เรื่องสั้น
เพื่อน(หญิง)คนหนึ่งของผม
เพทาย
เพื่อนในกลุ่มที่เคยรับราชการด้วยกันมา มีคนหนึ่งเป็นหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อน ที่สมมุติว่ามีอยู่ด้วยกัน ๓๗๘ คน แต่ความจริงมีไม่ถึง
กลุ่มนี้มีทั้งหญิงชายที่รับราชการอยู่ในกรมเดียวกัน คบหาสมาคมกันตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ กว่า ๆ
เธอผู้นี้เข้ารับราชการทีหลังเพื่อน ซึ่งผมเป็นผู้ดำเนินการบรรจุเข้ารับราชการด้วยตนเอง ตามหน้าที่หลักของผม เรารวมกลุ่มกันได้อย่างเหนียวแน่นจนถึงปัจจุบัน ที่เกือบทุกคนก็เกษียณอายุราชการไปตาม ๆ กัน เมื่อหลายปีมาแล้วผมเป็นผู้นำในการไปทัศนาจรต่างจังหวัด โดยเก็บเงินกันคนละเล็กละน้อย เที่ยวไปตามกำลังความสามารถ ด้วยรถสองแถวขนาดใหญ่ จุผู้โดยสารได้ร่วมยี่สิบคน เราไปกันทั้งครอบครัวลูกหลานยั้วเยี้ย จนสุดท้ายมีเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นจนจัดต่อไปไม่ได้จึงเลิกราไป แต่เราใช้วิธีจัดงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อน ซึ่งเกือบจะทุกเดือนในรอบปี โดยเพื่อนที่มาร่วมงานรวบรวมเงิน เป็นของขวัญแก่ผู้เกิด แทนการมอบของขวัญอย่างอื่น เริ่มตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๖ จนถึงบัดนี้
เธอผู้นี้ก็จะเป็นต้นเสียงร้องเพลงอวยพรวันเกิด ทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาคภาษาไทย ด้วยเสียงที่สูงจนเพื่อน ๆ ตามไม่ไหว จึงฟังดูคล้ายจะเป็นเพลงประสานเสียงในโบสถ์ของฝรั่ง เป็นผู้ที่ชอบชงเครื่องดื่มให้เพื่อนอย่างแก่จัด แต่ของตนเองจะชงอย่างอ่อน ๆ อยู่เสมอ จนเป็นที่ตำหนิติเตียน และบ่นว่าของเพื่อนฝูงอยู่เสมอ
ชีวิตส่วนตัวของเธอค่อนข้างจะอาภัพ แต่งงานแล้วมีบุตรชายคนหัวปี ก็อายุไม่ยืน ไม่ทันจะโตก็เสียชีวิตไปก่อน ต้องขอลูกผู้อื่นมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เพราะลูกคนแรกนี้คลอดยาก จึงต้องทำหมันปิดโรงงานไป ครอบครัวก็ไม่ค่อยอบอุ่น ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้นก็ป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องงดการดื่ม และค่อนข้างจะหงอยเหงาลง ทั้ง ๆ ที่เป็นนักกีฬาเปตอง ได้รับรางวัลเสมอ อยู่มาวันหนึ่งผมทราบข่าวว่าไม่ค่อยสบายมาก ผมก็ไปเยี่ยมที่บ้านพักในกรม เธอต้องนอนคุยกับผม แต่ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร เธอปรึกษาผมว่าจะขอลาออกและรับบำเหน็จเอาเงินก้อน ผมก็ทักท้วงว่าควรจะรับบำนาญ และประชดเธอไปว่า ถ้าคิดว่าจะตายในเร็ว ๆ นี้ ก็ควรจะรับบำเหน็จ เธอก็ยิ้มเศร้า ๆ ทำให้ผมได้สติว่าไม่ควรจะพูดอย่างนั้น
แล้วเธอก็ต้องเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ โดยยังไปไม่ถึงโรงพยาบาล ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นเอง ผมยังเสียใจไม่หายแม้ว่าเวลาจะผ่านมาตั้งหลายปีแล้วก็ตาม
ความจริงผมยังมีเพื่อนเก่า ที่จากไปแล้วอีกหลายคน ที่ยังไม่ได้เล่า แต่ขอพักไว้ก่อน เพื่อไว้อาลัยแก่เธอ ในชั่วโมงนี้
เมื่อผมได้อยู่มาจนถึง วันนี้แล้ว ก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า ความเป็นจริงที่แท้และแน่นอนของชีวิตนั้น ก็คือการเกิด แล้วก็ต้องแก่ แล้วก็ต้องเจ็บป่วย ลงท้ายก็ต้องตาย โดยไม่รู้ว่าใครกำหนด ชีวิตของเพื่อนที่มารวมกันนั้น แตกต่างกันออกไป ทั้งการเกิด การดำเนินชีวิต การเจ็บป่วย และการสิ้นสุดของอายุขัย ซึ่งน่าจะเชื่อได้ว่า กรรมของเขาเหล่านั้นเอง ที่เป็นผู้กำหนดเส้นทางชีวิตให้เป็นไปเช่นนั้น ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม.
เพื่อน(หญิง)คนหนึ่ง ๙ ก.ย.๕๘
เพื่อน(หญิง)คนหนึ่งของผม
เพทาย
เพื่อนในกลุ่มที่เคยรับราชการด้วยกันมา มีคนหนึ่งเป็นหญิงที่มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเพื่อน ที่สมมุติว่ามีอยู่ด้วยกัน ๓๗๘ คน แต่ความจริงมีไม่ถึง
กลุ่มนี้มีทั้งหญิงชายที่รับราชการอยู่ในกรมเดียวกัน คบหาสมาคมกันตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๐๐ กว่า ๆ
เธอผู้นี้เข้ารับราชการทีหลังเพื่อน ซึ่งผมเป็นผู้ดำเนินการบรรจุเข้ารับราชการด้วยตนเอง ตามหน้าที่หลักของผม เรารวมกลุ่มกันได้อย่างเหนียวแน่นจนถึงปัจจุบัน ที่เกือบทุกคนก็เกษียณอายุราชการไปตาม ๆ กัน เมื่อหลายปีมาแล้วผมเป็นผู้นำในการไปทัศนาจรต่างจังหวัด โดยเก็บเงินกันคนละเล็กละน้อย เที่ยวไปตามกำลังความสามารถ ด้วยรถสองแถวขนาดใหญ่ จุผู้โดยสารได้ร่วมยี่สิบคน เราไปกันทั้งครอบครัวลูกหลานยั้วเยี้ย จนสุดท้ายมีเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นจนจัดต่อไปไม่ได้จึงเลิกราไป แต่เราใช้วิธีจัดงานเลี้ยงวันเกิดของเพื่อน ซึ่งเกือบจะทุกเดือนในรอบปี โดยเพื่อนที่มาร่วมงานรวบรวมเงิน เป็นของขวัญแก่ผู้เกิด แทนการมอบของขวัญอย่างอื่น เริ่มตั้งแต่ประมาณ พ.ศ.๒๕๒๖ จนถึงบัดนี้
เธอผู้นี้ก็จะเป็นต้นเสียงร้องเพลงอวยพรวันเกิด ทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาคภาษาไทย ด้วยเสียงที่สูงจนเพื่อน ๆ ตามไม่ไหว จึงฟังดูคล้ายจะเป็นเพลงประสานเสียงในโบสถ์ของฝรั่ง เป็นผู้ที่ชอบชงเครื่องดื่มให้เพื่อนอย่างแก่จัด แต่ของตนเองจะชงอย่างอ่อน ๆ อยู่เสมอ จนเป็นที่ตำหนิติเตียน และบ่นว่าของเพื่อนฝูงอยู่เสมอ
ชีวิตส่วนตัวของเธอค่อนข้างจะอาภัพ แต่งงานแล้วมีบุตรชายคนหัวปี ก็อายุไม่ยืน ไม่ทันจะโตก็เสียชีวิตไปก่อน ต้องขอลูกผู้อื่นมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เพราะลูกคนแรกนี้คลอดยาก จึงต้องทำหมันปิดโรงงานไป ครอบครัวก็ไม่ค่อยอบอุ่น ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้นก็ป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องงดการดื่ม และค่อนข้างจะหงอยเหงาลง ทั้ง ๆ ที่เป็นนักกีฬาเปตอง ได้รับรางวัลเสมอ อยู่มาวันหนึ่งผมทราบข่าวว่าไม่ค่อยสบายมาก ผมก็ไปเยี่ยมที่บ้านพักในกรม เธอต้องนอนคุยกับผม แต่ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไร เธอปรึกษาผมว่าจะขอลาออกและรับบำเหน็จเอาเงินก้อน ผมก็ทักท้วงว่าควรจะรับบำนาญ และประชดเธอไปว่า ถ้าคิดว่าจะตายในเร็ว ๆ นี้ ก็ควรจะรับบำเหน็จ เธอก็ยิ้มเศร้า ๆ ทำให้ผมได้สติว่าไม่ควรจะพูดอย่างนั้น
แล้วเธอก็ต้องเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ โดยยังไปไม่ถึงโรงพยาบาล ในเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นเอง ผมยังเสียใจไม่หายแม้ว่าเวลาจะผ่านมาตั้งหลายปีแล้วก็ตาม
ความจริงผมยังมีเพื่อนเก่า ที่จากไปแล้วอีกหลายคน ที่ยังไม่ได้เล่า แต่ขอพักไว้ก่อน เพื่อไว้อาลัยแก่เธอ ในชั่วโมงนี้
เมื่อผมได้อยู่มาจนถึง วันนี้แล้ว ก็ตระหนักแน่แก่ใจว่า ความเป็นจริงที่แท้และแน่นอนของชีวิตนั้น ก็คือการเกิด แล้วก็ต้องแก่ แล้วก็ต้องเจ็บป่วย ลงท้ายก็ต้องตาย โดยไม่รู้ว่าใครกำหนด ชีวิตของเพื่อนที่มารวมกันนั้น แตกต่างกันออกไป ทั้งการเกิด การดำเนินชีวิต การเจ็บป่วย และการสิ้นสุดของอายุขัย ซึ่งน่าจะเชื่อได้ว่า กรรมของเขาเหล่านั้นเอง ที่เป็นผู้กำหนดเส้นทางชีวิตให้เป็นไปเช่นนั้น ไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม.