จากมติชนออนไลน์
(31 ส.ค.58) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุมสิริคุณากร 4 สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ผศ.ดร.รัชฎา ตั้งวงศ์ไชย ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประธานในการแถลงข่าว นักวิจัย มข.พบสื่อมวลชน เรื่องเสื้อเกราะรังไหมกันกระสุน ครั้งแรกของโลก ซึ่งทีมนักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มข. ได้ทำการผลิตและคิดค้นขึ้น พร้อมทั้งมีการจดสิทธิบัตรเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ มข.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผศ.ดร.พนมกร ขวาของ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มข. กล่าวว่า นวัตกรรมในการพัฒนารังไหมให้เป็นเกราะกันกระสุน เกิดขึ้นจากสภาพพื้นที่โดยรวมของขอนแก่นเป็นพื้นที่ชนบทและชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอย่างมาก จนกลายเป็นจังหวัดผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงและสวยงามติดอันดับต้นๆของไทยจนมียอดการสั่งซื้อจากกลุ่มตลาดภายในประเทศและต่างประเทศอย่างมาก
และเมื่อมีการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลและพูดคุยกับกลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมโดยเฉพาะกับกลุ่มหัตถกรรมผ้าของฝากอ.ภูเวียงในการที่จะยกระดับรังไหมให้เป็นสิ่งประดิษฐ์หรือผลผลิตในด้านต่างๆ ทีมนักวิจัย มข. จึงได้นำเอาจุดเด่นของรังไหมที่มีความยืดหยุ่นน้ำหนักเบามาทำการทดลองจนกลายมาเป็นแนวคิดในการทำเสื้อเกราะกันกระสุนที่ทำจากรังไหมด้วยสมมุติฐานที่ว่ามีความยืดหยุ่นน้ำหนักเบาราคาถูกต้านทานแรงกระแทกได้ดี จึงได้เริ่มทำการทดสอบด้วยการนำรังไหมที่ยังไม่ผ่านการสาวไหม หรือที่ผ่านการสาวไหมแล้วแต่ต้องเหลือใยไหม อย่างใดอย่างหนึ่ง มาทำการจัดวางลงในแม่พิมพ์ที่จัดทำขึ้นเฉพาะ

จากนั้นเทเรซินชนิดพิเศษลงบนรังไหมเพื่อให้รังไหมยึดเกาะกัน ก่อนที่จะนำไปอัดด้วยเครื่องไฮโดรลิค และทำการบ่มเป็นเวลา 8 ชั่วโมง จนได้เกราะไหมกันกระสุนที่มีความหนาประมาณ 14-20 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักโดยรวมอยู่ที่ 2.5-4 กก. โดยปัจจุบัน การผลิตเกราะกันกระสุนดังกล่าวยังคงอยู่ในขั้นตอนของการทดลอง ซึ่งทีมนักวิจัย มข.จัดทำขึ้นเพียงรูปแบบเดียวคือการรองรับและป้องกันเฉพาะในกลุ่มอาวุธปืนพกสั้น ประเภท .38 และ .22 ซึ่งได้มีการยื่นเรื่องขอจดสิทธิบัตรเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ มข.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจากนี้ไปคือการพัฒนาเกราะกันกระสุนดังกล่าวให้สามารถรองรับการปฎิบัติงานในกลุ่มอาวุธหนักและอาวุธสงครามโดยเฉพาะกับอาวุธปืนเอ็ม16ให้ได้
ผศ.ดร.พนมกร กล่าวด้วยว่า แรงบันดาลใจของการพัฒนารังไหมซึ่งถือเป็นวัตถุดิบพื้นบ้านของภาคอีสานและพบมากที่ขอนแก่น จนกลายมาเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนที่ทำจากรังไหมครั้งแรกของโลกนั้น คงหนีไม่พ้นภาพรวมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่งผลต่อการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงาน
ขณะเดียวกันเสื้อเกราะกันกระสุน โดยเฉพาะกลุ่มเกราะอ่อนก็มีน้ำหนักมาก บางประเภทไม่สามารถป้องกันการยิงซ้ำหรือต้านทานแรงกระแทกได้ บางชนิดสามารถใช้งานได้ไม่กี่ครั้งก็ไม่สามารถใช้งานได้อีก และที่สำคัญของดีก็ยิ่งราคาแพง จึงนำจุดเด่นของใยไหมมาทำการวิจัยและจัดทำขึ้นตามหลักวิศวกรรมเคมี ด้วยคุณสมบัติของรังไหมนั้นมีความแข็งแรงสูง ยืดหยุ่นได้ดีและยังคงสามารถหดตัวกลับคืนได้ทันที ซึ่งเมื่อทำการผลิตเกราะกันกระสุนดังกล่าวแล้วเสร็จได้ทำการทดสอบด้วยการใช้อาวุธปืนขนาด.38 และ .22 ด้วยกระสุนจริง จากการยิงพบว่าสามารถป้องกันการยิงได้ในระยะ 3 เมตร ซึ่งเป็นการป้องกันในระดับ 1 ตามมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังคงพบอีกว่าเสื้อเกราะรังไหมกันกระสุนนั้นยังคงมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่นตัวสูงมากสามารถที่จะดูดหัวกระสุนไว้ในเกราะไม่ทำให้เกิดการแฉลบโดนบุคคลข้างเคียงอีกด้วย

ผศ.ดร.พนมกรกล่าวเพิ่มเติมว่า จากการทดสอบด้วยกระสุนจริงยังคงพบอีกว่าเสื้อเกราะกันกระสุนจากรังไหมนี้ยังคงสามารถต้านทานแรงกระแทกได้ดีไม่ทำให้เกราะแตกหรือทำให้เกิดการบอบช้ำภายในของร่างกายของผู้ที่สวมใส่และไม่ยุบตัวไปตามแรงของกระสุนอีกทั้งยังคงสามารถป้องกันการยิงซ้ำได้ดีจากการคงรูปของเกราะที่ไม่เกิดความเสียหายหรือยุบตัวหลังจากการถูกยิงไปแล้วนอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบาราคาถูกกว่าเกราะกันกระสุนโดยทั่วไปมากถึง3 เท่า มีอายุการใช้งานทนทานกว่าเกราะกันกระสุนต่างๆทั่วไปโดยเฉพาะกลุ่มประเภทแผ่นเหล็ก อย่างไรก็ตามจากนี้ไปจะมีการยกระดับการทดลองไปสู่การเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนในกลุ่มอาวุธสงครามและอาวุธหนัก
ไม่นับรวมกลุ่มประเภทระเบิดด้วยการทำให้เกราะมีความหนาขึ้นโดยจะทำการคิดค้นการเพิ่มเส้นใยพิเศษเข้าไปเพื่อให้สามารถต้านทานความเร็วของกระสุนปืนในประเภทต่างๆตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานสากลหรือตามมาตรฐานของNationalInstituteofJustice(NIJ) โดยเฉพาะกับการเพิ่มความหนาและน้ำหนักของเสื้อเกราะให้บางและเบาขึ้น ให้ได้ภายใน 2 ปี ต่อจากนี้
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.พนมกรกล่าวว่า สำหรับงานวิจัยดังกล่าวยังคงได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดโครงการพัฒนาภูมิปัญญาสู่นวัตกรรม ภาคอีสานตอนบน ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่ง มข.เตรียมพิจารณาในการมอบสิทธิบัตรดังกล่าวและแนวทางการวิจัยดังกล่าวในกลุ่มประเภทยุทธภัณฑ์ทางทหารและความมั่นคงส่งมอบให้กับทหารและตำรวจเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตให้กับผู้ปฏิบัติงานโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดอีกด้วย
มข.เจ๋ง! เปิดตัวเสื้อกันกระสุนจากรังไหม ตัวแรกของโลก! จ่อมอบสิทธิบัตรให้ทหาร-ตำรวจ
(31 ส.ค.58) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุมสิริคุณากร 4 สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) ผศ.ดร.รัชฎา ตั้งวงศ์ไชย ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นประธานในการแถลงข่าว นักวิจัย มข.พบสื่อมวลชน เรื่องเสื้อเกราะรังไหมกันกระสุน ครั้งแรกของโลก ซึ่งทีมนักวิจัยจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มข. ได้ทำการผลิตและคิดค้นขึ้น พร้อมทั้งมีการจดสิทธิบัตรเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ มข.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผศ.ดร.พนมกร ขวาของ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มข. กล่าวว่า นวัตกรรมในการพัฒนารังไหมให้เป็นเกราะกันกระสุน เกิดขึ้นจากสภาพพื้นที่โดยรวมของขอนแก่นเป็นพื้นที่ชนบทและชาวบ้านส่วนใหญ่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมอย่างมาก จนกลายเป็นจังหวัดผลิตผ้าไหมที่มีชื่อเสียงและสวยงามติดอันดับต้นๆของไทยจนมียอดการสั่งซื้อจากกลุ่มตลาดภายในประเทศและต่างประเทศอย่างมาก
และเมื่อมีการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลและพูดคุยกับกลุ่มผู้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมโดยเฉพาะกับกลุ่มหัตถกรรมผ้าของฝากอ.ภูเวียงในการที่จะยกระดับรังไหมให้เป็นสิ่งประดิษฐ์หรือผลผลิตในด้านต่างๆ ทีมนักวิจัย มข. จึงได้นำเอาจุดเด่นของรังไหมที่มีความยืดหยุ่นน้ำหนักเบามาทำการทดลองจนกลายมาเป็นแนวคิดในการทำเสื้อเกราะกันกระสุนที่ทำจากรังไหมด้วยสมมุติฐานที่ว่ามีความยืดหยุ่นน้ำหนักเบาราคาถูกต้านทานแรงกระแทกได้ดี จึงได้เริ่มทำการทดสอบด้วยการนำรังไหมที่ยังไม่ผ่านการสาวไหม หรือที่ผ่านการสาวไหมแล้วแต่ต้องเหลือใยไหม อย่างใดอย่างหนึ่ง มาทำการจัดวางลงในแม่พิมพ์ที่จัดทำขึ้นเฉพาะ
จากนั้นเทเรซินชนิดพิเศษลงบนรังไหมเพื่อให้รังไหมยึดเกาะกัน ก่อนที่จะนำไปอัดด้วยเครื่องไฮโดรลิค และทำการบ่มเป็นเวลา 8 ชั่วโมง จนได้เกราะไหมกันกระสุนที่มีความหนาประมาณ 14-20 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักโดยรวมอยู่ที่ 2.5-4 กก. โดยปัจจุบัน การผลิตเกราะกันกระสุนดังกล่าวยังคงอยู่ในขั้นตอนของการทดลอง ซึ่งทีมนักวิจัย มข.จัดทำขึ้นเพียงรูปแบบเดียวคือการรองรับและป้องกันเฉพาะในกลุ่มอาวุธปืนพกสั้น ประเภท .38 และ .22 ซึ่งได้มีการยื่นเรื่องขอจดสิทธิบัตรเป็นทรัพย์สินทางปัญญาของ มข.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และจากนี้ไปคือการพัฒนาเกราะกันกระสุนดังกล่าวให้สามารถรองรับการปฎิบัติงานในกลุ่มอาวุธหนักและอาวุธสงครามโดยเฉพาะกับอาวุธปืนเอ็ม16ให้ได้
ผศ.ดร.พนมกร กล่าวด้วยว่า แรงบันดาลใจของการพัฒนารังไหมซึ่งถือเป็นวัตถุดิบพื้นบ้านของภาคอีสานและพบมากที่ขอนแก่น จนกลายมาเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนที่ทำจากรังไหมครั้งแรกของโลกนั้น คงหนีไม่พ้นภาพรวมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ส่งผลต่อการได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติงาน
ขณะเดียวกันเสื้อเกราะกันกระสุน โดยเฉพาะกลุ่มเกราะอ่อนก็มีน้ำหนักมาก บางประเภทไม่สามารถป้องกันการยิงซ้ำหรือต้านทานแรงกระแทกได้ บางชนิดสามารถใช้งานได้ไม่กี่ครั้งก็ไม่สามารถใช้งานได้อีก และที่สำคัญของดีก็ยิ่งราคาแพง จึงนำจุดเด่นของใยไหมมาทำการวิจัยและจัดทำขึ้นตามหลักวิศวกรรมเคมี ด้วยคุณสมบัติของรังไหมนั้นมีความแข็งแรงสูง ยืดหยุ่นได้ดีและยังคงสามารถหดตัวกลับคืนได้ทันที ซึ่งเมื่อทำการผลิตเกราะกันกระสุนดังกล่าวแล้วเสร็จได้ทำการทดสอบด้วยการใช้อาวุธปืนขนาด.38 และ .22 ด้วยกระสุนจริง จากการยิงพบว่าสามารถป้องกันการยิงได้ในระยะ 3 เมตร ซึ่งเป็นการป้องกันในระดับ 1 ตามมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังคงพบอีกว่าเสื้อเกราะรังไหมกันกระสุนนั้นยังคงมีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของความยืดหยุ่นตัวสูงมากสามารถที่จะดูดหัวกระสุนไว้ในเกราะไม่ทำให้เกิดการแฉลบโดนบุคคลข้างเคียงอีกด้วย
ผศ.ดร.พนมกรกล่าวเพิ่มเติมว่า จากการทดสอบด้วยกระสุนจริงยังคงพบอีกว่าเสื้อเกราะกันกระสุนจากรังไหมนี้ยังคงสามารถต้านทานแรงกระแทกได้ดีไม่ทำให้เกราะแตกหรือทำให้เกิดการบอบช้ำภายในของร่างกายของผู้ที่สวมใส่และไม่ยุบตัวไปตามแรงของกระสุนอีกทั้งยังคงสามารถป้องกันการยิงซ้ำได้ดีจากการคงรูปของเกราะที่ไม่เกิดความเสียหายหรือยุบตัวหลังจากการถูกยิงไปแล้วนอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบาราคาถูกกว่าเกราะกันกระสุนโดยทั่วไปมากถึง3 เท่า มีอายุการใช้งานทนทานกว่าเกราะกันกระสุนต่างๆทั่วไปโดยเฉพาะกลุ่มประเภทแผ่นเหล็ก อย่างไรก็ตามจากนี้ไปจะมีการยกระดับการทดลองไปสู่การเป็นเสื้อเกราะกันกระสุนในกลุ่มอาวุธสงครามและอาวุธหนัก
ไม่นับรวมกลุ่มประเภทระเบิดด้วยการทำให้เกราะมีความหนาขึ้นโดยจะทำการคิดค้นการเพิ่มเส้นใยพิเศษเข้าไปเพื่อให้สามารถต้านทานความเร็วของกระสุนปืนในประเภทต่างๆตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานสากลหรือตามมาตรฐานของNationalInstituteofJustice(NIJ) โดยเฉพาะกับการเพิ่มความหนาและน้ำหนักของเสื้อเกราะให้บางและเบาขึ้น ให้ได้ภายใน 2 ปี ต่อจากนี้
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.พนมกรกล่าวว่า สำหรับงานวิจัยดังกล่าวยังคงได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดโครงการพัฒนาภูมิปัญญาสู่นวัตกรรม ภาคอีสานตอนบน ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่ง มข.เตรียมพิจารณาในการมอบสิทธิบัตรดังกล่าวและแนวทางการวิจัยดังกล่าวในกลุ่มประเภทยุทธภัณฑ์ทางทหารและความมั่นคงส่งมอบให้กับทหารและตำรวจเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความปลอดภัยในชีวิตให้กับผู้ปฏิบัติงานโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใดอีกด้วย