สำหรับใครที่คิดจะเรียนต่อ โท-เอก ที่เกาหลี .... ข้อมูลข้างล่างอาจจะเป้นวัคซีนที่ดี ให้คุณได้เตรียมตัวและใจมาก่อนคะ

อันที่จริงข้อมูลที่อยากแชร์ให้ฟังเป็นประสบการณ์ของเราเองโดยตรง โดยพื้นฐานของข้อมูลมาจาก การเป้นนักเรียน post-grad สายวิทยาศาสตร์ ที่ต้องใช้ชีวิตในแลป ในมหาวิทยาลัย อันดับต้นๆของเกาหลี ดังนั้นข้อมูลบางอย่างอาจจะไม่เหมือนกับเพื่อนๆ คนอื่นที่เรียนในสายศิลป์ก้เป็นไปได้ เราจึงขอให้เพื่อนๆ ที่เข้ามาอ่านเข้าใจไว้ก่อนจ้า สำหรับเพื่อนๆ ที่มาแค่เรียนภาษา, นักเรียนแลกเปลี่ยน, หรือทำแลประยะสั้น ก้อาจจะไม่อยู่ใน scope นี้เหมือนกันคะ เพราะ... จากที่เห้นมาหลายเคส... นักเรียนแลกเปลี่ยนกับนักเรียนที่มาทำแลป จะถูกทรีทอีกแบบนึง เพระาพวกคุณจะมี back-up มาดี ^^

เรื่องมันเริ่มจากที่เราได้ทุนมาเรียนที่เกาหลี โดยเราเองก้ไม่ค่อยรู้จักอะไรมากมายเกี่ยวกับเกาหลี รู้แค่ว่า หมูย่างอร่อย มีดารานักร้องไปเกิดที่ไทยมากมาย เรียกพี่ชายต้องพูดว่าโอปป้า และมีสถานที่เที่ยวดังๆ ชื่อว่า ปูซาน เจจู เกาะนามิ และเมียงดง (แต่อยู่ตรงไหนไม่รู้) .... รู้แค่นี้จริงๆ ภาษาเกาหลีนี่ไม่ต้องพูดถึง ได้แค่ อันยองฮาเซโย อย่างเดียว เพราะเคยดูจากซีรีย์ แต่ที่เราตัดสินใจมาเรียนที่ เพราะก้ต้องยอมรับจริงๆ ว่า เทคโนโลยีเค้าไปไกลมาก มีอะไรที่ไฮเทคให้เราได้เรียนรู้มากมาย และที่สำคัญ ไม่ได้ไกลบ้านเรามาก อยากกลับเมื่อไหร่ ค่าตั๋วก้สบายกระเป๋า .... แต่ไม่เคยรู้ และคิดมาก่อนเลย... ว่า...

สาเหตุที่เราเขียนกระทู้นี้ เนื่องมาจากเราได้อ่านข่าวนึงเมื่อเช้า เกี่ยวกับการที่ รัฐบาลเกาหลีมีโปรเจคใหญ่ยักษ์ให้ทุนเด็กต่างชาติเข้ามาเรียนโทเอกทีเกาหลีทุกปี ปีละมากมาย ออกค่าใช้จ่ายให้ทุกสิ่งอย่าง (เคยแอบอิจฉาเล็กๆ 555...) แต่... สิ่งทีเกิดขึ้นคือ 63 คน/ปี ของเด็กต่างชาติที่ได้ทุน หนีกลับบ้านหมด ทั้งๆ ที่ยังไม่จบการศึกษา... และแนวโน้มของตัวเลขก็เพิ่มขึ้นตลอดเวลา .... ทำไมนะหรอ... อันที่จริงรัฐบาลก้รู้แล้วแหละ และก้คงต้องหาวิธีแก้กันไป แต่มันไม่ได้แก้กันง่ายๆ หรอกนะ สิ่งที่ทำได้คือ ... ให้ข้อมูล และให้เด็กที่จะมาเรียนเตรียมตัวเตรียมใจกันมาก่อนมากกว่า... มาเริ่มกันเลยดีกว่า ว่า..เพราะอะไร

เราลองเอาลิงค์ข่าวมาให้ลองอ่านกันด้วย...  http://m.koreaherald.com/view.php?ud=20150908001110

อย่างที่ทุกคนรู้ว่า เกาหลีคือประเทศที่เพิ่งยุติสงครามไปไม่ถึง 100 ปี... ผู้คนมากมายที่เดินอยู่บนถนนวันนี้ ก้เคยวิ่งหนีระเบิดกันมาซะเยอะ และเอาจริงๆ ณ ตอนนี้สงครามก้ยังไม่สงบ ผู้ชายเกาหลีทุกคนจึงต้องพร้อมรบทุกเมื่อ ดังนั้น(เกือบ) 100% ของผู้ชายเกา จึงต้องผ่านการเกณฑ์ทหาร แบบเข้มงวดและไม่มีการผ่อนผัน ซึ่งโดยทั่วไปก้จะถูกส่งไปเกณฑ์ทหารกันเกือบๆ 2 ปี (แบบที่เราเห้นดารา นักร้องออกมาร่ำลาแฟนๆ กันนั้นเอง... เพราะต้องเก็บข้าวของห่างหายไปตั้ง 2 ปีแนะ) เพราะไอ้ 2 ปีนี่แหละ.. มันเลยทำให้ระบบทหารอยู่ในสายเลือดของชายเกาหลีทุกคน !!!!

กลับมาว่าถึงชีวิตนักเรียนกันมั้ง... มหาลัยที่เกาหลี เค้าจะแบ่งลำดับออกมาคล้ายๆบ้านเรา ก้คือ ....
University > School > Department > Laboratory
เรื่องก้มาเกิดตรงที่... แต่ละแลปก้จะมีรูปแบบการปกครอง (ใช้คำนี้เลยนะ) ที่แตกต่างกันไป ขึ้นกับสไตล์ของอาจารย์เจ้าของแลปนั้นๆ ที่ภาคเราก้จะมีทั้งหมด 6 แลป แต่ละแลปก้มีรูปแบบการทำงานและกฏข้อบังคับแตกต่างกันออกไป แต่ที่เหมือนๆ กันก้คือ ทุกที่ในเกาหลีจะใช้ระบบการปกครองแบบ seniority โดยไล่ลำดับจากอายุ (ไม่ใช่จากวุฒิ หรือ ตำแหน่งเหมือนบ้านเรานะ) ถึงแม้คุณจะเป้นนักเรียน PhD แต่ถ้าคุณอายุน้อยกว่าเด็กปอตรี  (เพียงแค่ 1 หรือ 2 เดือนที่คุณเกิดช้ากว่านาง) คุณก้ต้องไปยืนล้างเครื่องแก้วให้นาง หรือคุณก้ต้องเป้นคนถูพื้นห้องแลป เหอเหอ... โดยเด็กตรีอาจจะนั่งอยู่เฉยๆ ก้เป็นได้จ้า.... (เป็นไปได้หรอที่เด็กตรีจะอายุมากกว่าเด็กนักเรียนเอก ... ใช่คะ เป้นไปได้ทีเกาหลี เพราะถ้าเด้กตรีคนนั้นโดนเกณฑ์ทหารไป 2 ปี และไปเมืองนอกมาอีก 1 ปี และ/หรือ หยุดเรียนไปอีก 1 ปี) ดังนั้น วันที่ก้าวเท้าแรกเข้าสู่แลป คำถามแรกที่เราจะโดนคือ ... ยูชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ มีแฟนหรือยัง ... ไม่ต้องตกใจ มันคือคำถามปกติ เหมือน ... กินข้าวยัง ?? 555…. เพราะมันคือคำถามสกรีนข้อมูล เพื่อจัดลำดับเราในแลป ... ลำดับนี้ใช้ทำอะไรมั้งนะหรอ... ก้ เริ่มตั้งแต่ ที่นั่ง ถ้าเราซีเนียร์กว่า เราก้จะได้นั่งในตำแหน่งที่ดีดี เช่น ติดหน้าต่าง อยู๋ด้านในห้อง แล้วมันดียังงัย... ก้เช่น ไม่ต้องพูดมากหรือตอบคำถามคนจรที่แวะเข้ามาในแลปถามนุ่นนี่นั้น ไม่ต้องลุกไปเปิดประตูเวลามีคนมา ไม่ต้องรับโทรศัพท์ และอื่นๆ อีกมากมายแล้วแต่แลป งี้ เพราะเด็กที่นั่งด้านนอกๆ ใกล้ประตูกว่าจะต้องทำทั้งหมด.... และการถามว่ามีแฟนไหม คือ คำถามที่จะใช้บอกว่า.. คุณจะมีเวลาให้แลปมากน้อยแค่ไหน... เพราะอะไรนะหรอ... เพราะเกาหลีเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่า ทำงานหนักที่สุดในโลก !!! ชั่วโมงในการทำงานจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นกับอาจารย์หรือแลปบอส (บางที่ก้เรียกว่ากัปตัน หรือภาษาไทยก้หัวหน้าห้องนั่นเอง) จะออกกฏมา เช่น เก้าโมงเช้าถึงสี่ทุ่ม (13 ชม) ถ้าใจดีหน่อยก้ เข้าเก้าโมงเช้าเลิกหกโมงเย็น (9 ชม) จะต้องทำงาน 5 วันหรือ 6 วัน นี่ก้แล้วแต่อีก.... ถ้ามาสาย มีบทลงโทษอะไร ก้ว่ากันไป ... เช่น... ต้องจ่ายเงิน ต้องซื้อกาแฟเลี้ยงคนทั้งแลปงี้...

เราเอาลิงค์มาแปะเพิ่มค่ะ ว่าเราเอามาจากข่าวอีกที เรื่องที่เกาหลีเป็นประเทศที่ทำงานหนักเป็นอันดับหนึ่ง
http://www.latimes.com/business/la-fi-mo-shorter-workweek-no-happier-20130826-story.html

ดังนั้น.... ไอ้ที่ฝันไว้ทั้งหมดว่า การเรียน PhD อาจทำให้ฉานได้ท่องเที่ยวไปในโลกกว้างมากขึ้น รู้จักผู้คน สังคม และนุ่นนี่นั้นมากมาย... เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อนๆ จากไทยคนไหนมาเกาหลี.. มาเลย เด๋วไปหา ไปพอเจอ พาเที่ยวได้จ้า.... เอิ่มมมมม มโนล้วน ล้วน !!! ความจริงของทุกวันนี้นะหรอ... 80% ของเวลาในชีวิตคืออยู่ในแลป... อีก 20% เอาไว้นอน ... ห๊ะ จะมาเท่วเกาหลี เอิ่มมม ไปเจอไม่ได้นะ หรอหรอหรอ.... แบกของกินมาให้จากไทยด้วยหรอ (อยากได้จัง T___T)... เอิ่มม โทษทีจริงๆวะ ไปไม่ได้อะ.... อะไรน๊ะ จะให้ช่วยแนะนำที่เที่ยวหรอ... เอิ่มมม ทุกวันนี้ไปตลาดเป็นก้บุญแล้ว…. เราอยากจะบอกเลยว่า เราโดนเพื่อนด่าเยอะมาก ว่า อุตส่าห์มาเที่ยวเกาหลี ทำไมออกมาเจอกันไม่ได้วะ มากินข้าวด้วยกันเฉยๆ ก้ได้ >< อยากไปใจจะขาด... แต่ขอเวลา 20% นั้นของตรูไว้นอนได้ไหมมมม อย่าพรากมันไปเลย...

แก้ไข: แปะลิงค์ข่าวค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่