ขุนโจรแห่งเขาเนียซัวเปาะ
กองโจรกลับใจ
ตอนที่ ๖ เต็มใจสามิภักดิ์
"เล่าเซี่ยงชุน"
ก่อนที่ผู้คุมของโจรเขาเนียซัวเปาะได้นำตัว กอกิวแม่ทัพใหญ่ของเมืองตังเกีย กับ บุ้นฮวนเจียงที่ปรึกษามาหาซ้องกั๋งไต้อ๋องของโจรเขาเนียซัวเปาะนั้น บุ้นฮวนเจียงได้ปลอบใจกอกิว ซึ่งกำลังโศกเศร้าเสียใจว่า
".....ความเกิดกับความตายเป็นของคู่กัน ซึ่งท่านจะร้องไห้อาลัยถึงชีวิตนั้นไม่เป็นประโยชน์.....ถ้าท่านรักชีวิตคิดจะกลับไปเมืองตังเกียแล้ว ข้าพเจ้าจะบอกให้ ตัวท่านครั้งนี้ก็เข้าที่คับแค้นเจียนจะถึงแก่ความตาย อย่าได้ถือตัวว่ามีบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางผู้ใหญ่เลย จงพูดจาอ่อนน้อมไกล่เกลี่ยเป็นไมตรีเอาใจดีต่อซ้องกั๋ง คงไม่ทำอันตรายเป็นแท้....."
ดังนั้นเมื่อถูกพามาถึงตรงหน้าซ้องกั๋ง กอกิวก็คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า
".....ข้าพเจ้ากับท่านทำศึกแก่กัน บัดนี้ข้าพเจ้าเสียทีท่านจับได้ ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่านแล้ว ขอท่านผู้มีอำนาจจงได้กรุณายกโทษเสียครั้งหนึ่งเถิด ถ้าท่านเมตตาปล่อยไปแล้ว ก็ เหมือนท่านทำความชอบไว้ในพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะนำความดีของท่าน ขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ....."
ซ้องกั๋งเห็นกอกิวสารภาพผิดก็มีความเมตตา ลุกขึ้นไปต้อนรับจูงมือขึ้นมานั่งเก้าอี้ที่หนึ่ง ให้บุ้นฮวนเจียงนั่งเก้าอี้ที่สอง ส่วนตนเองกับโงวหยงและพรรคพวกทั้งหลาย ยอมนั่งเก้าอี้ถัดไปตามลำดับ และสั่งให้จัดเครื่องแต่งตัวมา ผลัดเปลี่ยนให้ทั้งสองคนไปอาบน้ำชำระกายให้สบายเสียก่อน แล้วจึงเข้ามาสนทนากัน
เมื่อทั้งสองคนเปลี่ยนเสื้อกางเกงใหม่เรียบร้อยแล้ว กอกิวก็พูดยกย่องซ้องกั๋งว่า
".....ข้าพเจ้าเป็นข้าศึก ท่านจับมาได้ไม่ทำอันตราย แล้วมิหนำซ้ำต้องเสีย เครื่องนุ่งห่มให้อีกนั้น คุณของท่านหาที่จะอุปมามิได้ ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายไปก่อน ก็จะสั่งบุตรและหลานว่า ถ้าพบปะพวกแซ่ซ้องแล้ว ถึงจะเป็นคนอนาถายากจนอย่าได้ดูหมิ่น จงช่วยอุปถัมภ์สงเคราะห์ไปตามกำลัง ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้เป็นความสัตย์...."
ซ้องกั๋งก็ปล่อยตัวทหารเมืองตังเกียที่ตกเป็นเชลยอยู่ทั้งสิ้น กอกิวกับที่ปรึกษาพักอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะได้สามวัน กอกิวก็ขอลากลับไปโดยให้บุ้นฮวนเจียงอยู่เป็นตัวจำนำ และซ้องกั๋งก็ให้ เซียวเหยียง กับ งักหัว ติดตามกอกิวไปด้วยเพื่อฟังข่าว
กอกิวพาทหารที่เหลือประมาณสามหมื่นกลับไปเมืองตังเกีย แล้วก็เล่าเรื่องราวให้ ชัวเกีย ท่องกวน และพวกขุนนางกังฉินทราบ กับขอร้องให้ชัวเกียกราบทูล พระเจ้าซ้องฮุยจงว่ากอกิวป่วยจึงต้องกลับมารักษาตัวก่อน แล้วจึงจะยกออกไปอีก
ส่วนข้อความที่รับปากกับซ้องกั๋งนั้นก็เก็บไว้ มิได้กราบทูล และให้เอาตัวเซียวเหยียงกับงักหัวไปขังไว้ในบ้าน
ฝ่ายซ้องกั๋งเมื่อปล่อยตัวกอกิวไปแล้ว ก็คอยอยู่เป็นเวลานาน แต่มิได้ข่าวคราวประการใด จึงปรึกษากับโงวหยง เพื่อจัดส่งพรรคพวกไปสืบข่าวในเมืองหลวง เอียนเชง ก็ขออาสาไปสืบข่าวคราว ที่บ้านของ นางหลีซือซือ ซึ่งเคยรู้จักกันเมื่อไปครั้งก่อนโดยไตจง กับ ซิเซียน จะไปเป็นเพื่อน
ซ้องกั๋งก็มอบเงินทองกับเพชรพลอยไปเป็นของกำนัลแก่นางหลีซือซือ และขอให้บุ้นฮวนเจียง เขียนหนังสือฝากฝังไปกับ ซกไทอวย ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายตงฉิน ให้ช่วยเหลือด้วย เอียนเชงกับไตจงและซิเซียนเข้าไปในเมืองหลวงได้ไม่นาน ก็กลับมารายงานผล พอสรุปความได้ว่า
ไตจงกับซิเซียนได้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมใกล้ประตูเมือง แล้วเอียนเชงก็ไปหานางหลีซือซือ ที่บ้านซึ่งสร้างขึ้นใหม่แทนหลังเก่า ที่ถูก ลีขุย เผาทิ้งไปแล้ว เอียนเชงขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ แล้วก็อธิบายความเก่าว่า
"....คนรูปร่างต่ำ ผิวเนื้อดำแดง นั่งเก้าอี้ที่หนึ่งนั้นชื่อซ้องกั๋ง เป็นใหญ่อยู่ ณ เขาเนียซัวเปาะ ที่นั่งเก้าอี้ที่สองนั้นชื่อ ชาจิน ที่อยู่ริมประตูสองคนนั้นชื่อไตจงกับลีขุย ตัวเรานี้ชื่อ เอียนเชง...."
นางหลีซือซือว่า ซ้องกั๋งนั้นเป็นโจรใจร้ายเหตุใดจึงพามา เอียนเชงก็ชี้แจงว่า
"....ซ้องกั๋งพี่เรานี้เป็นคนใจดี มีความอารีโอบอ้อมแก่คนทั้งปวง คิดจะเข้ามาสามิภักดิ์ ทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้บ้านเมืองมีความสุข ก็ยังหาช่องโอกาสมิได้........จึงอุตส่าห์แอบแฝงเล็ดลอดเข้ามา หมายจะเฝ้ากราบทูลความ ขอเข้ามาสามิภักดิ์ ก็หาทันได้กราบทูลไม่ พอดีลีขุยกับขุนนางพวกรักษาพระองค์ เกิดวิวาทกันจึงได้กลับออกไปยังเขาเนียซัวเปาะ บัดนี้ซ้องกั๋งใช้ให้ข้าพเจ้า คุมทองคำกับเงินและเพชรพลอยสีต่าง ๆ มาคำนับท่าน....."
ว่าแล้วเอียนเชงก็เอาของกำนัลมากองให้ นางหลีซือซือก็มีความยินดี และว่าจะช่วยหาช่องทางให้ได้เฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจง และให้พักรออยู่ด้วยกันก่อน เอียนเชงเกรงว่าจะเกิดความเสียหายในทางชู้สาว จึงยอมคำนับวางตัวเป็นน้องนางหลีซือซือ และพักคอยเวลาอยู่
คืนวันหนึ่งพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาฟังมโหรี ที่บ้านนางหลีซือซือตามเคย นางหลีซือซือก็อุบายให้เอียนเชง ออกมาร้องเพลงแทนตน พระเจ้าซ้องฮุยจงพอพระทัยจึงตรัสปราศรัยด้วย
เอียนเชงถือโอกาสกราบทูลว่า ตนเองถูกพวกโจรเขาเนียซัวเปาะจับไปอยู่ด้วย เป็นเวลาถึงสองปี บัดนี้ได้ช่องหนีมา เกรงว่าจะถูกเจ้าพนักงานจับกุม จึงขอหนังสือยกโทษไว้คุ้มตัว
พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงพระอักษรด้วยพระหัตถ์ พระราชทาน แก่เอียนเชง แล้วทรงถามถึงอัธยาศรัยของซ้องกั๋งหัวหน้าโจร กับพวกว่ามีความประพฤติเป็นประการใดบ้าง
เอียนเชงก็กราบทูลยกย่องซ้องกั๋งและเล่าเรื่องที่ได้มีหนังสือรับสั่งของฮ่องเต้ ไปถึงซ้องกั๋งทั้งสองครั้งแล้วไม่สำเร็จ เพราะขุนนางกังฉินไม่เต็มใจให้ซ้องกั๋งเข้ามาสามิภักดิ์ จึงแก้ไขข้อความให้เกิดความขัดแค้น ในหมู่พวกเขาเนียซัวเปาะ
แม้แต่การรบกับท่องกวน ที่กราบทูลว่าพวกโจรเอายาพิษใส่ในบึงห้วยหนอง จนทหารหลวงอาบกินแล้วเจ็บป่วยตายไปทั้งกองทัพ และการรบกับกอกิวครั้งหลังอ้างว่าป่วยไข้ ต้องยกทัพกลับนั้น ก็เป็นความเท็จทั้งสิ้น กอกิวพ่ายแพ้ถูกจับเป็นเชลย แต่ซ้องกั๋งปล่อยตัวมาเพื่อให้กราบทูลขอสามิภักดิ์ ต่อพระเจ้าซ้องฮุยจง กอกิวก็ให้บุ้นฮวนเจียงเป็นตัวจำนำอยู่ และเมื่อกลับมาแล้วก็นิ่งเสีย
พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงทรงเข้าพระทัย
และก่อนจะกลับมา เอียนเชงกับไตจงและซิเซียนก็ได้ไปช่วยแก้ไขเอา ตัวเซียวเหยียงกับงักหัว ออกมาจากบ้านของกอกิวด้วย
ซ้องกั๋งได้ฟังแล้ว ก็สรรเสริญสติปัญญาของเอียนเชง เป็นอันมาก และโงวหยงก็ให้ม้าใช้ไปคอยสืบข่าวในเมืองหลวงตลอดเวลา
ฝ่ายพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ ออกว่าราชการแล้วทรงซักถามขุนนางฝ่ายกังฉิน ถึงเรื่องราวที่ได้ไปรบกับซ้องกั๋ง ท่องกวนก็กราบทูลความเท็จ ช่วยแก้ตัวให้กอกิวและทับถมซ้องกั๋งต่าง ๆ นา ๆ พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสว่า
".....ความไม่จริงของตัวนั้นก็มาก ยังเก็บเอาความโกงของคนอื่นมาช่วยอีกเล่า ความดีความร้ายของซ้องกั๋ง จะเป็นประการใดนั้นเรารู้อยู่ทั้งสิ้น แต่พวกกังฉินปกปิดความไว้ ชวนกันยุยงให้หลงโกรธเขา จนขุนนางนายทหารที่เป็นคนซื่อสัตย์ พลอยได้ความเดือดร้อนเพราะคนโกง ซึ่งขุนนางพวกกังฉิน คบคิดกันส่อเสียดใส่โทษซ้องกั๋งนั้น จะให้พิจารณาชำระเอาความจริง ก็จะตลอดถึงผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งสิ้น แล้วจะต้องลงโทษตามอาญาศึก พวกคนคดที่ต้องโทษก็จะชวนกันติเตียนเราว่า พระมหากษัตริย์ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ปราศจากความกรุณา ทำผิดครั้งเดียวไม่ควรจะทำโทษ ด้วยเราทำความชอบไว้มากคงจะคุ้มกันได้ ความคิดของคนพาล คงเป็นเช่นนี้ เราจะภาคทัณฑ์ไว้ให้สมความคิดของเขาสักครั้งหนึ่ง ถ้าสืบไปเมื่อหน้า ทำความผิดเหมือนครั้งนี้แล้ว จะทำตามโทษานุโทษ....."
พวกขุนนางกังฉินได้ยินรับสั่งเช่นนั้น ก็มีความกลัวยิ่งนักนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ ไม่มีผู้ใดกราบทูลแก้ไขประการใด ด้วยเป็นความจริงทั้งสิ้น
พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงให้ทำหนังสือรับสั่ง ให้ ซกไทอวยถือไปหาซ้องกั๋ง พร้อมด้วยป้ายทองคำสามสิบหก ป้ายเงินเจ็ดสิบสอง รวมร้อยแปดป้าย และให้เจ้าพนักงานจัดแพรแดงสามสิบหก แพรเขียวเจ็ดสิบสองไม้ สุราร้อยแปดขวด เป็นของพระราชทานปูนบำเหน็จแก่ซ้องกั๋ง และพรรคพวกทุกคน
ซกไทอวยก็นำขบวนออกจากเมืองตังเกีย มาถึงเมืองจีจิว เตียซกแม้ออกมาต้อนรับพาเข้าไปที่พัก เมื่อทราบเรื่องราวแล้วก็ยินดี กล่าวว่า
"...อาณาประชาราษฎรไม่ได้ทำมาหากินมาหลายปี ในบ้านเมืองข้าพเจ้า และหัวเมืองเขตแดนติดต่อกันนี้กันดารด้วยเสบียงอาหารนัก ซึ่งมีพระอักษรมาเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋งคราวนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยเสร็จการศึก ราษฎรในแขวงหัวเมือง จะได้ทำมาหากินเป็นสุขสบายทั่วกัน..."
แล้วเตียซกแม้ก็เดินทางไปบอกข่าวแก่ซ้องกั๋งด้วยตนเอง ซ้องกั๋งขอเวลาจัดแจงเตรียมต้อนรับข้าหลวงสามวัน แล้วก็สั่งให้ทหารปลูกโรงพิธีใหญ่ มีเฉลียงลดสามชั้น เสาและเพดานหุ้มดาดด้วยผ้าแดง ห้อยพวงดอกไม้อัจกลับแลโคมงดงาม พื้นล่างปูพรมเจียม ตั้งโต๊ะเก้าอี้เหมือนพระที่นั่งเสด็จออกว่าราชการ และเฉลียงล่างตั้งเครื่องดนตรีมโหรีประโคม
เสร็จแล้วซ้องกั๋งกับ โลวจุนหงี หัวหน้าที่สองกับไพร่พลสิบคน ก็ข้ามฟากไปรับซกไทอวยข้าหลวงใหญ่
เมื่อมาถึงโรงพิธีแล้ว ข้าหลวงก็เชิญพระอักษรขึ้นตั้งไว้บนโต๊ะ แล้วให้เซียวเหยียงเป็นผู้อ่านดังคราวก่อน ในหนังสือรับสั่งฉบับนี้ มีแต่ข้อความที่เป็นมงคลทั้งสิ้น และสรุปความว่า
"....บัดนี้ทราบว่าซ้องกั๋งเป็นคนสัตย์ซื่อ มั่นคงประกอบด้วยกำลังและปัญญา คิดจะเข้าไปสามิภักดิ์ทำราชการ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้มีความสุขด้วยกันนั้น เรายินดีเป็นอันมาก จึงได้มีลายอักษรให้ซกไทอวยคุมสิ่งของมาพระราชทาน.....ถ้าซ้องกั๋งกับพรรคพวก ได้ทราบความตาม พระอักษรแล้ว จงรีบพากันเข้าไปถวายบังคมโดยเร็ว จะโปรดพระราชทานยศศักดิ์ตามสมควร...."
ซ้องกั๋งก็รับของพระราชทาน มาแจกแก่นายทหารเอกโทถ้วนทุกคนแล้วก็รินสุราแจกจ่ายกินพร้อมกัน
ซกไทอวยพักอยู่กับซ้องกั๋งสามวันแล้ว ก็ขอลากลับไปก่อน และเร่งให้ซ้องกั๋งเข้าไปเฝ้าโดยเร็ว ถ้าขืนช้าไปแล้วขุนนางกังฉินคิดอ่านหาเหตุอุบาย มาขัดขวางให้ได้ความลำบากอีก
ซ้องกั๋งก็ขอเวลาจัดแจงเรื่องครอบครัวทหาร และราษฎรชาวบ้าน เป็นเวลาสิบวันก่อน แล้วพากันไปส่งซกไทอวย จนพ้นแดนเขาเนียซัวเปาะประมาณสามสิบลี้ จึงคำนับลากลับมาค่าย
ซ้องกั๋งก็ประชุมพรรคพวกทั้งหมด และกล่าวว่า
"....ท่านทั้งปวงที่มาประชุมกันอยู่เช่นนี้ เหมือนกับอยู่ในที่มืด ถึงจะเห็นแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์บ้างก็ไม่ชัด ด้วยมหาเมฆมาปิดกำบังไว้ บัดนี้มีลมพายุใหญ่พัดเปิดเอาเมฆนั้นไปพ้นแล้ว เราท่านก็ได้เห็นแสงสว่าง เหมือนกับเราทำการชั่วมาแต่ก่อน บัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงมีพระอักษรแจ้งมาให้เห็นหนทางแล้ว ก็ควรจะเข้าสามิภักดิ์เป็นข้าฉลองพระคุณ....."
แล้วซ้องกั๋งก็ให้ทหารทั้งหลายตัดสินใจ ผู้ใดจะสมัครไปด้วยก็รับไว้ ผู้ที่ไม่สมัครไปขออยู่ที่เขาเนียซัวเปาะมีห้าพันครอบครัว ซ้องกั๋งจึงเอาบัญชีทรัพย์สินเงินทองของกลางมาตรวจดู แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งนั้นถวายเป็นของหลวง อีกครึ่งหนึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนเหมือนกัน
ส่วนหนึ่งแจกให้ทหารที่จะอยู่และจะไป อีกส่วนหนึ่งให้แจกชาวบ้านซึ่งมีคุณอยู่ในตำบลนี้ โดยปิดประกาศไว้ทั้งสี่ทิศ มีความว่า
".....แต่บรรดาราษฎรซึ่งอยู่ในเขตเขาเนียซัวเปาะนั้น จงพากันไปรับเอาเงินทองที่ค่าย ซ้องกั๋งจะแจกจ่ายให้เสมอกัน ไม่เลือกหน้า ถึงทารกยังนอนอยู่ในผ้าอ้อมก็มีส่วนแจกเหมือนกัน ถ้าราษฎรรู้คำประกาศ นี้แล้ว จงรีบเข้าไปในเจ็ดวัน...."
แล้ว ซ้องกั๋ง ก็พาพรรคพวกทั้งร้อยแปดคน กับบุ้นฮวนเจียง และไพร่พลอีกเป็นจำนวนมาก เดินทางไปยังเมืองตังเกียโดยมิชักช้า ด้วยความจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ อย่าง บริสุทธิ์ใจ.
##########
นิตยสารโล่เงิน
กันยายน ๒๕๔๒
กองโจรกลับใจ (๖) ๑๒ ก.ย.๕๘
กองโจรกลับใจ
ตอนที่ ๖ เต็มใจสามิภักดิ์
"เล่าเซี่ยงชุน"
ก่อนที่ผู้คุมของโจรเขาเนียซัวเปาะได้นำตัว กอกิวแม่ทัพใหญ่ของเมืองตังเกีย กับ บุ้นฮวนเจียงที่ปรึกษามาหาซ้องกั๋งไต้อ๋องของโจรเขาเนียซัวเปาะนั้น บุ้นฮวนเจียงได้ปลอบใจกอกิว ซึ่งกำลังโศกเศร้าเสียใจว่า
".....ความเกิดกับความตายเป็นของคู่กัน ซึ่งท่านจะร้องไห้อาลัยถึงชีวิตนั้นไม่เป็นประโยชน์.....ถ้าท่านรักชีวิตคิดจะกลับไปเมืองตังเกียแล้ว ข้าพเจ้าจะบอกให้ ตัวท่านครั้งนี้ก็เข้าที่คับแค้นเจียนจะถึงแก่ความตาย อย่าได้ถือตัวว่ามีบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางผู้ใหญ่เลย จงพูดจาอ่อนน้อมไกล่เกลี่ยเป็นไมตรีเอาใจดีต่อซ้องกั๋ง คงไม่ทำอันตรายเป็นแท้....."
ดังนั้นเมื่อถูกพามาถึงตรงหน้าซ้องกั๋ง กอกิวก็คุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า
".....ข้าพเจ้ากับท่านทำศึกแก่กัน บัดนี้ข้าพเจ้าเสียทีท่านจับได้ ชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่านแล้ว ขอท่านผู้มีอำนาจจงได้กรุณายกโทษเสียครั้งหนึ่งเถิด ถ้าท่านเมตตาปล่อยไปแล้ว ก็ เหมือนท่านทำความชอบไว้ในพระเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะนำความดีของท่าน ขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ....."
ซ้องกั๋งเห็นกอกิวสารภาพผิดก็มีความเมตตา ลุกขึ้นไปต้อนรับจูงมือขึ้นมานั่งเก้าอี้ที่หนึ่ง ให้บุ้นฮวนเจียงนั่งเก้าอี้ที่สอง ส่วนตนเองกับโงวหยงและพรรคพวกทั้งหลาย ยอมนั่งเก้าอี้ถัดไปตามลำดับ และสั่งให้จัดเครื่องแต่งตัวมา ผลัดเปลี่ยนให้ทั้งสองคนไปอาบน้ำชำระกายให้สบายเสียก่อน แล้วจึงเข้ามาสนทนากัน
เมื่อทั้งสองคนเปลี่ยนเสื้อกางเกงใหม่เรียบร้อยแล้ว กอกิวก็พูดยกย่องซ้องกั๋งว่า
".....ข้าพเจ้าเป็นข้าศึก ท่านจับมาได้ไม่ทำอันตราย แล้วมิหนำซ้ำต้องเสีย เครื่องนุ่งห่มให้อีกนั้น คุณของท่านหาที่จะอุปมามิได้ ถึงตัวข้าพเจ้าจะตายไปก่อน ก็จะสั่งบุตรและหลานว่า ถ้าพบปะพวกแซ่ซ้องแล้ว ถึงจะเป็นคนอนาถายากจนอย่าได้ดูหมิ่น จงช่วยอุปถัมภ์สงเคราะห์ไปตามกำลัง ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้เป็นความสัตย์...."
ซ้องกั๋งก็ปล่อยตัวทหารเมืองตังเกียที่ตกเป็นเชลยอยู่ทั้งสิ้น กอกิวกับที่ปรึกษาพักอยู่ที่เขาเนียซัวเปาะได้สามวัน กอกิวก็ขอลากลับไปโดยให้บุ้นฮวนเจียงอยู่เป็นตัวจำนำ และซ้องกั๋งก็ให้ เซียวเหยียง กับ งักหัว ติดตามกอกิวไปด้วยเพื่อฟังข่าว
กอกิวพาทหารที่เหลือประมาณสามหมื่นกลับไปเมืองตังเกีย แล้วก็เล่าเรื่องราวให้ ชัวเกีย ท่องกวน และพวกขุนนางกังฉินทราบ กับขอร้องให้ชัวเกียกราบทูล พระเจ้าซ้องฮุยจงว่ากอกิวป่วยจึงต้องกลับมารักษาตัวก่อน แล้วจึงจะยกออกไปอีก
ส่วนข้อความที่รับปากกับซ้องกั๋งนั้นก็เก็บไว้ มิได้กราบทูล และให้เอาตัวเซียวเหยียงกับงักหัวไปขังไว้ในบ้าน
ฝ่ายซ้องกั๋งเมื่อปล่อยตัวกอกิวไปแล้ว ก็คอยอยู่เป็นเวลานาน แต่มิได้ข่าวคราวประการใด จึงปรึกษากับโงวหยง เพื่อจัดส่งพรรคพวกไปสืบข่าวในเมืองหลวง เอียนเชง ก็ขออาสาไปสืบข่าวคราว ที่บ้านของ นางหลีซือซือ ซึ่งเคยรู้จักกันเมื่อไปครั้งก่อนโดยไตจง กับ ซิเซียน จะไปเป็นเพื่อน
ซ้องกั๋งก็มอบเงินทองกับเพชรพลอยไปเป็นของกำนัลแก่นางหลีซือซือ และขอให้บุ้นฮวนเจียง เขียนหนังสือฝากฝังไปกับ ซกไทอวย ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายตงฉิน ให้ช่วยเหลือด้วย เอียนเชงกับไตจงและซิเซียนเข้าไปในเมืองหลวงได้ไม่นาน ก็กลับมารายงานผล พอสรุปความได้ว่า
ไตจงกับซิเซียนได้พักอยู่ที่โรงเตี๊ยมใกล้ประตูเมือง แล้วเอียนเชงก็ไปหานางหลีซือซือ ที่บ้านซึ่งสร้างขึ้นใหม่แทนหลังเก่า ที่ถูก ลีขุย เผาทิ้งไปแล้ว เอียนเชงขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องใหญ่ แล้วก็อธิบายความเก่าว่า
"....คนรูปร่างต่ำ ผิวเนื้อดำแดง นั่งเก้าอี้ที่หนึ่งนั้นชื่อซ้องกั๋ง เป็นใหญ่อยู่ ณ เขาเนียซัวเปาะ ที่นั่งเก้าอี้ที่สองนั้นชื่อ ชาจิน ที่อยู่ริมประตูสองคนนั้นชื่อไตจงกับลีขุย ตัวเรานี้ชื่อ เอียนเชง...."
นางหลีซือซือว่า ซ้องกั๋งนั้นเป็นโจรใจร้ายเหตุใดจึงพามา เอียนเชงก็ชี้แจงว่า
"....ซ้องกั๋งพี่เรานี้เป็นคนใจดี มีความอารีโอบอ้อมแก่คนทั้งปวง คิดจะเข้ามาสามิภักดิ์ ทำราชการช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ให้บ้านเมืองมีความสุข ก็ยังหาช่องโอกาสมิได้........จึงอุตส่าห์แอบแฝงเล็ดลอดเข้ามา หมายจะเฝ้ากราบทูลความ ขอเข้ามาสามิภักดิ์ ก็หาทันได้กราบทูลไม่ พอดีลีขุยกับขุนนางพวกรักษาพระองค์ เกิดวิวาทกันจึงได้กลับออกไปยังเขาเนียซัวเปาะ บัดนี้ซ้องกั๋งใช้ให้ข้าพเจ้า คุมทองคำกับเงินและเพชรพลอยสีต่าง ๆ มาคำนับท่าน....."
ว่าแล้วเอียนเชงก็เอาของกำนัลมากองให้ นางหลีซือซือก็มีความยินดี และว่าจะช่วยหาช่องทางให้ได้เฝ้าพระเจ้าซ้องฮุยจง และให้พักรออยู่ด้วยกันก่อน เอียนเชงเกรงว่าจะเกิดความเสียหายในทางชู้สาว จึงยอมคำนับวางตัวเป็นน้องนางหลีซือซือ และพักคอยเวลาอยู่
คืนวันหนึ่งพระเจ้าซ้องฮุยจงเสด็จมาฟังมโหรี ที่บ้านนางหลีซือซือตามเคย นางหลีซือซือก็อุบายให้เอียนเชง ออกมาร้องเพลงแทนตน พระเจ้าซ้องฮุยจงพอพระทัยจึงตรัสปราศรัยด้วย
เอียนเชงถือโอกาสกราบทูลว่า ตนเองถูกพวกโจรเขาเนียซัวเปาะจับไปอยู่ด้วย เป็นเวลาถึงสองปี บัดนี้ได้ช่องหนีมา เกรงว่าจะถูกเจ้าพนักงานจับกุม จึงขอหนังสือยกโทษไว้คุ้มตัว
พระเจ้าซ้องฮุยจงก็ทรงพระอักษรด้วยพระหัตถ์ พระราชทาน แก่เอียนเชง แล้วทรงถามถึงอัธยาศรัยของซ้องกั๋งหัวหน้าโจร กับพวกว่ามีความประพฤติเป็นประการใดบ้าง
เอียนเชงก็กราบทูลยกย่องซ้องกั๋งและเล่าเรื่องที่ได้มีหนังสือรับสั่งของฮ่องเต้ ไปถึงซ้องกั๋งทั้งสองครั้งแล้วไม่สำเร็จ เพราะขุนนางกังฉินไม่เต็มใจให้ซ้องกั๋งเข้ามาสามิภักดิ์ จึงแก้ไขข้อความให้เกิดความขัดแค้น ในหมู่พวกเขาเนียซัวเปาะ
แม้แต่การรบกับท่องกวน ที่กราบทูลว่าพวกโจรเอายาพิษใส่ในบึงห้วยหนอง จนทหารหลวงอาบกินแล้วเจ็บป่วยตายไปทั้งกองทัพ และการรบกับกอกิวครั้งหลังอ้างว่าป่วยไข้ ต้องยกทัพกลับนั้น ก็เป็นความเท็จทั้งสิ้น กอกิวพ่ายแพ้ถูกจับเป็นเชลย แต่ซ้องกั๋งปล่อยตัวมาเพื่อให้กราบทูลขอสามิภักดิ์ ต่อพระเจ้าซ้องฮุยจง กอกิวก็ให้บุ้นฮวนเจียงเป็นตัวจำนำอยู่ และเมื่อกลับมาแล้วก็นิ่งเสีย
พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงทรงเข้าพระทัย
และก่อนจะกลับมา เอียนเชงกับไตจงและซิเซียนก็ได้ไปช่วยแก้ไขเอา ตัวเซียวเหยียงกับงักหัว ออกมาจากบ้านของกอกิวด้วย
ซ้องกั๋งได้ฟังแล้ว ก็สรรเสริญสติปัญญาของเอียนเชง เป็นอันมาก และโงวหยงก็ให้ม้าใช้ไปคอยสืบข่าวในเมืองหลวงตลอดเวลา
ฝ่ายพระเจ้าซ้องฮุยจงฮ่องเต้ ออกว่าราชการแล้วทรงซักถามขุนนางฝ่ายกังฉิน ถึงเรื่องราวที่ได้ไปรบกับซ้องกั๋ง ท่องกวนก็กราบทูลความเท็จ ช่วยแก้ตัวให้กอกิวและทับถมซ้องกั๋งต่าง ๆ นา ๆ พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงตรัสว่า
".....ความไม่จริงของตัวนั้นก็มาก ยังเก็บเอาความโกงของคนอื่นมาช่วยอีกเล่า ความดีความร้ายของซ้องกั๋ง จะเป็นประการใดนั้นเรารู้อยู่ทั้งสิ้น แต่พวกกังฉินปกปิดความไว้ ชวนกันยุยงให้หลงโกรธเขา จนขุนนางนายทหารที่เป็นคนซื่อสัตย์ พลอยได้ความเดือดร้อนเพราะคนโกง ซึ่งขุนนางพวกกังฉิน คบคิดกันส่อเสียดใส่โทษซ้องกั๋งนั้น จะให้พิจารณาชำระเอาความจริง ก็จะตลอดถึงผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งสิ้น แล้วจะต้องลงโทษตามอาญาศึก พวกคนคดที่ต้องโทษก็จะชวนกันติเตียนเราว่า พระมหากษัตริย์ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรม ปราศจากความกรุณา ทำผิดครั้งเดียวไม่ควรจะทำโทษ ด้วยเราทำความชอบไว้มากคงจะคุ้มกันได้ ความคิดของคนพาล คงเป็นเช่นนี้ เราจะภาคทัณฑ์ไว้ให้สมความคิดของเขาสักครั้งหนึ่ง ถ้าสืบไปเมื่อหน้า ทำความผิดเหมือนครั้งนี้แล้ว จะทำตามโทษานุโทษ....."
พวกขุนนางกังฉินได้ยินรับสั่งเช่นนั้น ก็มีความกลัวยิ่งนักนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ ไม่มีผู้ใดกราบทูลแก้ไขประการใด ด้วยเป็นความจริงทั้งสิ้น
พระเจ้าซ้องฮุยจงจึงให้ทำหนังสือรับสั่ง ให้ ซกไทอวยถือไปหาซ้องกั๋ง พร้อมด้วยป้ายทองคำสามสิบหก ป้ายเงินเจ็ดสิบสอง รวมร้อยแปดป้าย และให้เจ้าพนักงานจัดแพรแดงสามสิบหก แพรเขียวเจ็ดสิบสองไม้ สุราร้อยแปดขวด เป็นของพระราชทานปูนบำเหน็จแก่ซ้องกั๋ง และพรรคพวกทุกคน
ซกไทอวยก็นำขบวนออกจากเมืองตังเกีย มาถึงเมืองจีจิว เตียซกแม้ออกมาต้อนรับพาเข้าไปที่พัก เมื่อทราบเรื่องราวแล้วก็ยินดี กล่าวว่า
"...อาณาประชาราษฎรไม่ได้ทำมาหากินมาหลายปี ในบ้านเมืองข้าพเจ้า และหัวเมืองเขตแดนติดต่อกันนี้กันดารด้วยเสบียงอาหารนัก ซึ่งมีพระอักษรมาเกลี้ยกล่อมซ้องกั๋งคราวนี้ ข้าพเจ้ามีความยินดีด้วยเสร็จการศึก ราษฎรในแขวงหัวเมือง จะได้ทำมาหากินเป็นสุขสบายทั่วกัน..."
แล้วเตียซกแม้ก็เดินทางไปบอกข่าวแก่ซ้องกั๋งด้วยตนเอง ซ้องกั๋งขอเวลาจัดแจงเตรียมต้อนรับข้าหลวงสามวัน แล้วก็สั่งให้ทหารปลูกโรงพิธีใหญ่ มีเฉลียงลดสามชั้น เสาและเพดานหุ้มดาดด้วยผ้าแดง ห้อยพวงดอกไม้อัจกลับแลโคมงดงาม พื้นล่างปูพรมเจียม ตั้งโต๊ะเก้าอี้เหมือนพระที่นั่งเสด็จออกว่าราชการ และเฉลียงล่างตั้งเครื่องดนตรีมโหรีประโคม
เสร็จแล้วซ้องกั๋งกับ โลวจุนหงี หัวหน้าที่สองกับไพร่พลสิบคน ก็ข้ามฟากไปรับซกไทอวยข้าหลวงใหญ่
เมื่อมาถึงโรงพิธีแล้ว ข้าหลวงก็เชิญพระอักษรขึ้นตั้งไว้บนโต๊ะ แล้วให้เซียวเหยียงเป็นผู้อ่านดังคราวก่อน ในหนังสือรับสั่งฉบับนี้ มีแต่ข้อความที่เป็นมงคลทั้งสิ้น และสรุปความว่า
"....บัดนี้ทราบว่าซ้องกั๋งเป็นคนสัตย์ซื่อ มั่นคงประกอบด้วยกำลังและปัญญา คิดจะเข้าไปสามิภักดิ์ทำราชการ ทำนุบำรุงแผ่นดินให้มีความสุขด้วยกันนั้น เรายินดีเป็นอันมาก จึงได้มีลายอักษรให้ซกไทอวยคุมสิ่งของมาพระราชทาน.....ถ้าซ้องกั๋งกับพรรคพวก ได้ทราบความตาม พระอักษรแล้ว จงรีบพากันเข้าไปถวายบังคมโดยเร็ว จะโปรดพระราชทานยศศักดิ์ตามสมควร...."
ซ้องกั๋งก็รับของพระราชทาน มาแจกแก่นายทหารเอกโทถ้วนทุกคนแล้วก็รินสุราแจกจ่ายกินพร้อมกัน
ซกไทอวยพักอยู่กับซ้องกั๋งสามวันแล้ว ก็ขอลากลับไปก่อน และเร่งให้ซ้องกั๋งเข้าไปเฝ้าโดยเร็ว ถ้าขืนช้าไปแล้วขุนนางกังฉินคิดอ่านหาเหตุอุบาย มาขัดขวางให้ได้ความลำบากอีก
ซ้องกั๋งก็ขอเวลาจัดแจงเรื่องครอบครัวทหาร และราษฎรชาวบ้าน เป็นเวลาสิบวันก่อน แล้วพากันไปส่งซกไทอวย จนพ้นแดนเขาเนียซัวเปาะประมาณสามสิบลี้ จึงคำนับลากลับมาค่าย
ซ้องกั๋งก็ประชุมพรรคพวกทั้งหมด และกล่าวว่า
"....ท่านทั้งปวงที่มาประชุมกันอยู่เช่นนี้ เหมือนกับอยู่ในที่มืด ถึงจะเห็นแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์บ้างก็ไม่ชัด ด้วยมหาเมฆมาปิดกำบังไว้ บัดนี้มีลมพายุใหญ่พัดเปิดเอาเมฆนั้นไปพ้นแล้ว เราท่านก็ได้เห็นแสงสว่าง เหมือนกับเราทำการชั่วมาแต่ก่อน บัดนี้พระเจ้าซ้องฮุยจงมีพระอักษรแจ้งมาให้เห็นหนทางแล้ว ก็ควรจะเข้าสามิภักดิ์เป็นข้าฉลองพระคุณ....."
แล้วซ้องกั๋งก็ให้ทหารทั้งหลายตัดสินใจ ผู้ใดจะสมัครไปด้วยก็รับไว้ ผู้ที่ไม่สมัครไปขออยู่ที่เขาเนียซัวเปาะมีห้าพันครอบครัว ซ้องกั๋งจึงเอาบัญชีทรัพย์สินเงินทองของกลางมาตรวจดู แล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งนั้นถวายเป็นของหลวง อีกครึ่งหนึ่งแบ่งออกเป็นสองส่วนเหมือนกัน
ส่วนหนึ่งแจกให้ทหารที่จะอยู่และจะไป อีกส่วนหนึ่งให้แจกชาวบ้านซึ่งมีคุณอยู่ในตำบลนี้ โดยปิดประกาศไว้ทั้งสี่ทิศ มีความว่า
".....แต่บรรดาราษฎรซึ่งอยู่ในเขตเขาเนียซัวเปาะนั้น จงพากันไปรับเอาเงินทองที่ค่าย ซ้องกั๋งจะแจกจ่ายให้เสมอกัน ไม่เลือกหน้า ถึงทารกยังนอนอยู่ในผ้าอ้อมก็มีส่วนแจกเหมือนกัน ถ้าราษฎรรู้คำประกาศ นี้แล้ว จงรีบเข้าไปในเจ็ดวัน...."
แล้ว ซ้องกั๋ง ก็พาพรรคพวกทั้งร้อยแปดคน กับบุ้นฮวนเจียง และไพร่พลอีกเป็นจำนวนมาก เดินทางไปยังเมืองตังเกียโดยมิชักช้า ด้วยความจงรักภักดีต่อองค์ฮ่องเต้ อย่าง บริสุทธิ์ใจ.
##########
นิตยสารโล่เงิน
กันยายน ๒๕๔๒