ้นเครื่องบินจริงๆซักที ทุกคนดูท่าทางดีใจกันมาก รีบขึ้นเครื่องกันอย่างรีบร้อนพอดู แต่ระหว่างทางเดินอยู่บนงวงช้างขึ้นเครื่องบิน ก็เห็นสิ่งนี้เข้า
เอิ่มมมมม ตรงนั้นมันส่วนควบคุมระบบเบรกด้วยอากาศ่ใช่มั้ยน้ออออ ที่ตอนแลนด์แล้วมันจะกางออกเพื่อเพิ่มแรงเสียดทานอากาศให้เครื่องบินหยุดอ่ะ. “ไป รีบขึ้นเครื่องกัน จะได้รีบไปรีบถึง” พี่ไอซ์ นักเดินทางผู้ขึ้นเครื่องบินมานักต่อนักแล้วกล่าว แล้วก็เดินนำไปอย่างคล่องแคล่ว ในใจผมก็คิด ระบบเบรก ระบบเบรก ที่เราดีเลย์นี่เค้าซ่อมระบบเบรกนี่เอง เอิ่มมมม แล้วเค้าซ่อมเสร็จรึยังน้ออออ
พอขึ้นเครื่องไปปุ้ป เจอแอร์เย็นๆที่นั่งสบายๆ ก็หลับทันที พอตื่นขึ้นมาปุ้ปก็อยู่ที่สนามบินแล้ว!? เห้ย ทำไมมันเร็วจัง ไม่รู้สึกตอนเครื่องลงเลย หันไปรอบๆจึงรู้ว่า กรรม นี่ยังอยู่ที่สนามบินเดิมเลยนี่หว่า ชั่วโมงนึงแล้ว ยังไม่ได้ขึ้นบิน! ฮืออออ จรวดช้านนนน ซักพักเครื่องก็ได้ทะยานสู้ฟากฟ้าจริงๆซํกที บินไปด้วยความราบรื่น ไม่สั่น ไม่ตกหลุมอากาศ จนกระทั่ง
ขณะนี้เรากำลังลดระดับลงเพื่อเตรียมลงจอดยังสนามบินคีซีลอด้าโปรดปรับพนักพิงฯลฯ….อีกซักพัก เราก็จะได้รู้แล้วสินะ ว่าระบบเบรกเค้าซ่อมเสร็จแล้วรึยัง ครืนนนน เอี้ยดดดๆๆ ล้อแตะพื้นแล้ว แล้วเครื่องก็หยุดได้จริงๆ แต่แอบรู้สึกว่า แรงที่เบรก มันมาจากล้ออ่ะ ไม่ได้มาจากปีกผมนั่งคนละฝั่งกับที่เข้าซ่อมซะด้วย ก็เลยไม่เห็นว่าส่วนที่เค้าซ่อมมันทำงานได้มั้ย. “เครื่องเบรกแรงดีเนอะ นักบินคงรีบอยากให้เราถึงทีหมายไวๆ เพราะดีเลย์มานาน” พี่ไอซ์กล่าว ...ครับ ผมตอบเบาๆ
หน้าตาของสนามบินคีซีลอด้าครับ เป็นสนามบินที่เล็กมากๆ ไม่มีสายพานลำเลียงกระเป๋า ใช้วิธีต่อแถวเข้าไปเอากระเป๋าที่พนักงานเอามากองรวมกันไว้กันเอง แล้วเราก็เจอกับคนขับรถที่จะพาเราเข้าไปยังเมืองไบโคนัวร์ครับ ใช้เวลาอีกประมาณสามชั่วโมงกว่าจะไปถึง
ถ่ายรูปกันเล็กน้อยหน้าสนามบิน พอเป็นพิธีครับ สนามบินเค้ามีแค่ตึกเดียวนี่แหละ แล้วก็ไม่มีระบบขนส่งอะไรเพิ่มเติม แต่ละคนที่บินมาด้วยกัน ก็มีรถมารับทั้งนั่น ไม่มีรถเมล์หรือรถไฟอะไรเลย
รถที่มารับ เป็นรถ 12 ที่นั่งครับ แต่มีคนนั่งแค่นี้เอง ถนนเค้าก็ดูเรียบร้อยมาก รถไม่ติด(เพราะรถน้อยมาก)ผิดคาดกับที่คิดไว้ว่า เป็นเมืองบ้านนอกถนนจะขรุขระ แต่พอนั่งไปซักพักก็เริ่มร็สึกแปลกครับ เพราะว่าถนนคือ มีแต่ถนนจริงๆ ไม่มีป้ายบอกทางอะไรเลย แม้แต่ทางแยกก็ไม่มีป้ายบอก ไม่มีพวกป้ายกำหนดความเร็ว หรือป้ายระยะทางถึงปลายทางด้วย คือโล่งงงงไปหมด คงจะเป็นถนนทำใหม่มากกระมัง
กระทู้ยาวเกินจำนวนคำที่กำหนดล่ะ - -" เดี้ยวจะต่อตอนสองให้นะคร้าบบบ
ลิงค์ตอนที่สอง http://pantip.com/topic/34194518
ลิงค์ตอนที่สาม http://pantip.com/topic/34194523