ก่อนการเดินทาง ตอนจบ
ในช่วง ป.4 ผมพบบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการมาโรงเรียนมีอะไรที่มากกว่าการมาวิ่งเล่น อย่างที่บอกผมเป็นเด็กรองโหล่มาตลอด สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปคือการได้เรียนวิชาประดิษฐ์ครับ มันเริ่มจากความภูมิใจเล็กๆ (ไม่ใช่เรื่องอ่านหนังสือออกแล้วแน่ๆ555) เช่น ทำรถลากของเล่นจากกล่องโฟม (ขอบอกลากกันเอามันส์ก่อนส่งครูกันเลย เกือบพังอะครับ) หุ่นยนต์จากกล่องขนม สานตอกแล้วใส่ด้ามจับเป็นพัด การทำงานประดิษฐ์แล้วมีคนชมเรา ว่างานออกมาดูดีดูสวย มันทำให้เรารู้สึกดีและอยากทำอีก เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนและคุณครู แล้วยังไงหละ ความสนใจเพียงแค่นี้เหรอที่ทำให้ผมอยากทำอะไรมากขึ้น
จุดสำคัญของการเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มาจากคำชมจากคุณครูประจำชั้น “เธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้นะ” คำเดียวเลย เด็กรองโหล่อย่างผมเลยอยากทำอะไรเพิ่มอยากเรียนรู้เพิ่ม แต่ก็ไม่มีตังค์อะจะไปอยากรู้เพิ่มจากไหนอะ ก็เลยลงทุนน้อยๆ ซื้อดินน้ำมันมาปั้น ปั้นจนเปลี่ยนสีอะครับ แหมตอนนั้นกำลังบ้าหุ่นยนต์รวมร่างเลย ก็ไม่ยากปั้นเป็นชุดๆ แล้วก็รวมร่างกัน เป็นตัวนั้นตัวนี้ รวมไปรวมมา จำไม่ได้ว่าร่างเดิมเป็นไง....ก็ตลกตัวเองดีครับ (สงสัยเหมือนกันว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก เลโก้กับการ์ตูนญี่ปุ่นรึเปล่า)
ผลจากการหาสิ่งที่ชอบเจอ ทำให้ ผลการเรียนมาอยู่กลางๆห้อง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 21-24 ได้มั้ง...ตกใจ แค่นี้ก็มาไกลจากที่เคยเป็นแล้วอะครับ พอขึ้น ป.5 คราวนี้ประดิษฐ์รถลากจากไม้อัดเลยครับ ได้จับเลื่อยฉลุด้วย ชาวบ้านเขาจับด้ามลง ผมจับด้ามขึ้น ผมลองแล้วนะจับด้ามลงอะ แต่เลื่อยยังไงก็ไม่ถนัด จับขึ้นดีกว่าเยอะเลย ไม้อัดหมดไปสองแผ่น คราวนี้ทำเสร็จแล้วไม่กล้าลากมากเดี๋ยวพัง (เพราะมันไม่เหมือนกล่องโฟมอะสิ) ช่วง ป.5 ผมเหมือนเจอปัญหาหลายอย่าง ก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ อย่างเช่นเพื่อนเอาเข็มถักโครเชต์ มาแทงที่ต้นขาหลัง ตอนโดนไม่เจ็บนะ แต่อีกวันนี่บวมจนเดินไม่ได้เลยอะ แม่ขึ้น...ไป ปะ ฉะ ดะ กับเพื่อนกับคุณครู แม่เป็นคนอารมณ์ร้อนด้วย เรื่องเลยดูแรง ไอ้เราก็เข้าหน้าเพื่อนไม่ติดเหมือนกัน...แต่ประเด็นคือ แทงกรูทำไมอะคร๊าบบบบ แล้วก็อีกเรื่อง เขียนเรียงความวันพ่อไม่รู้จะเขียนยังไงอะครับ รูปพ่อยังไม่เคยเห็นเลยอะ แล้วจะให้เอาอะไรมาเขียนอะ นั่งนิ่งๆเพื่อนถามเป็นอะไรทำไมไม่เขียน..สักพักน้ำตามา...จะให้กรูเขียนอะไรอะ กรูไม่มีพ่อ..น้ำตามาหนักขึ้น สักพักเพื่อนผู้หญิงก็บอกว่า “เป็นผู้ชายจะร้องไห้ทำไม” แหมน้ำเสียงนี่ไม่ได้ปลอบกรูเลยนะ ผมก็ตอบกลับไปอะนะ “ยุ่งอะไรด้วยอะ” เพื่อนก็ตะโกนมาว่า “ผู้ชายอะไรอ่อนแอ” นึกในใจกรูผิดอะไรหนักหนาเหรอ กรูแค่ไม่มีพ่อ กรูเขียนไม่ถูก กรูไม่รู้จะเขียนยังไง สุดท้ายก็เขียนถึงแม่แทน จบง่ายมั้ยครับ
เรื่องดีที่เกิดขึ้นในตอน ป.5 มีอีกสองเรื่อง คือ เรื่องคณิตศาสตร์ สนุกมากเรียนรู้เรื่องเฉยเลย ผลน่าจะมาจากคุณครูถ่ายทอดดีครับเลยเรียนแล้วเข้าใจได้ง่าย กับอีกเรื่องงานเย็บผ้าครับ ด้วยผมเป็นคนจนครับ ผมเลยมีโอกาสใช้วิชาที่เรียนมาซ่อมแซมเสื้อผ้าตัวเอง เนา ด้น สอย นี่เย็บมือ ขอบอกว่างานสวยนะครับ เพราะผมทำซ้ำๆหลายรอบนะครับ แล้วก็แปลกนะ แม่ผมเขาเห็นผมทำได้เขาก็ปล่อยให้ทำนะ..(ตกลงแม่อยากได้ลูกสาวใช่อะเปล่าครับ)
ช่วงวัยนี้ (11ขวบเนี๊ยะนะ) ผมเริ่มมีความรับผิดชอบเป็นของตัวเองแล้วครับ คือซักถุงเท้า ล้างจาน หุงข้าว แต่ซักผ้ารีดผ้ายังไม่เป็นครับ สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเราโตขึ้นเริ่มรับผิดชอบได้บ้างแล้ว ภูมิใจตัวเองสุดๆ แต่ตอนแรกก็ไม่เวิร์คนะ ล้างจานล้างแล้วยังมันอยู่ก็เอาไปล้างใหม่ ล้างอยู่สามรอบมั้ง เฮ้อ..ล้างอะไรหนักหนานะ ตอนนั้นนั่งล้างไปก็คิดไป ไม่เสร็จสักที ยุงก็กัด บางใบล้างแล้วหล่นแตกก็มี ก็มันลื่นอะครับชามแก้ว ก็ไม่เข้าใจซื้อหามาใช้ทำไม เสียวบาดมือด้วย
พอเรียนจบ ป.5 แม่มาบอกให้ย้ายโรงเรียน ผมก็งงสิครับ เหลืออีกแค่ปีเดียวก็จบ ป.6 แล้วจะย้ายทำไม แม่ให้เหตุผลว่าโรงเรียนนี้ปัญหาเยอะ ย้ายมาเรียนใกล้บ้านดีกว่า สรุปก็มารองสอบเข้า ผมลืมบอกไป ตอน ป.5 ผมสอบได้ที่ 6 ครับมาไกลอีกแล้วแบบงงๆ ถึงงงมาก แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดีนะ
ตอนสอบเข้าซิสเตอร์บอกว่าเด็กเรียนอยู่ในระดับปานกลางนะคะคุณแม่ แต่ซิสเตอร์เชื่อว่าเด็กจะสามารถเรียนรู้ได้ ผมฟังซิสเตอร์แล้วน้ำตาจิไหลได้กลางๆก็บุญของแล้วครับผม สรุปก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนคริตสเตียนใกล้ๆบ้าน ก็สนุกไปอีกแบบ เรียนที่นี่เจอเพื่อนแถวบ้านหลายคน แต่ก็แปลก ผมเองไม่รู้จะเข้าไปคุยยังไงเพราะอยู่บ้านก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ สาเหตุก็มาจากที่ผมไม่ได้ไปบ้านใหญ่แล้ว วันๆก็จะวิ่งเล่นอยู่แต่ในบ้านของตัวเอง บนที่ดินประมาณเกือบ 1 ไร่ได้นะแต่นั่นไม่ใช่ที่ดินของแม่ผมนะครับ...555 เป็นของอากงผม มันก็เป็นความสุขแบบแปลกๆไปอีกแบบครับ คือแม่ผมเป็นแม่ค้าอะครับขายของเสร็จแล้วก็จะกลับมานอน เวลานอนของแม่ก็เป็นเวลาตื่นของผม แม่จะไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน ก็แสดงว่าไม่ให้ไปเล่นกะเพื่อนแถวบ้าน แต่ผมก็แอบพาเพื่อนเข้ามานะเวลาเล่นก็กำชับว่า เล่นกันเบาๆนะ เดี๋ยวแม่ตื่นจะโดนด่าเอา มันก็ดีไปหลายอย่างนะเวลาหิวอะ อยากกินฝรั่งก็ไปปีนเอาหลังบ้าน อร่อยดีครับผมชอบมากผลฝรั่งที่ผิวนิ่มนี่กินไม่เหลือเมล็ดเลยครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง อยากกินผลที่อยู่ระหว่างต้นฝรั่งสองต้น ก็พยายามเอื้อมพอจะไปถึงดันกิ่งหัก ร่วงลงมาที่พื้นดินดังแอ้ก จุกไปเลยอะครับ บางวันก็อยากกินน้ำมะพร้าวก็ปีนขึ้นไปบิดลงมาก็จะบอกเพื่อนๆว่า ระวังหัวนะโว้ยแล้วก็โยน โยนแบบไม่ได้ดูหัวใครหรอก ไปหลบกันเอาเอง..5555 ได้มาก็เดินเข้าบ้านไปลับมีดอีโต้ครับ เอาให้คมก่อนจะได้เฉาะง่ายๆ เฉาะเสร็จก็ได้น้ำมาดื่ม ได้เนื้อมากินกัน บางวันก็ปีนต้นมะขามเทศ ต้นนี้ไม่ง่ายครับกว่าจะบีนขึ้นไปได้ต้องเอามีดค่อยๆเล็มหนามออกครับ ก็เอาจนได้แหล่ะครับ ปีนข้ามต้นด้วย ไม่รู้เป็นอะไรแฮะบ้านผมชอบมีต้นไม้ขึ้นเป็นคู่ๆแฮะ ก็วิ่งเล่นไปแบบนี้อะบางครั้งสนุกกันไปหน่อยส่งเสียงดัง แม่ตื่นขึ้นมาก็โดนด่ากันไปเพื่อนๆก็จะวิ่งนี้ กันออกไป ไอ้ผมไปไม่ได้นี่สิ....
พอมาอยู่โรงเรียนยังไม่รู้จะปรับตัวยังไง พักเที่ยงก็อยู่คนเดียวเดินเล่นไปมา ไม่รู้จะทำอะไรนี่ครับ แต่ก็พยายามเข้าหาคนอื่นดูเขาทำอะไรก็ขอทำด้วย นานไปก็กลืนๆไปเอง หลังๆว่างแล้วไม่รู้จะทำอะไรตอนพักเที่ยง ก็เลยเข้าห้องสมุดครับ ต้องบอกว่าเป็นที่พักที่ดีจริงๆ เข้ามาในห้องสมุดนี่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะอ่านอะไร เห็นนิทานก็ไม่ได้อยากอ่าน คือ ป.6 แล้วจะมานั่งอ่านนิทานก็ไม่ใช่แหล่ะ เลยมองหาหนังสือจริงๆมาอ่านก็เริ่มแรกเอาแค่เล่มบางๆ ก็ไปนั่งไล่ดู ก็เอา ประวัติของดร.ซุนยัดเซนมาอ่านครับ อ่านจบแล้วมีกำลังใจ ว่าเราก็อ่านหนังสือกะเขาได้เหมือนกันนะ เล่มถัดมาก็เลยอ่าน นายพลโตโจ ตามมาด้วยท่านประธานเหมาเจ๋อตงครับ ก็สนุกดี
อีกเรื่องที่เปลี่ยนไปคือ แม่ผมให้ผมเริ่มทำงานตอนดึกที่ตลาดแล้ว สาเหตุมาจากไหน ผมเองก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ ผม(เดาว่า)ปั่นจักรยานเป็นแล้ว เพิ่งเป็นไม่นาน เมื่อปั่นแข็งแล้วและแม่ซ้อนท้ายได้แล้ว แม่เห็นว่าออกถนนใหญ่ได้แล้ว ก็คงถึงเวลาที่สามารถช่วยงานที่บ้านได้แล้ว ก็ถึงเวลาหมดสนุกกับชีวิตวิ่งเล่นแล้ว ก็ได้เวลาออกตลาดพร้อมแม่คือตื่นเที่ยงคืน ไปซื้อสินค้า(หอย)กับยี่ปั๊ว
ก็เกือบ ตีหนึ่ง ขึ้นร้าน(แผง)ให้เสร็จก่อนตีสอง แต่ไม่เกินตีสาม เสร็จแล้วก็ปั่นจักรยานกลับมานอน ตอนเช้าก็ตื่นไปเรียน
ขึ้นร้าน(แผง) ทำอะไรบ้าง ก็แม่ผมขายหอยแมลงภู่ หอยแครง หอยแกะ หอยแมลงภู่ต้ม หอยลาย เวลานั้นซื้อมาเป็นกระสอบครับ ส่วนหนึ่งตักขึ้นแผง ที่เหลือแบ่งใส่ถุงๆละ 10 กิโลครับ ถ้าหอยลายก็เทออกมาคัดขนาด คลุกเกลือเพิ่มความทนทาน และคัดตัวแตกออกเพื่อเอาไปต้มขายเพื่ออั๊พราคาครับ ตัวแตกลูกค้าเขาไปซื้ออะครับ บางครั้งคัดออกมาเยอะมาก แปลกนะครับเจอแบบนี้กลับเคลมไม่ได้..5555
ชีวิตแม่ค้าของแม่ผมก็แปลกๆดีครับ ขายของเกือบทุกวัน บางวันก็หยุด บางวันขายดี บางวันก็ขายไม่ดี แม่ก็เป็นหนีครับ ประมาณหลักหมื่นสมัย 22-23ปีที่แล้วนี่ถือว่าเยอะแล้วอะครับ อากงผมรู้เข้าก็มาช่วยปลดหนี้ให้ แรกๆผมเห็นก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ บ่อยๆเข้าผมว่า มันไม่ใช่แล้ว แต่ก็ไม่เคยถามแม่นะว่าทำไม แม่เองก็เปลี่ยนยี่ปั๊วไปเรื่อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายก็ต้องมาซื้อกับพี่สาวตัวเอง แม่บอกว่าไม่อยากซื้อแต่แม่คิดว่าซื้อกับใครก็คงได้ไม่ดีเท่าซื้อกับพี่สาวตัวเองแล้วหละ เพราะแม่บอกว่าซื้อกะเจ้าอื่นก็โดนโกงน้ำหนักได้เหมือนกัน ซื้อกะพี่ตัวเองยังไงก็ไม่โกง อากงก็เห็นด้วย นับจากวันนั้นก็ซื้อกับพี่สาวรึป้าของผมมาตลอด
พอช่วยงานแม่ได้ เสาร์อาทิตย์ตอนสายๆผมก็ต้องไปช่วยขายที่ตลาดด้วย จากที่เคยวิ่งเล่นก็เปลี่ยนมาเป็นขายของ ซะแล้ว วันไหนมีไปทำรายงานกับเพื่อนที่โรงเรียนผมก็ต้องไปช่วยแม่ก่อนเสร็จแล้วค่อยไป บางครั้งเพื่อนก็รอได้ก็ได้ไปด้วย บางครั้งเพื่อนรอไม่ได้ก็ไม่ได้ไป หลังๆผมเองก็ไม่อยากให้เพื่อนมารอเราคนเดียว ก็เลยไม่ไปหรืออย่างชวนไปดูหนังก็ไม่ได้ไปเช่นกันเพราะงานต้องมาก่อน จนใกล้จบ ม.2 จะขึ้น ม.3 แม่ก็เปรยๆว่าถ้าจบ ม.3 แล้วก็ให้พอได้แล้วมาช่วยแม่ขายหอยที่ตลาด (เอาแล้วไง งานเข้าที่เล้าเป็ดแล้ว) ผมก็บอกแม่ไปว่าเรียนแค่นี้มันยังไม่พอ โอกาสในวันข้างหน้ามันจะน้อย แต่ไว้รอให้ใกล้จบ ม.3 ก่อนแล้วจะบอกอีกที ผมก็ได้แต่ซื้อเวลาไปครับ มาถึงตรงนี้ผมเริ่มมองเห็นแล้วว่าความสนุกในวัยเด็กมันหมดลงไปแล้วครับ.....
การเดินทางของผมอาจจะไม่หวือหวาเท่าใครๆเขานะครับ...ผมก็แค่เดินบนเส้นทางน้อยๆของตัวเองเท่านั้น...แต่ทุกๆการตัดสินใจของผมนั้น ผมเลือกเองทั้งหมด.....แล้วมาดูกันว่าตอนนหน้าจะเป็นยังไงคร๊าบ
การเดินทางของนายเอก #002
ในช่วง ป.4 ผมพบบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าการมาโรงเรียนมีอะไรที่มากกว่าการมาวิ่งเล่น อย่างที่บอกผมเป็นเด็กรองโหล่มาตลอด สิ่งที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปคือการได้เรียนวิชาประดิษฐ์ครับ มันเริ่มจากความภูมิใจเล็กๆ (ไม่ใช่เรื่องอ่านหนังสือออกแล้วแน่ๆ555) เช่น ทำรถลากของเล่นจากกล่องโฟม (ขอบอกลากกันเอามันส์ก่อนส่งครูกันเลย เกือบพังอะครับ) หุ่นยนต์จากกล่องขนม สานตอกแล้วใส่ด้ามจับเป็นพัด การทำงานประดิษฐ์แล้วมีคนชมเรา ว่างานออกมาดูดีดูสวย มันทำให้เรารู้สึกดีและอยากทำอีก เพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนและคุณครู แล้วยังไงหละ ความสนใจเพียงแค่นี้เหรอที่ทำให้ผมอยากทำอะไรมากขึ้น
จุดสำคัญของการเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น มาจากคำชมจากคุณครูประจำชั้น “เธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้นะ” คำเดียวเลย เด็กรองโหล่อย่างผมเลยอยากทำอะไรเพิ่มอยากเรียนรู้เพิ่ม แต่ก็ไม่มีตังค์อะจะไปอยากรู้เพิ่มจากไหนอะ ก็เลยลงทุนน้อยๆ ซื้อดินน้ำมันมาปั้น ปั้นจนเปลี่ยนสีอะครับ แหมตอนนั้นกำลังบ้าหุ่นยนต์รวมร่างเลย ก็ไม่ยากปั้นเป็นชุดๆ แล้วก็รวมร่างกัน เป็นตัวนั้นตัวนี้ รวมไปรวมมา จำไม่ได้ว่าร่างเดิมเป็นไง....ก็ตลกตัวเองดีครับ (สงสัยเหมือนกันว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก เลโก้กับการ์ตูนญี่ปุ่นรึเปล่า)
ผลจากการหาสิ่งที่ชอบเจอ ทำให้ ผลการเรียนมาอยู่กลางๆห้อง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 21-24 ได้มั้ง...ตกใจ แค่นี้ก็มาไกลจากที่เคยเป็นแล้วอะครับ พอขึ้น ป.5 คราวนี้ประดิษฐ์รถลากจากไม้อัดเลยครับ ได้จับเลื่อยฉลุด้วย ชาวบ้านเขาจับด้ามลง ผมจับด้ามขึ้น ผมลองแล้วนะจับด้ามลงอะ แต่เลื่อยยังไงก็ไม่ถนัด จับขึ้นดีกว่าเยอะเลย ไม้อัดหมดไปสองแผ่น คราวนี้ทำเสร็จแล้วไม่กล้าลากมากเดี๋ยวพัง (เพราะมันไม่เหมือนกล่องโฟมอะสิ) ช่วง ป.5 ผมเหมือนเจอปัญหาหลายอย่าง ก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ อย่างเช่นเพื่อนเอาเข็มถักโครเชต์ มาแทงที่ต้นขาหลัง ตอนโดนไม่เจ็บนะ แต่อีกวันนี่บวมจนเดินไม่ได้เลยอะ แม่ขึ้น...ไป ปะ ฉะ ดะ กับเพื่อนกับคุณครู แม่เป็นคนอารมณ์ร้อนด้วย เรื่องเลยดูแรง ไอ้เราก็เข้าหน้าเพื่อนไม่ติดเหมือนกัน...แต่ประเด็นคือ แทงกรูทำไมอะคร๊าบบบบ แล้วก็อีกเรื่อง เขียนเรียงความวันพ่อไม่รู้จะเขียนยังไงอะครับ รูปพ่อยังไม่เคยเห็นเลยอะ แล้วจะให้เอาอะไรมาเขียนอะ นั่งนิ่งๆเพื่อนถามเป็นอะไรทำไมไม่เขียน..สักพักน้ำตามา...จะให้กรูเขียนอะไรอะ กรูไม่มีพ่อ..น้ำตามาหนักขึ้น สักพักเพื่อนผู้หญิงก็บอกว่า “เป็นผู้ชายจะร้องไห้ทำไม” แหมน้ำเสียงนี่ไม่ได้ปลอบกรูเลยนะ ผมก็ตอบกลับไปอะนะ “ยุ่งอะไรด้วยอะ” เพื่อนก็ตะโกนมาว่า “ผู้ชายอะไรอ่อนแอ” นึกในใจกรูผิดอะไรหนักหนาเหรอ กรูแค่ไม่มีพ่อ กรูเขียนไม่ถูก กรูไม่รู้จะเขียนยังไง สุดท้ายก็เขียนถึงแม่แทน จบง่ายมั้ยครับ
เรื่องดีที่เกิดขึ้นในตอน ป.5 มีอีกสองเรื่อง คือ เรื่องคณิตศาสตร์ สนุกมากเรียนรู้เรื่องเฉยเลย ผลน่าจะมาจากคุณครูถ่ายทอดดีครับเลยเรียนแล้วเข้าใจได้ง่าย กับอีกเรื่องงานเย็บผ้าครับ ด้วยผมเป็นคนจนครับ ผมเลยมีโอกาสใช้วิชาที่เรียนมาซ่อมแซมเสื้อผ้าตัวเอง เนา ด้น สอย นี่เย็บมือ ขอบอกว่างานสวยนะครับ เพราะผมทำซ้ำๆหลายรอบนะครับ แล้วก็แปลกนะ แม่ผมเขาเห็นผมทำได้เขาก็ปล่อยให้ทำนะ..(ตกลงแม่อยากได้ลูกสาวใช่อะเปล่าครับ)
ช่วงวัยนี้ (11ขวบเนี๊ยะนะ) ผมเริ่มมีความรับผิดชอบเป็นของตัวเองแล้วครับ คือซักถุงเท้า ล้างจาน หุงข้าว แต่ซักผ้ารีดผ้ายังไม่เป็นครับ สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าเราโตขึ้นเริ่มรับผิดชอบได้บ้างแล้ว ภูมิใจตัวเองสุดๆ แต่ตอนแรกก็ไม่เวิร์คนะ ล้างจานล้างแล้วยังมันอยู่ก็เอาไปล้างใหม่ ล้างอยู่สามรอบมั้ง เฮ้อ..ล้างอะไรหนักหนานะ ตอนนั้นนั่งล้างไปก็คิดไป ไม่เสร็จสักที ยุงก็กัด บางใบล้างแล้วหล่นแตกก็มี ก็มันลื่นอะครับชามแก้ว ก็ไม่เข้าใจซื้อหามาใช้ทำไม เสียวบาดมือด้วย
พอเรียนจบ ป.5 แม่มาบอกให้ย้ายโรงเรียน ผมก็งงสิครับ เหลืออีกแค่ปีเดียวก็จบ ป.6 แล้วจะย้ายทำไม แม่ให้เหตุผลว่าโรงเรียนนี้ปัญหาเยอะ ย้ายมาเรียนใกล้บ้านดีกว่า สรุปก็มารองสอบเข้า ผมลืมบอกไป ตอน ป.5 ผมสอบได้ที่ 6 ครับมาไกลอีกแล้วแบบงงๆ ถึงงงมาก แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดีนะ
ตอนสอบเข้าซิสเตอร์บอกว่าเด็กเรียนอยู่ในระดับปานกลางนะคะคุณแม่ แต่ซิสเตอร์เชื่อว่าเด็กจะสามารถเรียนรู้ได้ ผมฟังซิสเตอร์แล้วน้ำตาจิไหลได้กลางๆก็บุญของแล้วครับผม สรุปก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนคริตสเตียนใกล้ๆบ้าน ก็สนุกไปอีกแบบ เรียนที่นี่เจอเพื่อนแถวบ้านหลายคน แต่ก็แปลก ผมเองไม่รู้จะเข้าไปคุยยังไงเพราะอยู่บ้านก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ สาเหตุก็มาจากที่ผมไม่ได้ไปบ้านใหญ่แล้ว วันๆก็จะวิ่งเล่นอยู่แต่ในบ้านของตัวเอง บนที่ดินประมาณเกือบ 1 ไร่ได้นะแต่นั่นไม่ใช่ที่ดินของแม่ผมนะครับ...555 เป็นของอากงผม มันก็เป็นความสุขแบบแปลกๆไปอีกแบบครับ คือแม่ผมเป็นแม่ค้าอะครับขายของเสร็จแล้วก็จะกลับมานอน เวลานอนของแม่ก็เป็นเวลาตื่นของผม แม่จะไม่ให้ออกไปเล่นนอกบ้าน ก็แสดงว่าไม่ให้ไปเล่นกะเพื่อนแถวบ้าน แต่ผมก็แอบพาเพื่อนเข้ามานะเวลาเล่นก็กำชับว่า เล่นกันเบาๆนะ เดี๋ยวแม่ตื่นจะโดนด่าเอา มันก็ดีไปหลายอย่างนะเวลาหิวอะ อยากกินฝรั่งก็ไปปีนเอาหลังบ้าน อร่อยดีครับผมชอบมากผลฝรั่งที่ผิวนิ่มนี่กินไม่เหลือเมล็ดเลยครับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง อยากกินผลที่อยู่ระหว่างต้นฝรั่งสองต้น ก็พยายามเอื้อมพอจะไปถึงดันกิ่งหัก ร่วงลงมาที่พื้นดินดังแอ้ก จุกไปเลยอะครับ บางวันก็อยากกินน้ำมะพร้าวก็ปีนขึ้นไปบิดลงมาก็จะบอกเพื่อนๆว่า ระวังหัวนะโว้ยแล้วก็โยน โยนแบบไม่ได้ดูหัวใครหรอก ไปหลบกันเอาเอง..5555 ได้มาก็เดินเข้าบ้านไปลับมีดอีโต้ครับ เอาให้คมก่อนจะได้เฉาะง่ายๆ เฉาะเสร็จก็ได้น้ำมาดื่ม ได้เนื้อมากินกัน บางวันก็ปีนต้นมะขามเทศ ต้นนี้ไม่ง่ายครับกว่าจะบีนขึ้นไปได้ต้องเอามีดค่อยๆเล็มหนามออกครับ ก็เอาจนได้แหล่ะครับ ปีนข้ามต้นด้วย ไม่รู้เป็นอะไรแฮะบ้านผมชอบมีต้นไม้ขึ้นเป็นคู่ๆแฮะ ก็วิ่งเล่นไปแบบนี้อะบางครั้งสนุกกันไปหน่อยส่งเสียงดัง แม่ตื่นขึ้นมาก็โดนด่ากันไปเพื่อนๆก็จะวิ่งนี้ กันออกไป ไอ้ผมไปไม่ได้นี่สิ....
พอมาอยู่โรงเรียนยังไม่รู้จะปรับตัวยังไง พักเที่ยงก็อยู่คนเดียวเดินเล่นไปมา ไม่รู้จะทำอะไรนี่ครับ แต่ก็พยายามเข้าหาคนอื่นดูเขาทำอะไรก็ขอทำด้วย นานไปก็กลืนๆไปเอง หลังๆว่างแล้วไม่รู้จะทำอะไรตอนพักเที่ยง ก็เลยเข้าห้องสมุดครับ ต้องบอกว่าเป็นที่พักที่ดีจริงๆ เข้ามาในห้องสมุดนี่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะอ่านอะไร เห็นนิทานก็ไม่ได้อยากอ่าน คือ ป.6 แล้วจะมานั่งอ่านนิทานก็ไม่ใช่แหล่ะ เลยมองหาหนังสือจริงๆมาอ่านก็เริ่มแรกเอาแค่เล่มบางๆ ก็ไปนั่งไล่ดู ก็เอา ประวัติของดร.ซุนยัดเซนมาอ่านครับ อ่านจบแล้วมีกำลังใจ ว่าเราก็อ่านหนังสือกะเขาได้เหมือนกันนะ เล่มถัดมาก็เลยอ่าน นายพลโตโจ ตามมาด้วยท่านประธานเหมาเจ๋อตงครับ ก็สนุกดี
อีกเรื่องที่เปลี่ยนไปคือ แม่ผมให้ผมเริ่มทำงานตอนดึกที่ตลาดแล้ว สาเหตุมาจากไหน ผมเองก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ ผม(เดาว่า)ปั่นจักรยานเป็นแล้ว เพิ่งเป็นไม่นาน เมื่อปั่นแข็งแล้วและแม่ซ้อนท้ายได้แล้ว แม่เห็นว่าออกถนนใหญ่ได้แล้ว ก็คงถึงเวลาที่สามารถช่วยงานที่บ้านได้แล้ว ก็ถึงเวลาหมดสนุกกับชีวิตวิ่งเล่นแล้ว ก็ได้เวลาออกตลาดพร้อมแม่คือตื่นเที่ยงคืน ไปซื้อสินค้า(หอย)กับยี่ปั๊ว
ก็เกือบ ตีหนึ่ง ขึ้นร้าน(แผง)ให้เสร็จก่อนตีสอง แต่ไม่เกินตีสาม เสร็จแล้วก็ปั่นจักรยานกลับมานอน ตอนเช้าก็ตื่นไปเรียน
ขึ้นร้าน(แผง) ทำอะไรบ้าง ก็แม่ผมขายหอยแมลงภู่ หอยแครง หอยแกะ หอยแมลงภู่ต้ม หอยลาย เวลานั้นซื้อมาเป็นกระสอบครับ ส่วนหนึ่งตักขึ้นแผง ที่เหลือแบ่งใส่ถุงๆละ 10 กิโลครับ ถ้าหอยลายก็เทออกมาคัดขนาด คลุกเกลือเพิ่มความทนทาน และคัดตัวแตกออกเพื่อเอาไปต้มขายเพื่ออั๊พราคาครับ ตัวแตกลูกค้าเขาไปซื้ออะครับ บางครั้งคัดออกมาเยอะมาก แปลกนะครับเจอแบบนี้กลับเคลมไม่ได้..5555
ชีวิตแม่ค้าของแม่ผมก็แปลกๆดีครับ ขายของเกือบทุกวัน บางวันก็หยุด บางวันขายดี บางวันก็ขายไม่ดี แม่ก็เป็นหนีครับ ประมาณหลักหมื่นสมัย 22-23ปีที่แล้วนี่ถือว่าเยอะแล้วอะครับ อากงผมรู้เข้าก็มาช่วยปลดหนี้ให้ แรกๆผมเห็นก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ บ่อยๆเข้าผมว่า มันไม่ใช่แล้ว แต่ก็ไม่เคยถามแม่นะว่าทำไม แม่เองก็เปลี่ยนยี่ปั๊วไปเรื่อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายก็ต้องมาซื้อกับพี่สาวตัวเอง แม่บอกว่าไม่อยากซื้อแต่แม่คิดว่าซื้อกับใครก็คงได้ไม่ดีเท่าซื้อกับพี่สาวตัวเองแล้วหละ เพราะแม่บอกว่าซื้อกะเจ้าอื่นก็โดนโกงน้ำหนักได้เหมือนกัน ซื้อกะพี่ตัวเองยังไงก็ไม่โกง อากงก็เห็นด้วย นับจากวันนั้นก็ซื้อกับพี่สาวรึป้าของผมมาตลอด
พอช่วยงานแม่ได้ เสาร์อาทิตย์ตอนสายๆผมก็ต้องไปช่วยขายที่ตลาดด้วย จากที่เคยวิ่งเล่นก็เปลี่ยนมาเป็นขายของ ซะแล้ว วันไหนมีไปทำรายงานกับเพื่อนที่โรงเรียนผมก็ต้องไปช่วยแม่ก่อนเสร็จแล้วค่อยไป บางครั้งเพื่อนก็รอได้ก็ได้ไปด้วย บางครั้งเพื่อนรอไม่ได้ก็ไม่ได้ไป หลังๆผมเองก็ไม่อยากให้เพื่อนมารอเราคนเดียว ก็เลยไม่ไปหรืออย่างชวนไปดูหนังก็ไม่ได้ไปเช่นกันเพราะงานต้องมาก่อน จนใกล้จบ ม.2 จะขึ้น ม.3 แม่ก็เปรยๆว่าถ้าจบ ม.3 แล้วก็ให้พอได้แล้วมาช่วยแม่ขายหอยที่ตลาด (เอาแล้วไง งานเข้าที่เล้าเป็ดแล้ว) ผมก็บอกแม่ไปว่าเรียนแค่นี้มันยังไม่พอ โอกาสในวันข้างหน้ามันจะน้อย แต่ไว้รอให้ใกล้จบ ม.3 ก่อนแล้วจะบอกอีกที ผมก็ได้แต่ซื้อเวลาไปครับ มาถึงตรงนี้ผมเริ่มมองเห็นแล้วว่าความสนุกในวัยเด็กมันหมดลงไปแล้วครับ.....
การเดินทางของผมอาจจะไม่หวือหวาเท่าใครๆเขานะครับ...ผมก็แค่เดินบนเส้นทางน้อยๆของตัวเองเท่านั้น...แต่ทุกๆการตัดสินใจของผมนั้น ผมเลือกเองทั้งหมด.....แล้วมาดูกันว่าตอนนหน้าจะเป็นยังไงคร๊าบ