สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
..แก่นของเรื่อง คือคุณน้อง จขกท. ใช้ชีวิตบนความประมาท ในหลายๆ เรื่อง
..คุณเล็งผลเลิศอย่างเดียวเลย ..ลืมเผื่อใจว่า ค้าขายมีขึ้น มีลง ..ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน ..
..คุณทำสนอง need ตัวเอง หรือไม่ก็ทำตามกระแสนิยม ทำตามเพื่อน ..ไม่ได้ดูความพร้อม ไม่ได้คิดจริงจัง และขาดการวางแผนที่ดี
ทำแบบ ..ว่าของกรูไปเรื่อยๆ นึกอยากทำ ก็ทำ ..ไม่อยาก ก็ปล่อยปละละเลย ..คิดว่า เดี๋ยวมีปัญหาอะไร ก็แก้ไขไปตาม "หน้างาน" ละกัน
อย่างเรื่องการต่อโท ..เพราะมันดูเหมือนคุณไม่มีความกระตือรือร้นที่จะรีบเรียน รีบจบ ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ลาออกจากงานประจำมาแล้วแท้ๆ
เพราะให้ลองนึกถึงคนที่เค้ามานะจริงๆ ..ยังต้องทำงานไป เรียนไป ..ยอมเหนื่อย x 2 เพื่ออนาคตที่อาจจะดีขึ้น
..คุณใจใหญ่ มือเติบ ..เวลาตัวเองมี ..ก็หลงระเริงกับความสำเร็จ ..ใช้จ่ายตามใจปรารถนา ..แต่ไม่ยักกะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เพราะถ้ารายได้เข้าตั้งหลายทาง ผ่านมือเดือนละเป็นแสนๆ ..แต่ไม่มีรถ ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง
จากไม่มีหนี้ ก็กลายเป็นหนี้ท่วม
สะท้อนว่าคุณหมดเงินไปกับสิ่งที่ตอบสนองความพึงพอใจส่วนตัวล้วนๆ
หรือแม้แต่การแสดงออกว่าใจกว้าง รักเพื่อนรักฝูง ..เพื่อนเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ..ไม่ต้องคิด ..โอนให้เค้าอย่างไว
..แต่พอถึงคราวตัวเองลำบาก ..กลายเป็น ..
เมื่อมั่งมี มากมาย มิตรหมายมอง เมื่อหม่นหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา ..ซะอย่างงั้น !
นั่นก็สะท้อนว่า คุณไม่เคยมีกัลยาณมิตร ..ไอ่ที่อยู่รายล้อมคุณน่ะ .."เพื่อนกิน" ล้วนๆ
แต่..หากคุณน้อง ยังมานั่งท้อใจกับความล้มเหลวที่ผ่านมา ..ยังปิดบังอำพรางข้อเท็จจริงกับคนในครอบครัว
แล้วก็มาเครียดคูณสอง เข้าไปอีก .. พี่ว่าไม่มีประโยชน์นะ ..รังแต่จะทำให้อะไรๆ มันแย่ลงไปอีก
..ตอนพี่อายุเท่าคุณตอนนี้ ..พี่ลาออกจากงานประจำ มาเป็นแม่บ้านเต็มเวลา เลี้ยงลูกเล็กๆ 2 คน ..คุณสามีหาเงินเข้าบ้านคนเดียวมาแล้ว 3 ปี
ตอนนั้น ลูกคนโตพี่เริ่มเข้าเตรียมอนุบาล นายคนเล็กจะเข้าโรงเรียนในปีรุ่งขึ้น
พี่มีเวลาว่างมากขึ้น แต่ติดเงื่อนไขไม่สามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้เหมือนสมัยยังไม่มีลูก
พี่ก็ปัดฝุ่นงานอดิเรก มาทำขาย เปิดร้านค้าออนไลน์ ..ทำไปเรื่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ
อาศัยความรู้ และประสบการณ์จากการทำงานมาตลอดชีวิต มาลงในกิจการของตัวเอง
..ถึงวันนี้ ผ่านมา 10 ปี ..พี่ก็ยังทำงานอยู่กับบ้าน
แต่กิจการเป็นเรื่องเป็นราว ..เป็นนิติบุคคล เสียภาษี จด vat ขยายทีมงาน ขยายตลาด ..
ใครบ่นเศรษฐกิจไม่ดี ขายของไม่ได้ ..ของพี่ตรงข้ามหมด ..ยอดขายโตทุกปี งานเยอะ จนทำแทบจะไม่ทันด้วยซ้ำค่ะ
พี่จึงมองปัญหาของคุณว่า มันอยู่ที่ทัศนคติ แนวคิดในการดำเนินชีวิตของคุณ ที่อิสระ เสรี เหนืออื่นใด ..มานาน
ขาดเป้าหมาย ขาดแรงบันดาลใจ ( อย่างพี่ ยังมีลูกๆ ที่เราต้องสร้างอนาคตที่ดีให้พวกเค้า ..ยังมีทีมงานอีกเป็นร้อยชีวิต ที่รองานจากพี่ ..เป็นต้น )
..ตอนนี้ คุณต้องตั้งสติ ..อย่าเพิ่งสติแตก
แต่ควรขบคิด วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นให้แตก ..หาทางออกให้เจอค่ะ
ถ้าไม่เจอทางออก อย่างน้อยต้องเจอ "ทางเข้า" ว่าปัญหาเหล่านี้ได้แต่ใดมา
นึกถึงก่อนหน้านี้ ทำยังไงถึงประสบความสำเร็จ ..แล้วมันเริ่มพลาดตรงไหน ..แก้ไขได้มั้ย ..อย่ามัวนั่งงกับชีวิต แล้วปล่อยเลื่อนไหลไปตามยถากรรมค่ะ
..เรื่อง "มหาบัณฑิต" ..ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรง ก็อย่าฝืนค่ะ ..วุฒิการศึกษา บางทีมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ..
มีแต่เอามา "ค้ำคอ" ว่าตนกรูเป็นถึงมหาบัณฑิต แต่ไฉน ..ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด..เยี่ยงนี้ ..จิตตกหนักกว่าเดิมอีก
และถ้ามีโอกาส ก็หาทางบอกคุณแม่ซะ ..มีปัญหา ก็บอกว่ามีปัญหา ..อย่างน้อย ท่านจะได้รับรู้ และไม่เพิ่มความเครียดอะไรมาให้คุณอีกในยามนี้
พี่ก็คงได้แต่ส่งกำลังใจไปให้นะ ..ก็หวังว่าคุณจะหาทางออกให้กับช่วงเวลานี้ของชีวิตไปได้
..อย่าเพิ่งไปโดดน้ำเล่น ซะล่ะ
สู้ๆ ค่ะ

..คุณเล็งผลเลิศอย่างเดียวเลย ..ลืมเผื่อใจว่า ค้าขายมีขึ้น มีลง ..ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน ..
..คุณทำสนอง need ตัวเอง หรือไม่ก็ทำตามกระแสนิยม ทำตามเพื่อน ..ไม่ได้ดูความพร้อม ไม่ได้คิดจริงจัง และขาดการวางแผนที่ดี
ทำแบบ ..ว่าของกรูไปเรื่อยๆ นึกอยากทำ ก็ทำ ..ไม่อยาก ก็ปล่อยปละละเลย ..คิดว่า เดี๋ยวมีปัญหาอะไร ก็แก้ไขไปตาม "หน้างาน" ละกัน
อย่างเรื่องการต่อโท ..เพราะมันดูเหมือนคุณไม่มีความกระตือรือร้นที่จะรีบเรียน รีบจบ ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ลาออกจากงานประจำมาแล้วแท้ๆ
เพราะให้ลองนึกถึงคนที่เค้ามานะจริงๆ ..ยังต้องทำงานไป เรียนไป ..ยอมเหนื่อย x 2 เพื่ออนาคตที่อาจจะดีขึ้น
..คุณใจใหญ่ มือเติบ ..เวลาตัวเองมี ..ก็หลงระเริงกับความสำเร็จ ..ใช้จ่ายตามใจปรารถนา ..แต่ไม่ยักกะได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
เพราะถ้ารายได้เข้าตั้งหลายทาง ผ่านมือเดือนละเป็นแสนๆ ..แต่ไม่มีรถ ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง
จากไม่มีหนี้ ก็กลายเป็นหนี้ท่วม
สะท้อนว่าคุณหมดเงินไปกับสิ่งที่ตอบสนองความพึงพอใจส่วนตัวล้วนๆ
หรือแม้แต่การแสดงออกว่าใจกว้าง รักเพื่อนรักฝูง ..เพื่อนเดือดร้อนเรื่องเงินทอง ..ไม่ต้องคิด ..โอนให้เค้าอย่างไว
..แต่พอถึงคราวตัวเองลำบาก ..กลายเป็น ..
เมื่อมั่งมี มากมาย มิตรหมายมอง เมื่อหม่นหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา ..ซะอย่างงั้น !
นั่นก็สะท้อนว่า คุณไม่เคยมีกัลยาณมิตร ..ไอ่ที่อยู่รายล้อมคุณน่ะ .."เพื่อนกิน" ล้วนๆ
แต่..หากคุณน้อง ยังมานั่งท้อใจกับความล้มเหลวที่ผ่านมา ..ยังปิดบังอำพรางข้อเท็จจริงกับคนในครอบครัว
แล้วก็มาเครียดคูณสอง เข้าไปอีก .. พี่ว่าไม่มีประโยชน์นะ ..รังแต่จะทำให้อะไรๆ มันแย่ลงไปอีก
..ตอนพี่อายุเท่าคุณตอนนี้ ..พี่ลาออกจากงานประจำ มาเป็นแม่บ้านเต็มเวลา เลี้ยงลูกเล็กๆ 2 คน ..คุณสามีหาเงินเข้าบ้านคนเดียวมาแล้ว 3 ปี
ตอนนั้น ลูกคนโตพี่เริ่มเข้าเตรียมอนุบาล นายคนเล็กจะเข้าโรงเรียนในปีรุ่งขึ้น
พี่มีเวลาว่างมากขึ้น แต่ติดเงื่อนไขไม่สามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้เหมือนสมัยยังไม่มีลูก
พี่ก็ปัดฝุ่นงานอดิเรก มาทำขาย เปิดร้านค้าออนไลน์ ..ทำไปเรื่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ
อาศัยความรู้ และประสบการณ์จากการทำงานมาตลอดชีวิต มาลงในกิจการของตัวเอง
..ถึงวันนี้ ผ่านมา 10 ปี ..พี่ก็ยังทำงานอยู่กับบ้าน
แต่กิจการเป็นเรื่องเป็นราว ..เป็นนิติบุคคล เสียภาษี จด vat ขยายทีมงาน ขยายตลาด ..
ใครบ่นเศรษฐกิจไม่ดี ขายของไม่ได้ ..ของพี่ตรงข้ามหมด ..ยอดขายโตทุกปี งานเยอะ จนทำแทบจะไม่ทันด้วยซ้ำค่ะ
พี่จึงมองปัญหาของคุณว่า มันอยู่ที่ทัศนคติ แนวคิดในการดำเนินชีวิตของคุณ ที่อิสระ เสรี เหนืออื่นใด ..มานาน
ขาดเป้าหมาย ขาดแรงบันดาลใจ ( อย่างพี่ ยังมีลูกๆ ที่เราต้องสร้างอนาคตที่ดีให้พวกเค้า ..ยังมีทีมงานอีกเป็นร้อยชีวิต ที่รองานจากพี่ ..เป็นต้น )
..ตอนนี้ คุณต้องตั้งสติ ..อย่าเพิ่งสติแตก
แต่ควรขบคิด วิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นให้แตก ..หาทางออกให้เจอค่ะ
ถ้าไม่เจอทางออก อย่างน้อยต้องเจอ "ทางเข้า" ว่าปัญหาเหล่านี้ได้แต่ใดมา
นึกถึงก่อนหน้านี้ ทำยังไงถึงประสบความสำเร็จ ..แล้วมันเริ่มพลาดตรงไหน ..แก้ไขได้มั้ย ..อย่ามัวนั่งงกับชีวิต แล้วปล่อยเลื่อนไหลไปตามยถากรรมค่ะ
..เรื่อง "มหาบัณฑิต" ..ถ้ามันเหลือบ่ากว่าแรง ก็อย่าฝืนค่ะ ..วุฒิการศึกษา บางทีมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ..
มีแต่เอามา "ค้ำคอ" ว่าตนกรูเป็นถึงมหาบัณฑิต แต่ไฉน ..ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด..เยี่ยงนี้ ..จิตตกหนักกว่าเดิมอีก
และถ้ามีโอกาส ก็หาทางบอกคุณแม่ซะ ..มีปัญหา ก็บอกว่ามีปัญหา ..อย่างน้อย ท่านจะได้รับรู้ และไม่เพิ่มความเครียดอะไรมาให้คุณอีกในยามนี้
พี่ก็คงได้แต่ส่งกำลังใจไปให้นะ ..ก็หวังว่าคุณจะหาทางออกให้กับช่วงเวลานี้ของชีวิตไปได้
..อย่าเพิ่งไปโดดน้ำเล่น ซะล่ะ
สู้ๆ ค่ะ

แสดงความคิดเห็น
รู้สึกชีวิตล้มเหลว ทำอะไรก้อผิดพลาดตลอด
ก่อนหน้านี้ลาออกจากงานประจำที่มีเงินเดือนน้อยนิด คิดว่ามีเงินเก็บที่สามารถดำรพชีพได้ซักปี สองปี
แต่ระหว่างนั้น ก้อเรียนโทไปด้วย รับงานมาทำเล็ก ๆ น้อย ๆ พอได้ค่ากินค่าอยู่ (ไม่มีหนี้สิน)
เรียนโท มีรายจากเยอะ ประจวบกับเรียนจนเกินเวลาเรียน ทำให้ต้องจ่ายค่ารักษาสภาพเทอมเกือบหมื่น ซึ่งจ่ายมาหลายเทอมหละ
ก้อไม่จบสักที เลยตัดสินใจไม่เรียนแหละ
เงินเก็บที่มี ก้อเอามาเปิดร้านทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ดีกว่า แต่เปิดไปเปิดมา มันไม่ได้เล็กอย่างที่ตั้งใจ ทำให้เงินเก็บที่มีทั้งหมด
หายไปกับการเปิดร้าน เวลาขายของได้เงินกลับมาก้อเป็นเบี้ยหัวแตก ต้องจ่ายยิบย่อยรายทาง ไม่สามารถนำกลับมาเป็นเงินเก็บอย่างที่ตั้งใจ
ก่อนหน้าเรามี passive income อีกช่องทาง โดยปกติต้องจ่ายค่าเช่า ปีต่อปี มันก้อสามารถเก็บเงิน เพื่อมาจ่ายค่าเช่าได้ แต่พอเราเปิดร้าน อีกร้าน
เราเอาเงินทั้งหมดที่มีมาลง ไปกับร้าน ทำให้ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่ารายปี เลยต้องให้แม่หายืมเงินมาให้
เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ตอนนี้ ขายของหน้าร้าน ก้อไม่ได้ passive income อีกช่องทาง ก้อทำเงินไม่ได้แล้ว แต่หนี้สินยังต้องจ่าย
จากคนที่เคยมีรายได้ หลายช่องทาง ต่อเดือนเงินเข้าเป็นแสน ตอนนี้ วันละ ร้อย ก้อยังแทบจะหาไม่ได้
ประกาศเซ้งร้านไปแล้ว ก้อยังไม่มีคนสนใจติดต่อ เค้าคงรอเราออกไปเอง ตอนนี้กลุ้มใจมาก
ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ตอนมีเงิน เพื่อนโทรมาขอยืมเงิน ไม่เกินสิบนาที ยืมสามหมื่นห้าหมืน เราโอนให้ทันที
แต่ตอนเราเดือนร้อน ไม่ได้ขอยืมเฉย ๆ นะ เอาของขายให้ บอกถ้ามีเงินเราจะซื้อคืน (ของมูลค่าเป็นหมื่น เราขอแค่ห้าพัน)
มันบอกให้ได้แค่สองพัน โห้ เราแบบเห็นน้ำใจเพื่อนเลย
ถ้าไม่ติดที่แม่ยืมเงินมาให้เรา เราคงไปโดดน้ำตายแล้ว เพราะถ้าเราตาย แม่ต้องมาใช้หนี้ให้เรา
จากคนที่มีเงินเก็บครึ่งล้าน ผ่านไปไม่ถึงสองปี กลายเป็นมีหนี้ครึ่งล้าน ตอนเป็นเงินเก็บ ดูไม่เยอะเลยนะ
แต่พอมันกลายเป็นหนี้สิน ทำไมมันมากมายมหาศาล ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้เค้า
ตอนนี้นอกจากจะรอการเซ้งร้านแล้ว ก้อพยายาม หางานประจำทำ คิดไม่ออกแล้ว ไม่รู้จะเดินไปทางไหน
ทุกอย่างที่เรากำลังเครียด แม่ไม่รู้เรื่องเลย ยังไม่อยากเล่าให้แม่ฟัง กลัวแม่เครียดตามไปด้วย
แต่พอแม่ยังไม่รู้ แกก้อมาขอเงินเราใช้อยู่เรื่อย ๆ เนื่องจากเราไม่มีเลย ก้ออ้างนู้น อ้างนี่ไปก่อน
ไม่รู้จะทำยังยังจริง ๆ