ฟรีแลนซ์.. โลกจริงของทุนนิยม
ในที่สุดก็ได้ดูหนังเรื่องนี้ หลังจากที่เป็นกระแสอยู่นาน กระแสก็มีทั้งดีและไม่ดีตามจริตของคน ส่วนตัวก็ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับหนึ่งนะ เรามองว่าหนังพยายามสื่อให้เห็นวิถีชีวิต กรอบคิด และทัศนคติ ของคนอีกประเภทหนี่งในสังคม คนที่แม้เราจะไม่ได้พบเจอตัวเป็นๆ แต่เรามักจะเห็น "ผลงานของเขา" ปรากฏอยู่ทั่วไปโดยที่เราอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม คนประเภทที่ว่านี้คือ "มนุษย์ฟรีแลนซ์"
มนุษย์ฟรีเเลนซ์ของ "ยุ่น" สะท้อนวิถีชีวิตขบถที่ไม่ต้องการจำนนหรือไหลตามค่านิยมของสังคมทุนนิยม แต่ยิ่งเขาพยายามหนีเท่าไหร่ เขากลับพบว่าตัวเขาเองต่างหากที่เป็นผู้ผลิตซ้ำกลไกของระบบทุนนิยมซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้กับดักความคิดของตนเอง
หนังมุ่งประเด็นเรื่อง "เวลา" "อาชีพ" และ "ตัวตน"
"เวลา"
โลกทุนนิยม แบ่งเวลาของเราออกเป็นสองส่วน คือ "เวลางาน" และ "เวลาว่าง" ช่วงเวลางาน ลูกจ้างจะต้องอุทิศจิตวิญญาณและแรงงานของตนให้แก่นายจ้าง ทำงานแลกเงิน ส่วนในเวลาว่าง ทุนนิยมก็เข้ามาสร้างค่านิยมและนิยามเวลาว่างว่าเป็นเวลาของการใช้เงินและการบริโภค ซึ่งจะเป็นเวลาที่ตนเองได้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด
หนังเรื่อง ฟรีแลนซ์ จึงเต็มไปด้วยนาฬิกาเพราะยุ่นต้องทำงานแข่งกับเวลาเสมอ ยุ่นไม่มีเวลาว่างเพราะเขาอุทิศเวลาทั้งหมดของเขาเพื่องาน
และตัวยุ่นเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการบริโภค เขาไม่ช๊อปปิ้ง เขาใส่เสื้อฟรี ไม่ไปเที่ยว ไม่ทานอาหารอร่อยๆ และมักประทังชีวิตด้วยอาหารใน 7-11 irony ก็คือ ระบบทุนนิยมก็สร้าง 7-11 มาเพื่อตอบสนองคนไม่มีเวลาว่างอย่างยุ่นอย่างพอเหมาะพอเจาะพอดี เหมือนที่หมอพยายามถามยุ่นว่า เวลาว่างทำอะไร เดินสยามไหม? แต่ยุ่นกลับมองว่า การใช้เวลานอกเหนือจากเรื่องงานถือว่าเป็นชีวิตที่เสียเวลา การไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก แม้กระทั่งการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือการมีแฟนและครอบครัว ยุ่นมองว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งไร้ค่า
แต่ละฉากในโรงพยาบาลรัฐก็เป็นโมเมนต์ของความกระอักกระอ่วน ความผิดที่ผิดทาง ยุ่นผู้ให้ความสำคัญกับเวลาของตัวเองมาก กลับไม่สามารถจัดการเวลาของตัวเองได้เมื่ออยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลรัฐซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ แต่ยุ่นก็ต้องเลือกระหว่างโรงบาลเอกชนที่ใช้เวลารวดเร็ว แต่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเงินเหล่านั้นก็เกิดมาจาก"งาน" ที่เขาอุทิศเวลาทั้งหมดของเขาในการทำ กลายเป็นว่ายุ่นใช้เวลาทั้งหมดเพื่อทำงานแลกเงิน และเอาเงินทั้งหมดไปแลกเวลาที่โรงบาลเอกชน สะท้อนความจริงอันแสนเจ็บปวดที่ว่า "ยุ่นคือเป็นผู้แพ้ในระบบทุนนิยม"
"อาชีพ"
การที่ยุ่นไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน แต่เป็นมนุษย์ฟรีแลนซ์ อาจทำให้ยุ่นคิดว่าตนเองอยู่นอกเหนือการควบคุมของสังคม และไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม แต่ที่ย้อนแย้งก็คือ การทำงานที่หนักของยุ่นกำลังสะท้อนภาพของหนูถีบจักรที่ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ ทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบไม่ต่างหรืออาจจะหนักกว่าผู้คนอื่นๆ ในสังคมด้วยซ้ำไป ยุ่นต้องสูญเสียทุกความสัมพันธ์เพื่อให้ยืนที่จุดสูงสุดของสายอาชีพ
แม้แต่ "ภาพแม่" ในความทรงจำของยุ่น ก็ข่างเลือนลาง ฟุ้งเบลอ ไม่ต่างจากรูปภาพแม่ที่ติดอยู่บนตู้เย็นของยุ่น ยุ่นไม่มีแม้แต่เวลาที่ "แก้ไข" "ซ่อมแซม" ภาพของแม่ ปลอยให้ภาพแม่ยังคงเป็นภาพที่เลือนลางในความทรงจำของเขา
นอกจากยุ่นจะไม่ได้หลุดรอดจากระบบทุนนิยม ยุ่นไม่มีแม้อำนาจในการต่อรองหรือโต้กลับระบบยิ่งกว่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไปเสียอีก ยุ่นคือผู้ขายชีวิต จิตวิญญาณ และ แรงงานของตัวเองให้แก่ระบบอย่างแท้จริง โดยที่ยุ่นไม่มีมิติของชีวิตในด้านอื่นอีกเลย "งาน" คือ มิติเดียวในชีวิตที่ยุ่นมี ถ้ายุ่นทำไม่ทัน/ทำพลาด/หรือกระทั่งตาย ก็จะมีคนเสียบเเทนยุ่นทันที วงการฟรีแลนซ์ไม่ใช่วงการที่สวยงาม ไม่ใช่สิ่งทดแทนโลกในอุดมคติของมนุษย์เงินเดือน
"ตัวตน"
ยุ่นมีชีวิตอยู่ด้วยเป้าหมายของความสำเร็จ แต่เป็นความสำเร็จภายในจิตใจของยุ่นเอง ยุ่นไม่ได้ต้องการแข่งขันกับใคร แต่ต้องการที่จะเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง แต่ยุ่นอาจจะลืมไปว่าจริงๆแล้วร่างกายของเราเต็มไปด้วยขีดจำกัด ร่างกายจึงต้องแสดงอาการต่างๆ ออกมาเพื่อเรียกร้องให้ยุ่นหวนกลับมาสนใจตัวตนที่แท้จริงของเขา
ที่น่าเศร้าก็คือ ตัวตนของยุ่น พร้อมที่จะเลือนลางหายไปได้ทุกขณะ เพราะยุ่นไม่ได้อยู่ในความทรงจำของใคร มีเพียงงานของเขาเท่านั้น ที่เป็นตัวแทนของยุ่นในโลก แต่งานของยุ่นก็พร้อมที่จะหลุดขอบออกไปได้เสมอ เพราะระบบทุนนิยมให้ความสำคัญกับการแข่งขันอย่างเสรี มีคนพร้อมที่จะผลิตงานเเทนเขาทุกวินาที
การต่อรอง/โต้กลับ
ไม่ว่าคุณจะทำงานอยู่สายงานไหน จะฟรีแลนซ์ มนุษย์เงินเดือน หรือหมอ คุณเองก็ไม่มีทางหนีพ้นระบบทุนนิยมไปได้ เราทุกคนคือฟันเฟืองของระบบทุนนิยม สิ่งที่เราทำได้ก็คือ อยู่ร่วมกับมันอย่างไรโดยที่เรายังเป็นตัวของเราเอง เราอาจต้องจัดลำดับความสำคัญในชีวิต ปรับเปลี่ยนเพื่อหาทางต่อรองโต้กลับเพื่อให้เราอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมีความสุข
"เจ๋" คือตัวอย่างของผู้ที่ปรับตัวและอยู่รอดในระบบทุนนิยม
ตัวละคร เจ๋ น่าจะเป็นตัวละครที่มองระบบทุนนิยมแบบทะลุปรุโปร่ง เธอรู้ว่าระบบต้องการอะไร เธอให้ได้แค่ไหน เธอมีมิติของงาน แต่เธอก็มีมิติของชีวิตส่วนตัว เธอให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ เธอมีแฟน ยิ่งแฟนของเธอเป็น "ทหาร" ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของการจำนงในนระบบ ระเบียบ จึงไม่แปลกใจที่เเฟนของเธอจะให้เธอเลิกทำงานและรับตำแหน่ง "แม่" เต็มตัวหลังจากพบว่าเธอท้อง ยุ่นไม่สามารถทำความเข้าใจการตัดสินใจของเจ๋ได้ แต่เจ๋ก็อธิบายว่า การมีความสัมพันธ์ การมีรัก ก็เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตอีกด้านหนึ่งของเธอ คนเราไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในด้านงานเพียงอย่างเดียว ชีวิตยังมีมิติอื่นๆ อีกมาก
การเฉียดตายของยุ่น ทำให้ยุ่นเข้าใจว่า ตัวเองพลาดอะไรไปเยอะเหมือนกันเมื่อเลือกเส้นทางเดินเส้นนี้ เขาอาจจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ความสำเร็จนั้นไม่อาจเติมเต็มส่วนที่เว้าแหว่งภายในจิตใจจองตนเองได้ ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายของความไม่แน่นอน ความสำเร็จที่ต้องแลกด้วยชิวิตของเขา ชีวิตของคนเรานั้นต่างก็มีเส้นทางเดินของตนเอง การจัดลำดับความสำคัญจึงเป็นสิ่งจำเป็น คุณอยากประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดท่ามกลางความว่างเปล่าไร้คนยินดี หรืออยากมีใครสักคนร่วมแชร์ความรู้สึกทุกข์สุขตลอดการเดินทาง
ไม่มีอะไรถูกผิด หรืออะไรดีไม่ดี คุณมีชีวิตเดียว และคุณใช้มันคุ้มหรือยัง
[CR] รีวิว: ฟรีแลนซ์.. โลกจริงของทุนนิยม
ในที่สุดก็ได้ดูหนังเรื่องนี้ หลังจากที่เป็นกระแสอยู่นาน กระแสก็มีทั้งดีและไม่ดีตามจริตของคน ส่วนตัวก็ชอบหนังเรื่องนี้ในระดับหนึ่งนะ เรามองว่าหนังพยายามสื่อให้เห็นวิถีชีวิต กรอบคิด และทัศนคติ ของคนอีกประเภทหนี่งในสังคม คนที่แม้เราจะไม่ได้พบเจอตัวเป็นๆ แต่เรามักจะเห็น "ผลงานของเขา" ปรากฏอยู่ทั่วไปโดยที่เราอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม คนประเภทที่ว่านี้คือ "มนุษย์ฟรีแลนซ์"
มนุษย์ฟรีเเลนซ์ของ "ยุ่น" สะท้อนวิถีชีวิตขบถที่ไม่ต้องการจำนนหรือไหลตามค่านิยมของสังคมทุนนิยม แต่ยิ่งเขาพยายามหนีเท่าไหร่ เขากลับพบว่าตัวเขาเองต่างหากที่เป็นผู้ผลิตซ้ำกลไกของระบบทุนนิยมซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายใต้กับดักความคิดของตนเอง
หนังมุ่งประเด็นเรื่อง "เวลา" "อาชีพ" และ "ตัวตน"
"เวลา"
โลกทุนนิยม แบ่งเวลาของเราออกเป็นสองส่วน คือ "เวลางาน" และ "เวลาว่าง" ช่วงเวลางาน ลูกจ้างจะต้องอุทิศจิตวิญญาณและแรงงานของตนให้แก่นายจ้าง ทำงานแลกเงิน ส่วนในเวลาว่าง ทุนนิยมก็เข้ามาสร้างค่านิยมและนิยามเวลาว่างว่าเป็นเวลาของการใช้เงินและการบริโภค ซึ่งจะเป็นเวลาที่ตนเองได้เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด
หนังเรื่อง ฟรีแลนซ์ จึงเต็มไปด้วยนาฬิกาเพราะยุ่นต้องทำงานแข่งกับเวลาเสมอ ยุ่นไม่มีเวลาว่างเพราะเขาอุทิศเวลาทั้งหมดของเขาเพื่องาน
และตัวยุ่นเองก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการบริโภค เขาไม่ช๊อปปิ้ง เขาใส่เสื้อฟรี ไม่ไปเที่ยว ไม่ทานอาหารอร่อยๆ และมักประทังชีวิตด้วยอาหารใน 7-11 irony ก็คือ ระบบทุนนิยมก็สร้าง 7-11 มาเพื่อตอบสนองคนไม่มีเวลาว่างอย่างยุ่นอย่างพอเหมาะพอเจาะพอดี เหมือนที่หมอพยายามถามยุ่นว่า เวลาว่างทำอะไร เดินสยามไหม? แต่ยุ่นกลับมองว่า การใช้เวลานอกเหนือจากเรื่องงานถือว่าเป็นชีวิตที่เสียเวลา การไปนั่งดูพระอาทิตย์ตก แม้กระทั่งการสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือการมีแฟนและครอบครัว ยุ่นมองว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งไร้ค่า
แต่ละฉากในโรงพยาบาลรัฐก็เป็นโมเมนต์ของความกระอักกระอ่วน ความผิดที่ผิดทาง ยุ่นผู้ให้ความสำคัญกับเวลาของตัวเองมาก กลับไม่สามารถจัดการเวลาของตัวเองได้เมื่ออยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลรัฐซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ แต่ยุ่นก็ต้องเลือกระหว่างโรงบาลเอกชนที่ใช้เวลารวดเร็ว แต่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเงินเหล่านั้นก็เกิดมาจาก"งาน" ที่เขาอุทิศเวลาทั้งหมดของเขาในการทำ กลายเป็นว่ายุ่นใช้เวลาทั้งหมดเพื่อทำงานแลกเงิน และเอาเงินทั้งหมดไปแลกเวลาที่โรงบาลเอกชน สะท้อนความจริงอันแสนเจ็บปวดที่ว่า "ยุ่นคือเป็นผู้แพ้ในระบบทุนนิยม"
"อาชีพ"
การที่ยุ่นไม่ได้เป็นมนุษย์เงินเดือน แต่เป็นมนุษย์ฟรีแลนซ์ อาจทำให้ยุ่นคิดว่าตนเองอยู่นอกเหนือการควบคุมของสังคม และไม่ได้อยู่ภายใต้ระบบทุนนิยม แต่ที่ย้อนแย้งก็คือ การทำงานที่หนักของยุ่นกำลังสะท้อนภาพของหนูถีบจักรที่ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ ทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบไม่ต่างหรืออาจจะหนักกว่าผู้คนอื่นๆ ในสังคมด้วยซ้ำไป ยุ่นต้องสูญเสียทุกความสัมพันธ์เพื่อให้ยืนที่จุดสูงสุดของสายอาชีพ
แม้แต่ "ภาพแม่" ในความทรงจำของยุ่น ก็ข่างเลือนลาง ฟุ้งเบลอ ไม่ต่างจากรูปภาพแม่ที่ติดอยู่บนตู้เย็นของยุ่น ยุ่นไม่มีแม้แต่เวลาที่ "แก้ไข" "ซ่อมแซม" ภาพของแม่ ปลอยให้ภาพแม่ยังคงเป็นภาพที่เลือนลางในความทรงจำของเขา
นอกจากยุ่นจะไม่ได้หลุดรอดจากระบบทุนนิยม ยุ่นไม่มีแม้อำนาจในการต่อรองหรือโต้กลับระบบยิ่งกว่ามนุษย์เงินเดือนทั่วไปเสียอีก ยุ่นคือผู้ขายชีวิต จิตวิญญาณ และ แรงงานของตัวเองให้แก่ระบบอย่างแท้จริง โดยที่ยุ่นไม่มีมิติของชีวิตในด้านอื่นอีกเลย "งาน" คือ มิติเดียวในชีวิตที่ยุ่นมี ถ้ายุ่นทำไม่ทัน/ทำพลาด/หรือกระทั่งตาย ก็จะมีคนเสียบเเทนยุ่นทันที วงการฟรีแลนซ์ไม่ใช่วงการที่สวยงาม ไม่ใช่สิ่งทดแทนโลกในอุดมคติของมนุษย์เงินเดือน
"ตัวตน"
ยุ่นมีชีวิตอยู่ด้วยเป้าหมายของความสำเร็จ แต่เป็นความสำเร็จภายในจิตใจของยุ่นเอง ยุ่นไม่ได้ต้องการแข่งขันกับใคร แต่ต้องการที่จะเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง แต่ยุ่นอาจจะลืมไปว่าจริงๆแล้วร่างกายของเราเต็มไปด้วยขีดจำกัด ร่างกายจึงต้องแสดงอาการต่างๆ ออกมาเพื่อเรียกร้องให้ยุ่นหวนกลับมาสนใจตัวตนที่แท้จริงของเขา
ที่น่าเศร้าก็คือ ตัวตนของยุ่น พร้อมที่จะเลือนลางหายไปได้ทุกขณะ เพราะยุ่นไม่ได้อยู่ในความทรงจำของใคร มีเพียงงานของเขาเท่านั้น ที่เป็นตัวแทนของยุ่นในโลก แต่งานของยุ่นก็พร้อมที่จะหลุดขอบออกไปได้เสมอ เพราะระบบทุนนิยมให้ความสำคัญกับการแข่งขันอย่างเสรี มีคนพร้อมที่จะผลิตงานเเทนเขาทุกวินาที
การต่อรอง/โต้กลับ
ไม่ว่าคุณจะทำงานอยู่สายงานไหน จะฟรีแลนซ์ มนุษย์เงินเดือน หรือหมอ คุณเองก็ไม่มีทางหนีพ้นระบบทุนนิยมไปได้ เราทุกคนคือฟันเฟืองของระบบทุนนิยม สิ่งที่เราทำได้ก็คือ อยู่ร่วมกับมันอย่างไรโดยที่เรายังเป็นตัวของเราเอง เราอาจต้องจัดลำดับความสำคัญในชีวิต ปรับเปลี่ยนเพื่อหาทางต่อรองโต้กลับเพื่อให้เราอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างมีความสุข
"เจ๋" คือตัวอย่างของผู้ที่ปรับตัวและอยู่รอดในระบบทุนนิยม
ตัวละคร เจ๋ น่าจะเป็นตัวละครที่มองระบบทุนนิยมแบบทะลุปรุโปร่ง เธอรู้ว่าระบบต้องการอะไร เธอให้ได้แค่ไหน เธอมีมิติของงาน แต่เธอก็มีมิติของชีวิตส่วนตัว เธอให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ เธอมีแฟน ยิ่งแฟนของเธอเป็น "ทหาร" ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของการจำนงในนระบบ ระเบียบ จึงไม่แปลกใจที่เเฟนของเธอจะให้เธอเลิกทำงานและรับตำแหน่ง "แม่" เต็มตัวหลังจากพบว่าเธอท้อง ยุ่นไม่สามารถทำความเข้าใจการตัดสินใจของเจ๋ได้ แต่เจ๋ก็อธิบายว่า การมีความสัมพันธ์ การมีรัก ก็เป็นสิ่งที่เติมเต็มชีวิตอีกด้านหนึ่งของเธอ คนเราไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในด้านงานเพียงอย่างเดียว ชีวิตยังมีมิติอื่นๆ อีกมาก
การเฉียดตายของยุ่น ทำให้ยุ่นเข้าใจว่า ตัวเองพลาดอะไรไปเยอะเหมือนกันเมื่อเลือกเส้นทางเดินเส้นนี้ เขาอาจจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ความสำเร็จนั้นไม่อาจเติมเต็มส่วนที่เว้าแหว่งภายในจิตใจจองตนเองได้ ชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายของความไม่แน่นอน ความสำเร็จที่ต้องแลกด้วยชิวิตของเขา ชีวิตของคนเรานั้นต่างก็มีเส้นทางเดินของตนเอง การจัดลำดับความสำคัญจึงเป็นสิ่งจำเป็น คุณอยากประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดท่ามกลางความว่างเปล่าไร้คนยินดี หรืออยากมีใครสักคนร่วมแชร์ความรู้สึกทุกข์สุขตลอดการเดินทาง
ไม่มีอะไรถูกผิด หรืออะไรดีไม่ดี คุณมีชีวิตเดียว และคุณใช้มันคุ้มหรือยัง