ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ
กองโจรกลับใจ
ตอนที่ ๔ พิชิตแม่ทัพใหญ่
"เล่าเซี่ยงชุน"
เมื่อคณะข้าหลวงทั้งสามนายกลับมาจากเขาเนียซัวเปาะแล้ว เข้าเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ กราบทูลมูลคดีที่ถูก ซ้องกั๋ง กับพรรคพวกทำหยาบช้า แก่ผู้แทนพระองค์ทุกประการ พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงมีความแค้นยิ่งนัก จึงให้เอาตัว ซุยเจ๋ง ผู้แนะนำให้มีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาเนียซัวเปาะ จำขังไว้ในคุก
พวกขุนนางกังฉินก็เสนอให้ ท่องกวน เป็นแม่ทัพยกกองทัพไปปราบปรามพวกโจรที่เขาเนียซัวเปาะ ให้ราบคาบ พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงเห็นชอบด้วย จึงพระราชทานตราทองคำสำหรับตำแหน่ง กับธงอาญาสิทธิ์ให้แก่ท่องกวน ในฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่
ท่องกวนยกกองทัพอันประกอบด้วย ทหารจากหัวเมืองแปดเมือง มีพลแปดหมื่น รวมกับทหารในเมืองหลวงอีกสองหมื่นเป็นสิบหมื่น ออกจากเมืองตังเกียไปถึงเมืองจีจิว เตียซกแม้ เจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับ ท่องกวนบอกว่ายกทัพมาครั้งนี้เพื่อจะปราบปรามพวกเขาเนียซัวเปาะเสียให้ราบคาบ เตียซกแม้จึงเตือนว่า
"...ซ้องกั๋งคนนี้มีสติปัญญาคิดการรอบคอบ รู้ประมาณการหนักและเบา ประการหนึ่ง โงวหยง ที่ปรึกษา และทหารทั้งร้อยแปดคน ก็มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งนัก ถ้าจะรบโดยซึ่งหน้าเห็นจะเอาชัยชนะยาก ท่านจงคิดกลศึกให้ซ้องกั๋งกับพวก หลงในอุบายจึงจะได้ชัยชนะ....."
ท่องกวนก็ว่า
"...ถ้าตัวรู้จักกลศึกลึกซึ้งแล้ว เหตุใดจึงไม่จับพวกโจรถวายเอาความชอบ...."
เตียซกแม้บอกว่าพวกโจรมากเหลือกำลัง จึงไม่อาจจับได้ ท่องกวนก็ตวาดเอาว่า
".....ตัวเป็นแต่ผู้ว่าราชการบ้านเมืองเล็กน้อย ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมแม่ทัพ กลับมาสอนเราผู้มีอาญาสิทธิ์อีกเล่า ซึ่งเรายกมาครั้งนี้มีทหารเอกร้อยเศษ ทหารเลวกว่าสิบหมื่น ไม่ต้องคิดอุบายให้ป่วยการ เราจะให้ทหารถือมูลดินคนละก้อน ถมค่ายเขาเนียซัวเปาะเสียให้เต็ม แต่ในพริบตาเดียว....."
เตียซกแม้ก็จนปัญญาที่จะว่ากล่าวต่อไป จึงจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูแม่ทัพนายกอง และเลี้ยงทหารทั้งกองทัพ ให้พักอยู่คืนหนึ่ง
รุ่งขึ้นท่องกวนก็จัดทหารเป็นกระบวนยกออกจากเมืองจีจิวไปถึงท่าข้าม ให้ตั้งค่ายเรียงรายไปตามฝั่งน้ำ และหน้าค่ายนั้นให้ทุบปราบเป็นลาน สำหรับทหารจะได้ซ้อมหัดเพลงอาวุธ เป็นการข่มขวัญพวกโจรที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ฝ่ายซ้องกั๋งเมื่อทราบข่าว ก็ปรึกษากับ โงวหยงคิดการต่อสู้กับกองทัพเมืองหลวงให้เด็ดขาด โงวหยงจึงจัดทหารออกเป็นเจ็ดกอง นายกองหกคนทั้งซ้องกั๋งกับนายรองหกสิบห้านาย ทหารเลวห้าหมื่นห้าพัน ยกข้ามน้ำไปตั้งค่ายห่างค่ายทหารหลวงประมาณห้าลี้ แล้วก็เคลื่อนเข้าล้อมค่ายของท่องกวนไว้ทั้งสี่ทิศ
เมื่อซ้องกั๋งกับท่องกวนมาพบกัน ต่อหน้ากองทัพของทั้งสองฝ่าย ท่องกวนก็ข่มขวัญว่า
".....เหตุไฉนมืงเป็นกบฎต่อแผ่นดิน บัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงมอบอาญาสิทธิ์ ให้กูมาตัดศรีษะตัวมืงและพวกพ้องเสียให้สิ้น ถ้ารักชีวิตอยู่แล้วจงเร่งลงจากม้าวางอาวุธ เข้ามาคำนับเสียโดยดี จะยกโทษให้....."
ซ้องกั๋งตอบว่า
"....ซึ่งเราออกมาตั้งอยู่ในเขาเนียซัวเปาะ ก็มิได้เบียดเบียนแก่ผู้ใด จำใจมาอยู่เพราะเกลียดชังพวกมืงซึ่งเป็นคนกังฉิน อย่าพูดยกตัวอวดอ้างไม่ต้องการ ถ้าจะให้เห็นว่าใครดีแล้ว จงออกมารบกันเถิด....."
กองทัพของทั้งสองฝ่ายก็เข้ารบกันเป็นสามารถ แต่ไม่นานค่ายท่องกวนก็แตก ต้องถอยไปตั้งหลักประมาณสามสิบลี้ พวกเขาเนียซัวเปาะตามตีอีกหลายครั้ง ทั้งบนบกและในน้ำ ท่องกวนต้องเสียทหารเอกไปแปดคน ถูกจับเป็นเชลยหนึ่งคนคือ หองมุ้ย
ส่วนทหารเลวนั้นเหลืออยู่เพียงสามหมื่น ต้องรีบหนีไปโดยไม่แวะเมืองจีจิวเพราะละอายแก่เจ้าเมือง ตรงกลับไปตังเกียเมืองหลวงเลย
เมื่อเสร็จการรบแล้ว ซ้องกั๋งจึงนำตัวหองมุ้ยมาแก้มัด แล้วเชิญให้นั่งในที่อันสมควร แล้วว่า
".....ตัวเรามาตั้งกองอยู่ในเขาเนียซัวเปาะนี้ จะได้คิดตั้งตัวเอาราชสมบัติ และเป็นโจรเที่ยวตีปล้นเอาทรัพย์สิ่งของผู้ใดนั้นหามิได้ เราคิดตั้งใจว่าจะเข้าไปทำราชการฉลองคุณพระเจ้าแผ่นดินมิได้ขาด เมื่อมีหนังสือรับสั่งให้เราเข้าไป ก็คงจะยอมตามรับสั่ง แต่ข้าหลวงนั้นทำอาการเย่อหยิ่งข่มขู่เราด้วยอำนาจ ทหารทั้งปวงมีความเจ็บแค้นจะพากันฆ่าเสีย เราสู้ป้องกันห้ามปรามไว้ไม่ให้ทำ เพราะกลัวคำคนนินทาว่าเป็นคนทรยศ และซึ่งกองทัพยกมาทำร้ายเราครั้งนี้ ก็เพราะขุนนางพวกกังฉินทูลยุยง ตัวเรามิสู้ก็จำสู้ อุปมาเหมือนเพลิงไหม้ศรีษะ ธรรมดาว่าคนเพลิงติดขึ้นบนศรีษะแล้ว ก็ย่อมจะขวนขวายให้เพลิงนั้นพ้นจากศรีษะด้วยความร้อน ซึ่งเราจับท่านได้ครั้งนี้ เราไม่ทำอันตรายแก่ท่าน เพราะตัวของท่านเป็นข้าราชการ อยู่ในพระเจ้าซ้องฮุยจง เราจึงได้นับถือ....."
หองมุ้ยก็มีความยินดี จึงบอกว่า
".....เดิมข้าพเจ้าได้ยินขุนนางและราษฎรในเมืองหลวงและหัวเมือง กล่าวโทษท่านว่าเป็นโจรเที่ยวตีปล้นบ้านเมือง และราษฎรจะชิงเอาราชสมบัติ คำคนกล่าวร้ายนั้นมากคำสรรเสริญนั้นน้อยนัก ข้าพเจ้าก็เป็นคนหูเบาหลงเชื่อ บัดนี้ได้ยินถ้อยคำและเห็นน้ำใจท่าน ไม่สมกับความนินทาเลย...."
ซ้องกั๋งก็ว่า
".....ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองตังเกียนั้น เป็นกังฉินสักร้อยส่วน ที่เป็นคนตั้งอยู่ในสุจริตสักส่วนเดียว และคนกังฉินที่เป็นพาลนั้น ย่อมประกอบด้วยความอิจฉา ถ้าเห็นว่าผู้ใดตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต และหมั่นประพฤติการควรประพฤติแล้ว ก็กล่าวคำนินทาต่าง ๆ การเป็นเช่นนี้ ความนินทาจึงมากกว่าสรรเสริญ....."
ว่าแล้วก็จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยง หองมุ้ยพักอยู่กับซ้องกั๋งอีกสามวันแล้วก็ขอลากลับ ซ้องกั๋งก็สั่งเสียให้ช่วยกราบทูลฮ่องเต้ตามความจริงด้วย
ทางฝ่ายท่องกวน เมื่อกลับไปถึงเมืองตังเกียแล้ว ก็ไปหา กอกิว หรือที่มีตำแหน่งเป็น กอไทอวยขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร เล่าเรื่องที่แตกทัพให้ฟัง เมื่อปรึกษากันอยู่ หองมุ้ยก็กลับมาถึง เล่าเรื่องที่ซ้องกั๋งปล่อยตัวมาทุกประการ กอกิว กับ ชัวเกีย จึงพาท่องกวนเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงในวันรุ่งขึ้น
ท่องกวนกราบทูลว่า ยกทัพไปครั้งนี้เป็นฤดูแล้ง น้ำในหนองบึงงวดลง มีรสเปรี้ยวเฝื่อน คนในกองทัพอาบกินจึงเป็นโรคตายเพราะผิดน้ำ ชัวเกียกับกอกิวก็ช่วยสนับสนุน และกอกิวก็ขออาสายกทัพไปปราบพวกเขาเนียซัวเปาะอีกครั้ง คราวนี้จะยกไปทั้งทัพบกทัพเรือ
พระเจ้าซ้องฮุยจง จึงพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์ ให้กอกิวเป็นแม่ทัพ
กอกิวก็เบิกเงินในท้องพระคลังไปสามสิบหาบ และมีคำสั่งให้หัวเมืองต่าง ๆ ต่อเรือรบจำนวนสองร้อยลำ ให้ได้ในหกสิบวัน แล้วเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองที่อยู่ใกล้เขาเนียซัวเปาะถึงสิบหัวเมือง เป็นจำนวนสิบหมื่น อีกสองเมืองเป็นทหารเรือจำนวนหมื่นห้าพัน แล้วยกไปบรรจบกันที่เมืองจีจิวตามกำหนด
กอกิวก็เลือกเอาทหารของตนหมื่นห้าพัน และจัดนางมโหรีกับคนขับร้องที่รูปงามเสียงไพเราะไปด้วยสามสิบเศษ ให้นั่งรถไปอย่างสบาย แล้วก็ยกพลไปยังเมืองจีจิว เตรียมทำสงครามกับฝ่ายกองโจรเขาเนียซัวเปาะ ให้แตกหักไป
ซ้องกั๋งก็ปรึกษากับโงวหยงว่า
".....กอกิวยกมาครั้งนี้มีทหารถึงสิบสี่สิบห้าหมื่น ทหารของเราสิน้อยกว่า จะต่อสู้เขาได้หรือ...."
โงวหยงจึงว่า
".....ลักษณะการจะทำศึกสงคราม ก็ต้องอาศัยความเพียรและสติปัญญาเป็นประมาณ ถ้าหาปัญญามิได้แล้ว ถึงจะมีทหารสักเท่าใด ก็ย่อมจะปราชัยแก่ผู้มีปัญญาเป็นแท้ ท่านไม่รู้หรือ เมื่อครั้งแผ่นดินสามก๊ก เล่าปี่มีทหารสามพัน โจโฉยกกองทัพมาหลายสิบหมื่น ถึงกระนั้นขงเบ้งก็ยังคิดกลอุบาย เอาชัยชนะให้โจโฉแตกไปได้ และกองทัพของเรานี้ มีทหารมากกว่าเล่าปี่สองสามส่วน จะคิดเอาชนะกอกิว ไม่ได้หรือ....."
แล้วโงวหยงก็จัดทัพเรือให้ อวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิด สามพี่น้องผู้ชำนาญทางน้ำ คุมกองทัพเรือ แล้วซ้องกั๋งก็ยกข้ามน้ำไปตั้งค่ายประจันหน้ากับทหารหลวง
ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่หลายวัน กอกิวก็เรียกกองทัพเรือ ให้เข้าตีทางด้านหลังของค่ายซ้องกั๋ง แต่ถูกทัพเรือของเนียซัวเปาะ ทำลายหมดทั้งกองทัพ แล้วกองทัพบกของซ้องกั๋งก็เข้าตีค่ายของกอกิวแตก ต้องถอยกลับไปเมืองจีจิว และต่อเรือรบขึ้นใหม่อีก
ซ้องกั๋งยกกองทัพตามมาถึงเมืองจีจิว แม้จะไม่สามารถตีเมืองจีจิวได้ แต่ในการรบก็จับตัว ฮั่นซุนป๊อ และ ตันซิหยง นายทหารเอกของกอกิวได้ ซ้องกั๋งก็เกลี้ยกล่อมเช่นเดียวกับหองมุ้ย แล้วส่งตัวกลับไปเมืองจีจิว
กอกิวก็สั่งให้ประหารชีวิตนายทหารทั้งสอง แต่นายทหารทั้งหลายได้ขอโทษไว้ กอกิวจึงถอดออกจากตำแหน่ง และขับไล่ออกไปจากกองทัพ ทั้งสองจึงกลับมาที่เมืองตังเกีย เข้าไปหาขุนนางตงฉิน เล่าเรื่องซ้องกั๋งตั้งใจสามิภักดิ์ให้ฟัง ขุนนางตงฉิน จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจง และกราบทูลข้อความให้ทรงทราบทุกประการ กับขอให้มีหนังสือรับสั่ง ให้ข้าหลวง ไปว่ากล่าวซ้องกั๋งแต่โดยดีอีกครั้ง
พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงโปรดให้มีหนังสือให้ บุ้นฮวนเจียง ถือไปเมืองจีจิว
ฝ่ายกอกิวให้ชาวเมืองต่อเรือรบใหญ่น้อย ได้ถึงสองพันห้าร้อยลำเสร็จ และฝึกทหารเรือเรียบร้อยแล้ว ก็ตรึงให้เรือติดกันเป็นคู่ ๆ ยกเป็นทัพหน้าเข้าตีพวกเขาเนียซัวเปาะ แล้วตนเองก็ยกทัพบกตามไป แต่ทัพเรือของกอกิวก็ถูกอุบายของโงวหยงเผาเสียทั้งกองทัพ เช่นเดียวกับที่ ขงเบ้ง เคยทำกับ โจโฉ กองทัพบกก็ถูกดักซุ่มโจมตีจนแตกพ่าย นายทหารเอกถูกจับไปตัดศรีษะ อีกสองคน ต้องกลับมาพักฟื้นอยู่ในเมืองจีจิวอีกครั้ง.
##########
นิตยสารโล่เงิน
กรกฎาคม ๒๕๔๒
กองโจรกลับใจ (๔) ๑๐ ก.ย.๕๘
กองโจรกลับใจ
ตอนที่ ๔ พิชิตแม่ทัพใหญ่
"เล่าเซี่ยงชุน"
เมื่อคณะข้าหลวงทั้งสามนายกลับมาจากเขาเนียซัวเปาะแล้ว เข้าเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ กราบทูลมูลคดีที่ถูก ซ้องกั๋ง กับพรรคพวกทำหยาบช้า แก่ผู้แทนพระองค์ทุกประการ พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงมีความแค้นยิ่งนัก จึงให้เอาตัว ซุยเจ๋ง ผู้แนะนำให้มีหนังสือไปเกลี้ยกล่อมพวกเขาเนียซัวเปาะ จำขังไว้ในคุก
พวกขุนนางกังฉินก็เสนอให้ ท่องกวน เป็นแม่ทัพยกกองทัพไปปราบปรามพวกโจรที่เขาเนียซัวเปาะ ให้ราบคาบ พระเจ้าซ้องฮุยจงทรงเห็นชอบด้วย จึงพระราชทานตราทองคำสำหรับตำแหน่ง กับธงอาญาสิทธิ์ให้แก่ท่องกวน ในฐานะเป็นแม่ทัพใหญ่
ท่องกวนยกกองทัพอันประกอบด้วย ทหารจากหัวเมืองแปดเมือง มีพลแปดหมื่น รวมกับทหารในเมืองหลวงอีกสองหมื่นเป็นสิบหมื่น ออกจากเมืองตังเกียไปถึงเมืองจีจิว เตียซกแม้ เจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับ ท่องกวนบอกว่ายกทัพมาครั้งนี้เพื่อจะปราบปรามพวกเขาเนียซัวเปาะเสียให้ราบคาบ เตียซกแม้จึงเตือนว่า
"...ซ้องกั๋งคนนี้มีสติปัญญาคิดการรอบคอบ รู้ประมาณการหนักและเบา ประการหนึ่ง โงวหยง ที่ปรึกษา และทหารทั้งร้อยแปดคน ก็มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งนัก ถ้าจะรบโดยซึ่งหน้าเห็นจะเอาชัยชนะยาก ท่านจงคิดกลศึกให้ซ้องกั๋งกับพวก หลงในอุบายจึงจะได้ชัยชนะ....."
ท่องกวนก็ว่า
"...ถ้าตัวรู้จักกลศึกลึกซึ้งแล้ว เหตุใดจึงไม่จับพวกโจรถวายเอาความชอบ...."
เตียซกแม้บอกว่าพวกโจรมากเหลือกำลัง จึงไม่อาจจับได้ ท่องกวนก็ตวาดเอาว่า
".....ตัวเป็นแต่ผู้ว่าราชการบ้านเมืองเล็กน้อย ไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมแม่ทัพ กลับมาสอนเราผู้มีอาญาสิทธิ์อีกเล่า ซึ่งเรายกมาครั้งนี้มีทหารเอกร้อยเศษ ทหารเลวกว่าสิบหมื่น ไม่ต้องคิดอุบายให้ป่วยการ เราจะให้ทหารถือมูลดินคนละก้อน ถมค่ายเขาเนียซัวเปาะเสียให้เต็ม แต่ในพริบตาเดียว....."
เตียซกแม้ก็จนปัญญาที่จะว่ากล่าวต่อไป จึงจัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยงดูแม่ทัพนายกอง และเลี้ยงทหารทั้งกองทัพ ให้พักอยู่คืนหนึ่ง
รุ่งขึ้นท่องกวนก็จัดทหารเป็นกระบวนยกออกจากเมืองจีจิวไปถึงท่าข้าม ให้ตั้งค่ายเรียงรายไปตามฝั่งน้ำ และหน้าค่ายนั้นให้ทุบปราบเป็นลาน สำหรับทหารจะได้ซ้อมหัดเพลงอาวุธ เป็นการข่มขวัญพวกโจรที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ฝ่ายซ้องกั๋งเมื่อทราบข่าว ก็ปรึกษากับ โงวหยงคิดการต่อสู้กับกองทัพเมืองหลวงให้เด็ดขาด โงวหยงจึงจัดทหารออกเป็นเจ็ดกอง นายกองหกคนทั้งซ้องกั๋งกับนายรองหกสิบห้านาย ทหารเลวห้าหมื่นห้าพัน ยกข้ามน้ำไปตั้งค่ายห่างค่ายทหารหลวงประมาณห้าลี้ แล้วก็เคลื่อนเข้าล้อมค่ายของท่องกวนไว้ทั้งสี่ทิศ
เมื่อซ้องกั๋งกับท่องกวนมาพบกัน ต่อหน้ากองทัพของทั้งสองฝ่าย ท่องกวนก็ข่มขวัญว่า
".....เหตุไฉนมืงเป็นกบฎต่อแผ่นดิน บัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงมอบอาญาสิทธิ์ ให้กูมาตัดศรีษะตัวมืงและพวกพ้องเสียให้สิ้น ถ้ารักชีวิตอยู่แล้วจงเร่งลงจากม้าวางอาวุธ เข้ามาคำนับเสียโดยดี จะยกโทษให้....."
ซ้องกั๋งตอบว่า
"....ซึ่งเราออกมาตั้งอยู่ในเขาเนียซัวเปาะ ก็มิได้เบียดเบียนแก่ผู้ใด จำใจมาอยู่เพราะเกลียดชังพวกมืงซึ่งเป็นคนกังฉิน อย่าพูดยกตัวอวดอ้างไม่ต้องการ ถ้าจะให้เห็นว่าใครดีแล้ว จงออกมารบกันเถิด....."
กองทัพของทั้งสองฝ่ายก็เข้ารบกันเป็นสามารถ แต่ไม่นานค่ายท่องกวนก็แตก ต้องถอยไปตั้งหลักประมาณสามสิบลี้ พวกเขาเนียซัวเปาะตามตีอีกหลายครั้ง ทั้งบนบกและในน้ำ ท่องกวนต้องเสียทหารเอกไปแปดคน ถูกจับเป็นเชลยหนึ่งคนคือ หองมุ้ย
ส่วนทหารเลวนั้นเหลืออยู่เพียงสามหมื่น ต้องรีบหนีไปโดยไม่แวะเมืองจีจิวเพราะละอายแก่เจ้าเมือง ตรงกลับไปตังเกียเมืองหลวงเลย
เมื่อเสร็จการรบแล้ว ซ้องกั๋งจึงนำตัวหองมุ้ยมาแก้มัด แล้วเชิญให้นั่งในที่อันสมควร แล้วว่า
".....ตัวเรามาตั้งกองอยู่ในเขาเนียซัวเปาะนี้ จะได้คิดตั้งตัวเอาราชสมบัติ และเป็นโจรเที่ยวตีปล้นเอาทรัพย์สิ่งของผู้ใดนั้นหามิได้ เราคิดตั้งใจว่าจะเข้าไปทำราชการฉลองคุณพระเจ้าแผ่นดินมิได้ขาด เมื่อมีหนังสือรับสั่งให้เราเข้าไป ก็คงจะยอมตามรับสั่ง แต่ข้าหลวงนั้นทำอาการเย่อหยิ่งข่มขู่เราด้วยอำนาจ ทหารทั้งปวงมีความเจ็บแค้นจะพากันฆ่าเสีย เราสู้ป้องกันห้ามปรามไว้ไม่ให้ทำ เพราะกลัวคำคนนินทาว่าเป็นคนทรยศ และซึ่งกองทัพยกมาทำร้ายเราครั้งนี้ ก็เพราะขุนนางพวกกังฉินทูลยุยง ตัวเรามิสู้ก็จำสู้ อุปมาเหมือนเพลิงไหม้ศรีษะ ธรรมดาว่าคนเพลิงติดขึ้นบนศรีษะแล้ว ก็ย่อมจะขวนขวายให้เพลิงนั้นพ้นจากศรีษะด้วยความร้อน ซึ่งเราจับท่านได้ครั้งนี้ เราไม่ทำอันตรายแก่ท่าน เพราะตัวของท่านเป็นข้าราชการ อยู่ในพระเจ้าซ้องฮุยจง เราจึงได้นับถือ....."
หองมุ้ยก็มีความยินดี จึงบอกว่า
".....เดิมข้าพเจ้าได้ยินขุนนางและราษฎรในเมืองหลวงและหัวเมือง กล่าวโทษท่านว่าเป็นโจรเที่ยวตีปล้นบ้านเมือง และราษฎรจะชิงเอาราชสมบัติ คำคนกล่าวร้ายนั้นมากคำสรรเสริญนั้นน้อยนัก ข้าพเจ้าก็เป็นคนหูเบาหลงเชื่อ บัดนี้ได้ยินถ้อยคำและเห็นน้ำใจท่าน ไม่สมกับความนินทาเลย...."
ซ้องกั๋งก็ว่า
".....ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองตังเกียนั้น เป็นกังฉินสักร้อยส่วน ที่เป็นคนตั้งอยู่ในสุจริตสักส่วนเดียว และคนกังฉินที่เป็นพาลนั้น ย่อมประกอบด้วยความอิจฉา ถ้าเห็นว่าผู้ใดตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต และหมั่นประพฤติการควรประพฤติแล้ว ก็กล่าวคำนินทาต่าง ๆ การเป็นเช่นนี้ ความนินทาจึงมากกว่าสรรเสริญ....."
ว่าแล้วก็จัดโต๊ะสุราอาหารมาเลี้ยง หองมุ้ยพักอยู่กับซ้องกั๋งอีกสามวันแล้วก็ขอลากลับ ซ้องกั๋งก็สั่งเสียให้ช่วยกราบทูลฮ่องเต้ตามความจริงด้วย
ทางฝ่ายท่องกวน เมื่อกลับไปถึงเมืองตังเกียแล้ว ก็ไปหา กอกิว หรือที่มีตำแหน่งเป็น กอไทอวยขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร เล่าเรื่องที่แตกทัพให้ฟัง เมื่อปรึกษากันอยู่ หองมุ้ยก็กลับมาถึง เล่าเรื่องที่ซ้องกั๋งปล่อยตัวมาทุกประการ กอกิว กับ ชัวเกีย จึงพาท่องกวนเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจงในวันรุ่งขึ้น
ท่องกวนกราบทูลว่า ยกทัพไปครั้งนี้เป็นฤดูแล้ง น้ำในหนองบึงงวดลง มีรสเปรี้ยวเฝื่อน คนในกองทัพอาบกินจึงเป็นโรคตายเพราะผิดน้ำ ชัวเกียกับกอกิวก็ช่วยสนับสนุน และกอกิวก็ขออาสายกทัพไปปราบพวกเขาเนียซัวเปาะอีกครั้ง คราวนี้จะยกไปทั้งทัพบกทัพเรือ
พระเจ้าซ้องฮุยจง จึงพระราชทานกระบี่อาญาสิทธิ์ ให้กอกิวเป็นแม่ทัพ
กอกิวก็เบิกเงินในท้องพระคลังไปสามสิบหาบ และมีคำสั่งให้หัวเมืองต่าง ๆ ต่อเรือรบจำนวนสองร้อยลำ ให้ได้ในหกสิบวัน แล้วเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองที่อยู่ใกล้เขาเนียซัวเปาะถึงสิบหัวเมือง เป็นจำนวนสิบหมื่น อีกสองเมืองเป็นทหารเรือจำนวนหมื่นห้าพัน แล้วยกไปบรรจบกันที่เมืองจีจิวตามกำหนด
กอกิวก็เลือกเอาทหารของตนหมื่นห้าพัน และจัดนางมโหรีกับคนขับร้องที่รูปงามเสียงไพเราะไปด้วยสามสิบเศษ ให้นั่งรถไปอย่างสบาย แล้วก็ยกพลไปยังเมืองจีจิว เตรียมทำสงครามกับฝ่ายกองโจรเขาเนียซัวเปาะ ให้แตกหักไป
ซ้องกั๋งก็ปรึกษากับโงวหยงว่า
".....กอกิวยกมาครั้งนี้มีทหารถึงสิบสี่สิบห้าหมื่น ทหารของเราสิน้อยกว่า จะต่อสู้เขาได้หรือ...."
โงวหยงจึงว่า
".....ลักษณะการจะทำศึกสงคราม ก็ต้องอาศัยความเพียรและสติปัญญาเป็นประมาณ ถ้าหาปัญญามิได้แล้ว ถึงจะมีทหารสักเท่าใด ก็ย่อมจะปราชัยแก่ผู้มีปัญญาเป็นแท้ ท่านไม่รู้หรือ เมื่อครั้งแผ่นดินสามก๊ก เล่าปี่มีทหารสามพัน โจโฉยกกองทัพมาหลายสิบหมื่น ถึงกระนั้นขงเบ้งก็ยังคิดกลอุบาย เอาชัยชนะให้โจโฉแตกไปได้ และกองทัพของเรานี้ มีทหารมากกว่าเล่าปี่สองสามส่วน จะคิดเอาชนะกอกิว ไม่ได้หรือ....."
แล้วโงวหยงก็จัดทัพเรือให้ อวนเซียวยี อวนเซียวเหงา อวนเซียวชิด สามพี่น้องผู้ชำนาญทางน้ำ คุมกองทัพเรือ แล้วซ้องกั๋งก็ยกข้ามน้ำไปตั้งค่ายประจันหน้ากับทหารหลวง
ทั้งสองฝ่ายรบกันอยู่หลายวัน กอกิวก็เรียกกองทัพเรือ ให้เข้าตีทางด้านหลังของค่ายซ้องกั๋ง แต่ถูกทัพเรือของเนียซัวเปาะ ทำลายหมดทั้งกองทัพ แล้วกองทัพบกของซ้องกั๋งก็เข้าตีค่ายของกอกิวแตก ต้องถอยกลับไปเมืองจีจิว และต่อเรือรบขึ้นใหม่อีก
ซ้องกั๋งยกกองทัพตามมาถึงเมืองจีจิว แม้จะไม่สามารถตีเมืองจีจิวได้ แต่ในการรบก็จับตัว ฮั่นซุนป๊อ และ ตันซิหยง นายทหารเอกของกอกิวได้ ซ้องกั๋งก็เกลี้ยกล่อมเช่นเดียวกับหองมุ้ย แล้วส่งตัวกลับไปเมืองจีจิว
กอกิวก็สั่งให้ประหารชีวิตนายทหารทั้งสอง แต่นายทหารทั้งหลายได้ขอโทษไว้ กอกิวจึงถอดออกจากตำแหน่ง และขับไล่ออกไปจากกองทัพ ทั้งสองจึงกลับมาที่เมืองตังเกีย เข้าไปหาขุนนางตงฉิน เล่าเรื่องซ้องกั๋งตั้งใจสามิภักดิ์ให้ฟัง ขุนนางตงฉิน จึงพากันไปเฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจง และกราบทูลข้อความให้ทรงทราบทุกประการ กับขอให้มีหนังสือรับสั่ง ให้ข้าหลวง ไปว่ากล่าวซ้องกั๋งแต่โดยดีอีกครั้ง
พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงโปรดให้มีหนังสือให้ บุ้นฮวนเจียง ถือไปเมืองจีจิว
ฝ่ายกอกิวให้ชาวเมืองต่อเรือรบใหญ่น้อย ได้ถึงสองพันห้าร้อยลำเสร็จ และฝึกทหารเรือเรียบร้อยแล้ว ก็ตรึงให้เรือติดกันเป็นคู่ ๆ ยกเป็นทัพหน้าเข้าตีพวกเขาเนียซัวเปาะ แล้วตนเองก็ยกทัพบกตามไป แต่ทัพเรือของกอกิวก็ถูกอุบายของโงวหยงเผาเสียทั้งกองทัพ เช่นเดียวกับที่ ขงเบ้ง เคยทำกับ โจโฉ กองทัพบกก็ถูกดักซุ่มโจมตีจนแตกพ่าย นายทหารเอกถูกจับไปตัดศรีษะ อีกสองคน ต้องกลับมาพักฟื้นอยู่ในเมืองจีจิวอีกครั้ง.
##########
นิตยสารโล่เงิน
กรกฎาคม ๒๕๔๒