"ธุรกิจหลอกลวง" คือคำพูดที่ได้ยินเสมอจากหลายคนเมื่อพูดถึงโครงการนักเรียนแลกเปล่ยน ถ้าน้องๆหรือพ่อแม่อยากรู้ว่าจริงๆมันคืออะไร ลองอ่านกระทู้นี้ดูครับ
สรุปสั้นแบบคนใจร้อนคือ
ทุนฟรีมีแน่แต่น้อยมากแข่งขันสุง การสอบทุนคือการสอบได้สิทธิ์ไปแบบมีค่าใชจ่ายที่ยังต้องออกเอง ซึ่ง ถูกกว่าการไปแบบปกติที่จ่ายเต็มจำนวน
กรุณาศึกษารายละเอียดจากโครงการที่เลือกสอบให้ชัดเจน
-------------------------
ใครอยากเข้าใจให้กระจ่าง ไปกันต่อ
โครงการแลกเปลี่ยน มีค่าใช้จ่าย 4 ส่วนหลักได้แก่
1.ค่าเล่าเรียน จ่ายให้กับสถานศึกษา โรงเรียนนั่นแหละ ถูกแพงก็แล้วแต่ปัจจัยต่างๆ แต่ใครจะจ่ายอันนี้เดี๋ยวมาอธิบายกันต่อในส่วนต่อไป
2.ค่ากินอยู่ ส่วนมากก็คือ"ค่าโฮสต์" หมายถึงค่าที่อยู่ ค่าอาหาร หรือจะเป็นระบบหอพัก หอใน ก็มี ถูกแพงตามปัจจัย ข้อนี้ ส่วนมาก เราต้องจ่าย
3.ค่าเดินทาง การประกันสุขภาพ ตรวจสุขภาพ ทำวีซ่า เป็นงานเอกสารและการเดินทางของเรา ส่วนมากก็ต้องจ่ายนั่นแหละ
4.ค่าดำเนินการและกิจกรรม จะเรียก่าค่าเอเจนซี่ก็ได้ แต่ โครงการส่วนมาก มักจัดให้มีค่ายฝึก มีการอบรม มีเ้าหน้าที่พี่เลี้ยงดูแลประสานงาน
โครงการแลกเปลี่ยนที่มีมาตรฐาน จะชี้แจงรายละเอียดแยกให้ชัดเจน สำหรับน้องๆหรือผู้กครองได้เห็นโดยเฉพาะในหมวดข้อ 4 บางทีอาจรวมๆไว้เป็นค่าใช้จ่ายของโครงการเพื่อการเตีรยมตัว เพราะในส่วนอื่นๆ โครงการ ไม่สามารถได้ส่วนต่างตรงนั้นมาได้ครับ หรือถ้าจะได้ ก็น้อยมากๆ
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ผู้ที่จะไป ศึกษาายละเอียดตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน
ถ้าเข้าใจพื้นฐานนี้แล้ว ไปดูต่อว่า แล้วตกลง คำว่าทุน มันหลอกลวงหรือไม่ หลอกใคร ใครหลอกกันแน่
ดั้งเดิม เวลาจะไปโครงการแลกเปลี่ยนสมัยก่อนโน้นนนน ส่วนมาก ก็ต้องจ่ายเงินทั้ง 4 ส่วนนี้แหละ ค่าใช้จ่ายราวๆ 5-7 แสนบาท(ยี่สิบปีก่อนก็ราคานี้) ไปจนถึงล้าน และ ล้านต้นๆ ขึ้นอยู่กับว่า ข้อ 1 ท่านเลือกรเียนที่ไหน ถ้าเป็นโรงเรียนรัฐบาล ก็ถูกกว่า ถ้าเป็นเอกชน ก็แพงขึ้น ถ้าเอกชนใหญ่โตมีชื่อเสียงก็ยิ่งแพงอีก และ อีกส่วนที่แตกต่างกันได้คือค่าโฮสต์ (ข้อ 2) เพราะโฮศต์ก็มีหลายราคา หลายระดับแล้วแต่โครงการจะจัดการ แต่ส่วนมาก โครงการจัดดีลกับตัวแทนทางฝั่งโน้น จัดสรรโฮสต์ในระดับที่ยอมรับได้มาให้ ส่วนโครงการไหนเน้นหรูหราแบบพิเศษ ก็มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น
แล้ว"ทุน"ที่ว่าคืออะไร?
ที่กลาวมาทั้งหมด คือ การจ่ายเงินทั้งนั้น แล้วที่ไปสอบๆกันแล้วเรียกว่า"ทุน" คืออะไร?
หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา รัฐบาลหรือภาคท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการมีนักเรียนแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นการเผยแพร่ซอฟท์พาวเวอร์ของประเทศ และ ให้ประชากรของเค้าได้ซึมซับ เรียนรู้โลก จึงมีมูลนิธิมากมายทำกิจกรรมด้านนี้ ร่วมกับภาครัฐท้องถิ่น เปิดให้โรงเรียนรัฐของเค้ารับนักรเียนแลกเปลี่ยนไป"เรียนฟรี" ได้ตามสิทธิ์แบบประชากรของประเทศ(ทั้งถาวรและชั่วคราว)
ดังนั้นตามหลักการแล้ว ลักษณะแบบนี้ นักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะไป ไม่ต้องชำระค่าเรียน(ข้อ 1) ค่าเรียนนั้นมีมูลนิธิ หรือ ภาครัฐ (หรือทั้งสอง)ออกเงินให้เราแทน ทำให้จาก 4 ค่าใช้จ่าย หายไปแล้ว 1 จึงเรียกข้อเสนอนี้ว่า"ทุน" ที่สอบกันนั่นเอง
และยังมีอีกบ้าง ที่มีการสนับสนุนจากมูลนิธิในส่วนของค่าใช้จ่ายข้อ 2 อันนี้แล้วแต่โครงการ แล้วแต่ประเทศ แล้วแต่มูลนิธิ เลยนะครับ ที่แน่ๆคือ มีจำนวนจำกัดมาก แข่งขันสูง หากเก่งและโชคดี ได้แบบนี้ ก็จะเหลือค่าใช้จ่ายแค่ข้อ 3 และ 4
"เรียกว่าทุนไม่ได้เพราะเรียนฟรีอยู่แล้ว"
การหลอกลวงที่ถูกพูดถึงกันเพราะโรงเรียนรัฐของต่างประเทศที่ไปแลกเปลี่ยนนั้น เรียนฟรีกันอยู่แล้ว ข้อนี้ ต้องทำความเข้าใจกันว่า เค้า เรียนฟรี ไม่ใช่เรา
เด็กที่ได้สิทธิ์เรียนฟรีคือเ)็นประชากรถาวร เป็นประชากรชั่วคราว เช่นพ่อแม่ไปทำงาน ไปเรียนต่อ ลูก ได้สิทธิ์เรียนฟรี อันนั้นใช่ แต่ น้องๆหนูๆ ผู้ปกครองอยู่สยามแดน จะไปขอเค้าเรียนฟรีด้วย ทำไม่ได้ในทุกประการ แต่ โครงการแลกเปลี่ยน ทำได้ เพราะ มีการประสานงานกันไว้แล้ว และเป็นนโยบายภาครัฐ ภาคท้องถิ่นอย่างที่บอกไว้ จึง"ได้สิทธิ์" เรียนฟรีกับเค้า
ข้อนี้ การ"หลอกลวง"อาจเกิดขึ้นได้เช่น จริงๆ เราไม่ต้องต่ายค่าเรียน เราเข้าโครงการเข้าระบบแลกเปลี่ยนแล้วได้สิทธิ์เรียนฟรี แต่ ในใบเก็บเงิน มาเรียกเก็บเงินกับเราในส่วนค่าเรียน อันนี้ ก็ตัวใครตัวมันนะครับ ดูกันดีๆ ไม่ขอการันตีว่า พฤติกรรมแบบนี้ ไม่มี
-------------------------
"สอบผ่านแล้วมีเงินจ่ายก็ได้ไป"
เ)็นอีกประโยคที่มักพูดถึง นัยว่า ทุนที่ว่านั้นหลอกลวงทั้งเพ มันคือการสอบ แล้วให้จ่ยาเงินไปนั่นแหละ
ประโยคนี้ถูก และ ไม่ถูก ในเวลาเดียวกัน อย่างไรนั้น ลองอ่านดดูครับ
การจะเข้าเกณฑ์ได้เรียนฟรี โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ระบบของโครงการแลกเปลี่ยนส่วนมาก จะให้ผู้สมัคร ยื่นสเนอตัวเองกับโครงการ แล้วไปดูว่า แต่ละโรงเรียนมีสล็อตรับนักเรียนแลกเปลี่ยนกีที่ เหลือมั้ย เต็มหรือยัง เพราะ ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า แต่ละโรงเรียน ไม่ได้รับนักรเียนแลกเปลี่ยนแบบไม่อั้น เค้าต้องได้รับงบประมาณมาว่า รับได้กี่คน แล้วนักเรียนแลกเปลี่ยน มีหลายโครงการ มาจากทั่วโลกไม่ได้มาจากไทยเท่านั้น ทั้งหมดนี้ต้องแย่งกันเสนอให้โรงเรียนที่ดีที่สุดที่จะได้สิทธิ์ นั่นทำให้ โรงเรียนใหญ่ๆ ที่รับนักเรียนแลกเปลี่ยนเป็นประจำ มักจะ"เลือก" รับเด็กแลกเปลี่ยน ทั้งเลือกให้หลากหลาย และ เลือกให้น่าสนใจด้วย
ดังนั้นไม่ได้แปลว่า ยื่นแฟ้มแนะนำตัวไป 10 คน ทั้งหมดจะได้รับการตอบรับจากโรงเรียนให้เรียนได้ทุกคน โรงเรียนนี้เต็ม โครงการก็ต้องหาช่องทางเสียบโรงเรียนอื่นไปเรื่อยๆ เต็มอีกก็หาว่าจะมีสล็อตที่ไหนอีกบ้าง จนเวลางวดไปเรือ่ยๆ ใกล้เปิดเทอม ก็จะเริ่มไม่เหลือที่ให้ไป
ดังนั้น จำไว้นะครับ ที่บอกว่า "มีเงินจ่ายก็ได้ไป" อันนี้มั่วครับ เพราะต่อให้เราได้สิทธิ์แล้ว เรามีเงินจ่ายในหมดค่าใช้จ่ายข้อ 2-4 แต่ก็ อาจไ่ได้ไป
บางโครงการอาจมือแน่ ไม่มีเด็กตกหล่นเลยในแต่ละปี บางโครงการอาจมีเด็กตกหล่นทุกปี อันนี้แล้วแต่โครงการครับ ซึ่งตอบไม่ได้ด้วยะ การันตีกันก็ไม่ได้ด้วย ทุกโครงการจะให้เซ็นต์ยินยอมว่า กรณีไม่ได้ไป เพราะไม่มีที่เรียน จะขอคืนเงินได้ไม่เต็มจำนวน(จากหมวด 4)
"มีเงินจ่ายเพิ่มก็ได้ไป"
ข้อนี้ถูกต้องครับ เราย้อนทำความเข้าใจกันตั้งแต่แรกอย่างรวดเร็ว ถ้าปัญหาของการไม่ได้ไปเกิดจาก ไม่มีโรงเรียนรับเราไปเรียน ไม่มีสล็อตว่างรับไปเรียนตามสิทธิ์ได้เรียนฟรี งั้นเราแก้ปัญหาอีกแบบครับ มีโรงเรียนรัฐ ที่ยินดีรับเด็กแลกเปลี่ยนไปหากนักเรียน เป็นผู้จ่ายค่าเรียนเอง หรือ โรงเรียนเอกชนยิ่งง่ายกว่ามากๆเพราะปกติโรงเรียนเอกชนก็คิดเงินคนเรียนอยู่แล้ว ถึงจะเป็นประชากรก็คิดเงิน เผลอๆ พอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน จะคิดเงินได้เยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น หากถึงเวลาที่โครงการแลกเปลี่ยนติดต่อมาหาคุณ เพื่อถามว่า ยินดีจะจ่ยเงินเพิ่มมั้ย ขอให้รู้ว่า เค้า ไม่ได้มาคิดเงินเพิ่มแบบรีดไถนะครับ เค้ากำลังบอกอ้อมๆว่า
"ลูกคุณพรี่ ไม่มีใครเอาน่ะค่ะๆ" แหม ถ้าบอกแบบนี้แต่แรกจะได้เข้าใจง่ายๆ นึกว่า โครงการมาไถเงินเสียอีก
ถึงจุดนี้ ถ้ามีเงินจ่าย ก็จบครับ ซึ่งโครงการแลกเปลี่ยนมาตรฐานส่วนมากก็จะอธิบายไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่ค่อยอ่านกัน ส่วนคนนอก ชาวรถทัร์ก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าได้ยินว่ามาขอเงินเพิ่มให้ได้ไป ฟังแล้วของมันขึ้นฟรี๊ดๆๆ เลย ขอขึ้นรถทัวร์กับเค้าด้วยคน
-------------------------
การไปแลกเปลี่ยนแบบจ่ายเองเต็มๆจำนวน เริ่มต้นแบบทั้งปีการศึกษาที่รวๆ 7 แสนบาท ขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และ ลักษณะโรงเรียนด้วยนะครับ แต่สามารถแพงไปได้ถึงล้าน และ ล้านกว่า
การไปแบบเรียนฟรี ซึ่งมักเป็นสหรัฐฯ ราคาเริ่มต้นราว 4 สแนบาทขึ้นไป แยกค่าใช้จ่ายเป็นค่าอยู่กินราว 10,000$ นอกนั้นก็ค่าใชจ่ายส่วนข้อ 3,4
คุณลองคำนวนดูครับว่า กินอยู่ปีนึง บวกค่าเครื่องบินและประกันนั่นนี่โน่น จริงๆข้อ 4 โครงการจะเหลือกำไรหักค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ คุณคิดว่า พี่ๆน้องๆที่ทำงานโครงการพวกนี้ ร่ำรวย ได้เงินเดือนกันมากจนสมกับคำที่เราเรียกว่าพวกเขาคือการ"หลอกลวง" มั้ย?
ถ้า นี่คือ "ธุรกิจ" มันคือธุรกิจที่ กำไรไม่ได้เยอะเลยนะครับ
ลองคำนวนดีๆ ไปอยู่ปีนึง ในราคาเท่านี้ คุณคิดว่ามันถูก หรือแพง คุณทำให้ถูกกว่านี้ได้มั้ย นั่นแหละประเด็นครับ
ปัจจัยได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าของโครงการเหล่านี้คือ เด็ก ตอ้งมีจำนวนเยอะเพียงพอที่จะเอาส่วนต่างน้อยนิดมาเป็นผลตอบแทนของทีมงานที่ทำงานได้
แต่หากโครงการไหน "เขี้ยว" อยากได้กำไรเยอะๆ ใช้คนน้อย ดูแลเด็กมากๆ สุดท้าย ก็จะเกิดปัญหาตกหล่น หลุดรายละเอียด ไปจน เด็กเกิดปัญหา โดนเท โดนแพ
เพราะ งานนี้ มันคืองานที่ต้องทำงานกับคน กับเด็ก ซึ่งไม่บอกก็คงรู้นะครับว่า เด็กๆที่ไปแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ทุกคนจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ในทุกๆปีมีเด็กกี่คนที่ต้องกลับมาก่อนครบกำหนด มีเด็กกี่คนที่ปรับตัวไม่ได้ อยู่ไม่ไหว แล้วยังมีปัญหาอื่นๆอีกมากมาย ทั้งจากโรงเรียน จากโฮสต์ จากตัวเด็กเอง
ถ้า โครงการงกกำไร ให้สต๊าฟ ดูแลเด็กเกินขีดความสามารถของตัวเอง ก็จะเสี่ยงเกิดเรือ่งแบบนี้ ก็เสียเครดิท กันไป
ซึ่ง มันคือเรือ่งปกตของธุรกิจครับ
การแข่งขัน ก็คือ จะทำยังไงให้เด็ก ให้พ่อแม่ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ในราคาที่แข่งขันกันได้
บางโครงการ เน้นที่ตลาดพรีเมี่ยมเลย ไม่สนใจต้องมาลุ้นมาแข่งกันว่าจะมีสล็อตมั้ย บางโครงการ พยายามจับเด็กเก่งๆ เด็กโดดเด่นน่าสนใจเพราะ พอยื่นแฟ้มไปแล้วอัตราสำเร็จมีสูง สามารถเสนอโครงการแลกเปลี่นในราคาถูกลงครึ่งๆได้
่สวนบางโครงการ วิ่งหามูลนิธิหาวิธี ที่จะมีทุนสมทบอื่นๆเข้ามาอีก แต่ต้องเฟ้นหาเด็กมาแข่งขันกันเยอะๆ เพื่อหาช้างเผือกจำนวนน้อยนิดที่จะได้การสนับสนุนค่าใช้ต่ายในส่วนต่างๆ ส่วน คนอื่นๆก็มีทั้งแบบเรียนฟรี แบบจ่ายเต็ม ผสมๆกันไป เพื่อให้ได้จำนวนมากพอที่ะทำต้นทุนบางอย่างให้ลดลงได้ด้วย หรือมีจำนวนเด็กในมือมากพอที่จะมีอำนาจต่อรองกับฝั่งต่างประเทศ ในเครือข่ายของโครงการต่างๆ
คำถาาสำคัญ ตั้งแต่หัวกระทู้คือ
แล้ว สิ่งนี้คือการหลอกลวงมั้ย?
ไม่ปฎิเสธว่า การเรียนแลกเปลี่ยน โครงการแลกเปลี่ยน คือระบบธุรกิจชนิดหนึ่ง นำเสนอบริการ แลกเปลี่ยนค่าตอบแทนที่ยินยอมกันทั้งสองฝ่าย ทั้งู้ชายและผู้ซื้อ นี่ไม่ใช่ทุนหลวง ทุนรัฐ ไม่ใช่ระบบกุศลผลบุญ
การค้า บริการ ... ใช่ครับ มันคือธุรกิจบริการการศึกษา
ไม่ต่างจากโรงเรียนเอกชน สถาบันกวดวิชา คอร์สพัฒนาบุคคล
---------------------------
เกร็ดสเริม
-ยุคนี้ มีโรงเรียน ที่สร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนนักเรียนกับโรงเรียนต่างประเทศ โดยไม่มีเอเจนซี่ตัวกลางมาเกี่ยวข้อง (หรือถ้ามี ก็เป็นทางโรงเรียนดำเนินการแล้วคิดไปกับค่าใช้จ่ายแล้ว) โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชน โรงเรียนที่มีหลักสูตรสองภาษา หลักสูตรภาษาอังกฤษ
-บางประเทศปลายทาง มีตัวเลอกช่องทางสนับสนุนหลากหลาย บางโครงการเน้นตลาดปลายทางเช่นจีน จะมีข้อสเนอที่ดีกว่ามากเช่น เรียนฟรี อยู่กินฟรี
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านที่กำลังหาข้อมูล ส่วนใครไม่พอใจ ยังคิดว่า นี่คือขบวนการมิจฉาชีพหลอกลวง ก็บอกก่อนนะครับ ผม ไม่ได้ทำงานวงการโครงการนี้ แต่ผมทำงานอยู่แวดงการศึกษาในต่างประเทศด้วย และ ลูกไปแลกเปลี่ยนแล้วมาเล่าเรื่องโครงการของเพื่อนๆให้ฟัง ทั้งจากยุโรป และ ในเอเชีย
โลกยุคนี้ โครงการแลกเปลี่ยน หรือจะเป็น การศึกษาต่อต่างประเทศ มันก็คือ ธุรกิจการศึกษาทั้งนั้นแหละ และ มีคำว่า"ทุน" ไม่ได้แตกต่างัน
ทุนโครงการแลกเปลี่ยน หลอก หรือ ลวง เข้าใจง่ายๆที่นี่
สรุปสั้นแบบคนใจร้อนคือ
ทุนฟรีมีแน่แต่น้อยมากแข่งขันสุง การสอบทุนคือการสอบได้สิทธิ์ไปแบบมีค่าใชจ่ายที่ยังต้องออกเอง ซึ่ง ถูกกว่าการไปแบบปกติที่จ่ายเต็มจำนวน
กรุณาศึกษารายละเอียดจากโครงการที่เลือกสอบให้ชัดเจน
-------------------------
ใครอยากเข้าใจให้กระจ่าง ไปกันต่อ
โครงการแลกเปลี่ยน มีค่าใช้จ่าย 4 ส่วนหลักได้แก่
1.ค่าเล่าเรียน จ่ายให้กับสถานศึกษา โรงเรียนนั่นแหละ ถูกแพงก็แล้วแต่ปัจจัยต่างๆ แต่ใครจะจ่ายอันนี้เดี๋ยวมาอธิบายกันต่อในส่วนต่อไป
2.ค่ากินอยู่ ส่วนมากก็คือ"ค่าโฮสต์" หมายถึงค่าที่อยู่ ค่าอาหาร หรือจะเป็นระบบหอพัก หอใน ก็มี ถูกแพงตามปัจจัย ข้อนี้ ส่วนมาก เราต้องจ่าย
3.ค่าเดินทาง การประกันสุขภาพ ตรวจสุขภาพ ทำวีซ่า เป็นงานเอกสารและการเดินทางของเรา ส่วนมากก็ต้องจ่ายนั่นแหละ
4.ค่าดำเนินการและกิจกรรม จะเรียก่าค่าเอเจนซี่ก็ได้ แต่ โครงการส่วนมาก มักจัดให้มีค่ายฝึก มีการอบรม มีเ้าหน้าที่พี่เลี้ยงดูแลประสานงาน
โครงการแลกเปลี่ยนที่มีมาตรฐาน จะชี้แจงรายละเอียดแยกให้ชัดเจน สำหรับน้องๆหรือผู้กครองได้เห็นโดยเฉพาะในหมวดข้อ 4 บางทีอาจรวมๆไว้เป็นค่าใช้จ่ายของโครงการเพื่อการเตีรยมตัว เพราะในส่วนอื่นๆ โครงการ ไม่สามารถได้ส่วนต่างตรงนั้นมาได้ครับ หรือถ้าจะได้ ก็น้อยมากๆ
ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของ ผู้ที่จะไป ศึกษาายละเอียดตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน
ถ้าเข้าใจพื้นฐานนี้แล้ว ไปดูต่อว่า แล้วตกลง คำว่าทุน มันหลอกลวงหรือไม่ หลอกใคร ใครหลอกกันแน่
ดั้งเดิม เวลาจะไปโครงการแลกเปลี่ยนสมัยก่อนโน้นนนน ส่วนมาก ก็ต้องจ่ายเงินทั้ง 4 ส่วนนี้แหละ ค่าใช้จ่ายราวๆ 5-7 แสนบาท(ยี่สิบปีก่อนก็ราคานี้) ไปจนถึงล้าน และ ล้านต้นๆ ขึ้นอยู่กับว่า ข้อ 1 ท่านเลือกรเียนที่ไหน ถ้าเป็นโรงเรียนรัฐบาล ก็ถูกกว่า ถ้าเป็นเอกชน ก็แพงขึ้น ถ้าเอกชนใหญ่โตมีชื่อเสียงก็ยิ่งแพงอีก และ อีกส่วนที่แตกต่างกันได้คือค่าโฮสต์ (ข้อ 2) เพราะโฮศต์ก็มีหลายราคา หลายระดับแล้วแต่โครงการจะจัดการ แต่ส่วนมาก โครงการจัดดีลกับตัวแทนทางฝั่งโน้น จัดสรรโฮสต์ในระดับที่ยอมรับได้มาให้ ส่วนโครงการไหนเน้นหรูหราแบบพิเศษ ก็มีค่าใช้จ่ายมากขึ้น
แล้ว"ทุน"ที่ว่าคืออะไร?
ที่กลาวมาทั้งหมด คือ การจ่ายเงินทั้งนั้น แล้วที่ไปสอบๆกันแล้วเรียกว่า"ทุน" คืออะไร?
หลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา รัฐบาลหรือภาคท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการมีนักเรียนแลกเปลี่ยนเพื่อเป็นการเผยแพร่ซอฟท์พาวเวอร์ของประเทศ และ ให้ประชากรของเค้าได้ซึมซับ เรียนรู้โลก จึงมีมูลนิธิมากมายทำกิจกรรมด้านนี้ ร่วมกับภาครัฐท้องถิ่น เปิดให้โรงเรียนรัฐของเค้ารับนักรเียนแลกเปลี่ยนไป"เรียนฟรี" ได้ตามสิทธิ์แบบประชากรของประเทศ(ทั้งถาวรและชั่วคราว)
ดังนั้นตามหลักการแล้ว ลักษณะแบบนี้ นักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะไป ไม่ต้องชำระค่าเรียน(ข้อ 1) ค่าเรียนนั้นมีมูลนิธิ หรือ ภาครัฐ (หรือทั้งสอง)ออกเงินให้เราแทน ทำให้จาก 4 ค่าใช้จ่าย หายไปแล้ว 1 จึงเรียกข้อเสนอนี้ว่า"ทุน" ที่สอบกันนั่นเอง
และยังมีอีกบ้าง ที่มีการสนับสนุนจากมูลนิธิในส่วนของค่าใช้จ่ายข้อ 2 อันนี้แล้วแต่โครงการ แล้วแต่ประเทศ แล้วแต่มูลนิธิ เลยนะครับ ที่แน่ๆคือ มีจำนวนจำกัดมาก แข่งขันสูง หากเก่งและโชคดี ได้แบบนี้ ก็จะเหลือค่าใช้จ่ายแค่ข้อ 3 และ 4
"เรียกว่าทุนไม่ได้เพราะเรียนฟรีอยู่แล้ว"
การหลอกลวงที่ถูกพูดถึงกันเพราะโรงเรียนรัฐของต่างประเทศที่ไปแลกเปลี่ยนนั้น เรียนฟรีกันอยู่แล้ว ข้อนี้ ต้องทำความเข้าใจกันว่า เค้า เรียนฟรี ไม่ใช่เรา
เด็กที่ได้สิทธิ์เรียนฟรีคือเ)็นประชากรถาวร เป็นประชากรชั่วคราว เช่นพ่อแม่ไปทำงาน ไปเรียนต่อ ลูก ได้สิทธิ์เรียนฟรี อันนั้นใช่ แต่ น้องๆหนูๆ ผู้ปกครองอยู่สยามแดน จะไปขอเค้าเรียนฟรีด้วย ทำไม่ได้ในทุกประการ แต่ โครงการแลกเปลี่ยน ทำได้ เพราะ มีการประสานงานกันไว้แล้ว และเป็นนโยบายภาครัฐ ภาคท้องถิ่นอย่างที่บอกไว้ จึง"ได้สิทธิ์" เรียนฟรีกับเค้า
ข้อนี้ การ"หลอกลวง"อาจเกิดขึ้นได้เช่น จริงๆ เราไม่ต้องต่ายค่าเรียน เราเข้าโครงการเข้าระบบแลกเปลี่ยนแล้วได้สิทธิ์เรียนฟรี แต่ ในใบเก็บเงิน มาเรียกเก็บเงินกับเราในส่วนค่าเรียน อันนี้ ก็ตัวใครตัวมันนะครับ ดูกันดีๆ ไม่ขอการันตีว่า พฤติกรรมแบบนี้ ไม่มี
-------------------------
"สอบผ่านแล้วมีเงินจ่ายก็ได้ไป"
เ)็นอีกประโยคที่มักพูดถึง นัยว่า ทุนที่ว่านั้นหลอกลวงทั้งเพ มันคือการสอบ แล้วให้จ่ยาเงินไปนั่นแหละ
ประโยคนี้ถูก และ ไม่ถูก ในเวลาเดียวกัน อย่างไรนั้น ลองอ่านดดูครับ
การจะเข้าเกณฑ์ได้เรียนฟรี โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ระบบของโครงการแลกเปลี่ยนส่วนมาก จะให้ผู้สมัคร ยื่นสเนอตัวเองกับโครงการ แล้วไปดูว่า แต่ละโรงเรียนมีสล็อตรับนักเรียนแลกเปลี่ยนกีที่ เหลือมั้ย เต็มหรือยัง เพราะ ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า แต่ละโรงเรียน ไม่ได้รับนักรเียนแลกเปลี่ยนแบบไม่อั้น เค้าต้องได้รับงบประมาณมาว่า รับได้กี่คน แล้วนักเรียนแลกเปลี่ยน มีหลายโครงการ มาจากทั่วโลกไม่ได้มาจากไทยเท่านั้น ทั้งหมดนี้ต้องแย่งกันเสนอให้โรงเรียนที่ดีที่สุดที่จะได้สิทธิ์ นั่นทำให้ โรงเรียนใหญ่ๆ ที่รับนักเรียนแลกเปลี่ยนเป็นประจำ มักจะ"เลือก" รับเด็กแลกเปลี่ยน ทั้งเลือกให้หลากหลาย และ เลือกให้น่าสนใจด้วย
ดังนั้นไม่ได้แปลว่า ยื่นแฟ้มแนะนำตัวไป 10 คน ทั้งหมดจะได้รับการตอบรับจากโรงเรียนให้เรียนได้ทุกคน โรงเรียนนี้เต็ม โครงการก็ต้องหาช่องทางเสียบโรงเรียนอื่นไปเรื่อยๆ เต็มอีกก็หาว่าจะมีสล็อตที่ไหนอีกบ้าง จนเวลางวดไปเรือ่ยๆ ใกล้เปิดเทอม ก็จะเริ่มไม่เหลือที่ให้ไป
ดังนั้น จำไว้นะครับ ที่บอกว่า "มีเงินจ่ายก็ได้ไป" อันนี้มั่วครับ เพราะต่อให้เราได้สิทธิ์แล้ว เรามีเงินจ่ายในหมดค่าใช้จ่ายข้อ 2-4 แต่ก็ อาจไ่ได้ไป
บางโครงการอาจมือแน่ ไม่มีเด็กตกหล่นเลยในแต่ละปี บางโครงการอาจมีเด็กตกหล่นทุกปี อันนี้แล้วแต่โครงการครับ ซึ่งตอบไม่ได้ด้วยะ การันตีกันก็ไม่ได้ด้วย ทุกโครงการจะให้เซ็นต์ยินยอมว่า กรณีไม่ได้ไป เพราะไม่มีที่เรียน จะขอคืนเงินได้ไม่เต็มจำนวน(จากหมวด 4)
"มีเงินจ่ายเพิ่มก็ได้ไป"
ข้อนี้ถูกต้องครับ เราย้อนทำความเข้าใจกันตั้งแต่แรกอย่างรวดเร็ว ถ้าปัญหาของการไม่ได้ไปเกิดจาก ไม่มีโรงเรียนรับเราไปเรียน ไม่มีสล็อตว่างรับไปเรียนตามสิทธิ์ได้เรียนฟรี งั้นเราแก้ปัญหาอีกแบบครับ มีโรงเรียนรัฐ ที่ยินดีรับเด็กแลกเปลี่ยนไปหากนักเรียน เป็นผู้จ่ายค่าเรียนเอง หรือ โรงเรียนเอกชนยิ่งง่ายกว่ามากๆเพราะปกติโรงเรียนเอกชนก็คิดเงินคนเรียนอยู่แล้ว ถึงจะเป็นประชากรก็คิดเงิน เผลอๆ พอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน จะคิดเงินได้เยอะกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น หากถึงเวลาที่โครงการแลกเปลี่ยนติดต่อมาหาคุณ เพื่อถามว่า ยินดีจะจ่ยเงินเพิ่มมั้ย ขอให้รู้ว่า เค้า ไม่ได้มาคิดเงินเพิ่มแบบรีดไถนะครับ เค้ากำลังบอกอ้อมๆว่า
"ลูกคุณพรี่ ไม่มีใครเอาน่ะค่ะๆ" แหม ถ้าบอกแบบนี้แต่แรกจะได้เข้าใจง่ายๆ นึกว่า โครงการมาไถเงินเสียอีก
ถึงจุดนี้ ถ้ามีเงินจ่าย ก็จบครับ ซึ่งโครงการแลกเปลี่ยนมาตรฐานส่วนมากก็จะอธิบายไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ไม่ค่อยอ่านกัน ส่วนคนนอก ชาวรถทัร์ก็ไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าได้ยินว่ามาขอเงินเพิ่มให้ได้ไป ฟังแล้วของมันขึ้นฟรี๊ดๆๆ เลย ขอขึ้นรถทัวร์กับเค้าด้วยคน
-------------------------
การไปแลกเปลี่ยนแบบจ่ายเองเต็มๆจำนวน เริ่มต้นแบบทั้งปีการศึกษาที่รวๆ 7 แสนบาท ขึ้นอยู่กับประเทศปลายทาง และ ลักษณะโรงเรียนด้วยนะครับ แต่สามารถแพงไปได้ถึงล้าน และ ล้านกว่า
การไปแบบเรียนฟรี ซึ่งมักเป็นสหรัฐฯ ราคาเริ่มต้นราว 4 สแนบาทขึ้นไป แยกค่าใช้จ่ายเป็นค่าอยู่กินราว 10,000$ นอกนั้นก็ค่าใชจ่ายส่วนข้อ 3,4
คุณลองคำนวนดูครับว่า กินอยู่ปีนึง บวกค่าเครื่องบินและประกันนั่นนี่โน่น จริงๆข้อ 4 โครงการจะเหลือกำไรหักค่าใช้จ่ายจริงเท่าไหร่ คุณคิดว่า พี่ๆน้องๆที่ทำงานโครงการพวกนี้ ร่ำรวย ได้เงินเดือนกันมากจนสมกับคำที่เราเรียกว่าพวกเขาคือการ"หลอกลวง" มั้ย?
ถ้า นี่คือ "ธุรกิจ" มันคือธุรกิจที่ กำไรไม่ได้เยอะเลยนะครับ
ลองคำนวนดีๆ ไปอยู่ปีนึง ในราคาเท่านี้ คุณคิดว่ามันถูก หรือแพง คุณทำให้ถูกกว่านี้ได้มั้ย นั่นแหละประเด็นครับ
ปัจจัยได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าของโครงการเหล่านี้คือ เด็ก ตอ้งมีจำนวนเยอะเพียงพอที่จะเอาส่วนต่างน้อยนิดมาเป็นผลตอบแทนของทีมงานที่ทำงานได้
แต่หากโครงการไหน "เขี้ยว" อยากได้กำไรเยอะๆ ใช้คนน้อย ดูแลเด็กมากๆ สุดท้าย ก็จะเกิดปัญหาตกหล่น หลุดรายละเอียด ไปจน เด็กเกิดปัญหา โดนเท โดนแพ
เพราะ งานนี้ มันคืองานที่ต้องทำงานกับคน กับเด็ก ซึ่งไม่บอกก็คงรู้นะครับว่า เด็กๆที่ไปแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ทุกคนจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ในทุกๆปีมีเด็กกี่คนที่ต้องกลับมาก่อนครบกำหนด มีเด็กกี่คนที่ปรับตัวไม่ได้ อยู่ไม่ไหว แล้วยังมีปัญหาอื่นๆอีกมากมาย ทั้งจากโรงเรียน จากโฮสต์ จากตัวเด็กเอง
ถ้า โครงการงกกำไร ให้สต๊าฟ ดูแลเด็กเกินขีดความสามารถของตัวเอง ก็จะเสี่ยงเกิดเรือ่งแบบนี้ ก็เสียเครดิท กันไป
ซึ่ง มันคือเรือ่งปกตของธุรกิจครับ
การแข่งขัน ก็คือ จะทำยังไงให้เด็ก ให้พ่อแม่ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ในราคาที่แข่งขันกันได้
บางโครงการ เน้นที่ตลาดพรีเมี่ยมเลย ไม่สนใจต้องมาลุ้นมาแข่งกันว่าจะมีสล็อตมั้ย บางโครงการ พยายามจับเด็กเก่งๆ เด็กโดดเด่นน่าสนใจเพราะ พอยื่นแฟ้มไปแล้วอัตราสำเร็จมีสูง สามารถเสนอโครงการแลกเปลี่นในราคาถูกลงครึ่งๆได้
่สวนบางโครงการ วิ่งหามูลนิธิหาวิธี ที่จะมีทุนสมทบอื่นๆเข้ามาอีก แต่ต้องเฟ้นหาเด็กมาแข่งขันกันเยอะๆ เพื่อหาช้างเผือกจำนวนน้อยนิดที่จะได้การสนับสนุนค่าใช้ต่ายในส่วนต่างๆ ส่วน คนอื่นๆก็มีทั้งแบบเรียนฟรี แบบจ่ายเต็ม ผสมๆกันไป เพื่อให้ได้จำนวนมากพอที่ะทำต้นทุนบางอย่างให้ลดลงได้ด้วย หรือมีจำนวนเด็กในมือมากพอที่จะมีอำนาจต่อรองกับฝั่งต่างประเทศ ในเครือข่ายของโครงการต่างๆ
คำถาาสำคัญ ตั้งแต่หัวกระทู้คือ
แล้ว สิ่งนี้คือการหลอกลวงมั้ย?
ไม่ปฎิเสธว่า การเรียนแลกเปลี่ยน โครงการแลกเปลี่ยน คือระบบธุรกิจชนิดหนึ่ง นำเสนอบริการ แลกเปลี่ยนค่าตอบแทนที่ยินยอมกันทั้งสองฝ่าย ทั้งู้ชายและผู้ซื้อ นี่ไม่ใช่ทุนหลวง ทุนรัฐ ไม่ใช่ระบบกุศลผลบุญ
การค้า บริการ ... ใช่ครับ มันคือธุรกิจบริการการศึกษา
ไม่ต่างจากโรงเรียนเอกชน สถาบันกวดวิชา คอร์สพัฒนาบุคคล
---------------------------
เกร็ดสเริม
-ยุคนี้ มีโรงเรียน ที่สร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนนักเรียนกับโรงเรียนต่างประเทศ โดยไม่มีเอเจนซี่ตัวกลางมาเกี่ยวข้อง (หรือถ้ามี ก็เป็นทางโรงเรียนดำเนินการแล้วคิดไปกับค่าใช้จ่ายแล้ว) โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชน โรงเรียนที่มีหลักสูตรสองภาษา หลักสูตรภาษาอังกฤษ
-บางประเทศปลายทาง มีตัวเลอกช่องทางสนับสนุนหลากหลาย บางโครงการเน้นตลาดปลายทางเช่นจีน จะมีข้อสเนอที่ดีกว่ามากเช่น เรียนฟรี อยู่กินฟรี
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านที่กำลังหาข้อมูล ส่วนใครไม่พอใจ ยังคิดว่า นี่คือขบวนการมิจฉาชีพหลอกลวง ก็บอกก่อนนะครับ ผม ไม่ได้ทำงานวงการโครงการนี้ แต่ผมทำงานอยู่แวดงการศึกษาในต่างประเทศด้วย และ ลูกไปแลกเปลี่ยนแล้วมาเล่าเรื่องโครงการของเพื่อนๆให้ฟัง ทั้งจากยุโรป และ ในเอเชีย
โลกยุคนี้ โครงการแลกเปลี่ยน หรือจะเป็น การศึกษาต่อต่างประเทศ มันก็คือ ธุรกิจการศึกษาทั้งนั้นแหละ และ มีคำว่า"ทุน" ไม่ได้แตกต่างัน