ฉายมาได้ 4 ตอนแล้วสำหรับละครไต้หวันมาแร๊งงงงงงเรื่อง Love Cuisine จากทรงละครเอาเข้าจริงไม่ค่อยไว้วางใจเท่าไหร่ แต่ดูตอนแรกไปถึงกับติดกันเลยทีเดียว ณ ตอนนี้เท่าที่ดูสำหรับเรายังไม่เสียรังวัดนะ แต่หากกาลผ่านไปจะยังไงหรือเปล่าอันนี้คงต้องลุ้นโชคกันดูอีกที ละครเกี่ยวกับเรื่องการทำอาหารเราก็เห็นกันอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าฝั่งญี่ปุ่น เกาหลี ก็มีให้ดูไม่ขาดสาย ส่วนทางไต้หวันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมี อย่าง Smiling Pasta ที่เคยโด่งดังเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วก็เช่นกัน เพียงแต่เรื่องนั้นไม่ได้ "เน้น" ไปที่เรื่องการทำอาหารที่สมจริงซักเท่าไหร่
ณ จุดนี้ Love Cuisine อาจจะดูเป็น "ของใหม่" สำหรับวงการละครโทรทัศน์ไต้หวัน พล็อตเรื่อง ... ไม่ได้ซับซ้อน หรือ แปลกใหม่ แต่บทละคร โปรดดัคชั่น และ บทบาทการแสดงถือว่าลงตัว เป็นรอมคอมเรื่องนึงที่เชิดหน้าชูตาได้สบาย ๆ มีทั้งความขำ และ ความจริงจัง อยู่ในเรื่องเดียวกัน ก่อนหน้านี้ซัก 5 ปียังนึกอยู่ว่าละครไต้หวันเริ่มคลำทางมาคล้าย ๆ ละครญี่ปุ่น ไม่เหมือนทั้งหมด แต่ก็ให้ความสำคัญกับรายละเอียดความสมจริงมากขึ้น กับ Love Cuisine นี้ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างเช่นกัน
ตัวเอกของเราได้แก่ หานเจี๋ย Young Chef ระดับท็อปของวงการร้านอาหาร ละทิ้งเงินจำนวนมหาศาลและชื่อเสียงจากประเทศขึ้นชื่อเรื่องอาหารหรูหราระดับ High-End อย่างฝรั่งเศสกลับมาที่ไต้หวัน หานเจี๋ย เชี่ยวชาญศิลปะการใช้มีด การทำอาหารคาวหวานสไตล์ยุโรป และ รวมถึงอาหารพื้นเมืองไต้หวันโดยภัตคารหรูที่เคยทำงานก็ระดับ 3 ดาวมิชลินทีเดียว บิดาของหานเจี๋ยเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสายอาชีพ(ประมาณวิทยาลัยดุสิตธานี เลอ กอร์ดอง เบลอ ทำนองนี้) ก็ยังแปลกใจว่าเหตุใดลูกชายคนเดียวที่กำลังเติบโตก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในหน้าที่การงานจึงหันหลังกลับมาที่ไต้หวันได้
โรงเรียนสอนทำอาหารของพ่อเคยเป็นเบอร์หนึ่งมาก่อน ในช่วงหลัง ๆ ชื่อเสียงเริ่มลดน้อยถอยลงไป หานเจี๋ย จึงบอกกับพ่อว่าถ้าเช่นนั้นจะขอมากอบกู้ศักดิ์ศรีของโรงเรียนทำอาหารของพ่อด้วยสองมือนี้เอง หากจริง ๆ แล้วเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เพียงกับกอบกู้ชื่อเสียงเท่านั้น แต่เป็นคำมั่นที่หานเจี๋ยผูกมัดแน่นหนาไว้กับตัวเอง ซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์ในอดีตคราวหนึ่ง จากการขาดความระมัดระวังในวัยเรียนของเด็กหนุ่มนักเรียนเชฟชั้นหัวกะทิ คุณครูที่เป็นเชฟระดับท็อปและแสนใจดีถึงขั้นหมดอนาคตในฐานะพ่อครัว อุบัติเหตุคราวนั้นทำให้เหล่าซือผู้ใจดีน่ารักถูกไฟคลอกทั้งแขน แม้จะไม่ถึงกับพิการแต่ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพเชฟได้อีก
ดังนั้นเมื่อสั่งสมประสบการณ์ และ ความสามารถอย่างเต็มที่แล้ว หานเจี๋ย จึงเดินทางกลับมาที่ไต้หวัน เข้าสู่สายอาชีพ Mentor ที่จะผลิตบุคลากรสายการทำอาหารป้อนสู่วงการต่อไป หานเจี๋ย เป็นคุณครูที่เข้มงวด และ เชื่อว่า practices make perfect ความรู้ความสามารถของเชฟระดับสามดาวมิชลินจึงถูกถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์อย่างเต็มที่ ถึงขนาดการันตีว่าใครเอาชีวิตรอดผ่านมืออาจารย์หานคนนี้ไปได้ละก็ "เธอจะต้องเป็นเชฟที่ร้านอาหาร "ต้อง" มาจองตัว"
ทุกคนรู้ว่าจะทำอะไรให้ถูกต้องและถูกใจอาจารย์หานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะลองของแค่ไหนอย่างไร ก็ไม่เคยเอาอาจารย์หานลงได้ซักที ด้วยความเข้มงวด และ มาตรฐานสูงส่ง (รวมทั้งหน้าตาดี(อุอิ)) อาจารย์หานจึงเป็นที่น่าหมั่นไส้หมั่นตับของเหล่าบรรดานักเรียน(ชาย) และ อาจารย์บางคน เป็นต้นว่า ฟานเสี่ยวหรู
ฟานเสี่ยวหรูแตกต่างกับหานเจี๋ยทุกสิ่งอย่าง ในขณะที่หานเจี๋ยทรีตลูกศิษย์ด้วยความเข้มงวด strive for perfection ฟานเสี่ยวหรูทรีตเด็กแบบเป็นมิตรเฮฮาปาจิงโกะ ค่อย ๆ บอก ค่อย ๆ สอน ผลคือเด็กน้อยมักจะกลัวและเลย ๆ ไปถึงเกลียดนิด ๆ ต่ออาจารย์หาน บางคนที่อีโก้จัด ๆ ก็เรียกได้ว่าลงมือต่อต้าน ถึงกับเอาคลาสเรียนเป็นเดิมพัน แต่บางส่วนก็ยอมรับในฝีไม้ลายมือที่เก่งกาจของอาจารย์ ส่วนเสี่ยวหรูที่เป็นอาจารย์สอนในด้านการผสมค็อกเทลนั้น เด็ก ๆ ก็ปั่นเศียรให้เวียนหัวได้ตลอด แต่เด็กน้อยก็เป็นมิตรฟัง และ เคารพเธอในระดับหนึ่ง
คนหนึ่งใช้พระเดช
อีกคนก็ใช้พระคุณ
ซึ่งต่างฝ่ายก็ไม่ค่อยจะเข้าใจในวิธีการ approach เด็กของกันและกันเท่าไหร่ เสี่ยวหรูสงสัยว่าหานเจี๋ยจะอะไรนักหนา หานเจี๋ยก็คิดว่าเสี่ยวหรูเล่นเกินไป ต่างคนต่างมีอคติเล็ก ๆ ในใจ ในความเข้มงวดของหานเจี๋ยคือความใส่ใจเด็กอย่างยิ่งยวด เพราะ เขารู้ว่าอาชีพนี้ต้องการทั้งใจรักและฝีมือ รวมถึงความระมัดระวังด้วย หากพลาด ... อาจจะไม่มีครั้งที่สอง ส่วนเสี่ยวหรูเธอเป็นคน friendly และ outgoing มาแต่ไหนแต่ไร ถึงเธอจะบอกว่าพ่อใจดีกับนักเรียนเกินไป แม้แต่คนที่ทำให้พ่อหมดอนาคต แต่เธอก็ซึมซับนิสัยนั้นของพ่อมาชนิดหมดจด
แม้วิธีการจะแตกต่างแต่อุดมการณ์นั้นไม่ต่างกันเลย
ทั้งคู่ต่างเป็นคนในวงการอาหารเครื่องดื่มที่ฝีมือยอดเยี่ยม และ นี่เป็นจุดเด่นของละครเรื่องนี้อย่างหนึ่ง คนเขียนบท ทีมโปรดัคชั่น และ ผู้กำกับ เรียกว่าทำงานมาดี หน้างานการแสดงฝีมือการทำอาหาร และ ลีลาการผสมค็อคเทลดูเก๋ไก๋เนียนตา อาหารแต่ละอย่างที่ทำนั้นดูน่ารับประทานและดูเข้าใจได้ว่า "หานเจี๋ย" เป็นโปรเฟสชั่นนัล เชฟมิชลินสามดาว จริง ๆ มีการสโลว์ภาพเวลาทำอาหารให้เห็นเทคนิคต่าง ๆ ของเชฟหาน อาทิ การกริลวัตถุดิบในกระทะ หรือ knife skill craft skill วิธีพิเคราะห์เลือกวัตถุดิบมาทำอาหารก็เห็นได้ชัดเจน (มีทั้งอาหารเมพ และ คนธรรมดากิน)
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ผสานกับเลิฟไลน์ และ คอนฟลิค พอหอมปากหอมคอ ตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่กรุบกริบอะไรมาก เชฟหานเธอมีกำแพง เพราะ เหล่าซือที่มือพังไปก็คือพ่อของเสี่ยวหรู แต่เสี่ยวหรูผู้ friendly ก็เริ่มวูบวาบ ๆ กับเชฟหานแล้วเช่นกัน ถึงนิสัยใจคอ วิธีการทำงานจะต่างกันราวฟ้าเหว แต่ลึก ๆ เชฟหานอบอุ่นคล้าย ๆ พ่อของเสี่ยวหรู ส่วนเสี่ยวหรูก็มีความใจดีอ่อนหวาน(ที่ซ่อนไว้ใต้ความร่าเริงสุด ๆ) เชฟก็อดประทับใจไม่ได้
จากที่ดูมา 4 ตอน ละครเรื่องนี้มีอาหารตา คือ หนุ่มหล่อทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ สาวสวยน่ารักทั้งอาจารย์นักเรียน มีอาหารสมอง คือ ใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในกระทะเวลาบรรดาอาจารย์ และ ศิษย์ลงมือทำอาหาร (วันก่อนเห็นปลานึ่งซีอิ้วแล้วหิวมาก #อยากจิบอก) ที่มีเทคนิคการเลือกและการปรุงอาหารแต่ละจานให้อร่อย รวมถึงอาหารใจ ปรัชญา และ ความรักในการปรุง การทำอาหาร การเรียนรู้ที่จะเติบโต กำแพงใจที่ต้องก้าวข้ามผ่าน ฝีมือที่ต้องขัดเกลา และ การยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่มีใครผิดแค่เราคิดต่าง
ถือว่าเป็นละครเบาสมองน่ารักที่สอดแทรกความบันเทิงได้อย่างลงตัวทีเดียวเชียว
ป.ล. ก็ไม่แปลกใจที่ได้ข่าวว่าเรตติ้งชนะเลิศอยู่สำหรับเรื่องนี้
ช.ชวนดู Love Cuisine (TW Series Review 2015) : Let's Learn Let's Eat and Let's Love (สปอยด์เล็ก ๆ)
ณ จุดนี้ Love Cuisine อาจจะดูเป็น "ของใหม่" สำหรับวงการละครโทรทัศน์ไต้หวัน พล็อตเรื่อง ... ไม่ได้ซับซ้อน หรือ แปลกใหม่ แต่บทละคร โปรดดัคชั่น และ บทบาทการแสดงถือว่าลงตัว เป็นรอมคอมเรื่องนึงที่เชิดหน้าชูตาได้สบาย ๆ มีทั้งความขำ และ ความจริงจัง อยู่ในเรื่องเดียวกัน ก่อนหน้านี้ซัก 5 ปียังนึกอยู่ว่าละครไต้หวันเริ่มคลำทางมาคล้าย ๆ ละครญี่ปุ่น ไม่เหมือนทั้งหมด แต่ก็ให้ความสำคัญกับรายละเอียดความสมจริงมากขึ้น กับ Love Cuisine นี้ก็สัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างเช่นกัน
ตัวเอกของเราได้แก่ หานเจี๋ย Young Chef ระดับท็อปของวงการร้านอาหาร ละทิ้งเงินจำนวนมหาศาลและชื่อเสียงจากประเทศขึ้นชื่อเรื่องอาหารหรูหราระดับ High-End อย่างฝรั่งเศสกลับมาที่ไต้หวัน หานเจี๋ย เชี่ยวชาญศิลปะการใช้มีด การทำอาหารคาวหวานสไตล์ยุโรป และ รวมถึงอาหารพื้นเมืองไต้หวันโดยภัตคารหรูที่เคยทำงานก็ระดับ 3 ดาวมิชลินทีเดียว บิดาของหานเจี๋ยเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนสายอาชีพ(ประมาณวิทยาลัยดุสิตธานี เลอ กอร์ดอง เบลอ ทำนองนี้) ก็ยังแปลกใจว่าเหตุใดลูกชายคนเดียวที่กำลังเติบโตก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในหน้าที่การงานจึงหันหลังกลับมาที่ไต้หวันได้
โรงเรียนสอนทำอาหารของพ่อเคยเป็นเบอร์หนึ่งมาก่อน ในช่วงหลัง ๆ ชื่อเสียงเริ่มลดน้อยถอยลงไป หานเจี๋ย จึงบอกกับพ่อว่าถ้าเช่นนั้นจะขอมากอบกู้ศักดิ์ศรีของโรงเรียนทำอาหารของพ่อด้วยสองมือนี้เอง หากจริง ๆ แล้วเรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เพียงกับกอบกู้ชื่อเสียงเท่านั้น แต่เป็นคำมั่นที่หานเจี๋ยผูกมัดแน่นหนาไว้กับตัวเอง ซึ่งเป็นผลจากเหตุการณ์ในอดีตคราวหนึ่ง จากการขาดความระมัดระวังในวัยเรียนของเด็กหนุ่มนักเรียนเชฟชั้นหัวกะทิ คุณครูที่เป็นเชฟระดับท็อปและแสนใจดีถึงขั้นหมดอนาคตในฐานะพ่อครัว อุบัติเหตุคราวนั้นทำให้เหล่าซือผู้ใจดีน่ารักถูกไฟคลอกทั้งแขน แม้จะไม่ถึงกับพิการแต่ก็ไม่สามารถประกอบอาชีพเชฟได้อีก
ดังนั้นเมื่อสั่งสมประสบการณ์ และ ความสามารถอย่างเต็มที่แล้ว หานเจี๋ย จึงเดินทางกลับมาที่ไต้หวัน เข้าสู่สายอาชีพ Mentor ที่จะผลิตบุคลากรสายการทำอาหารป้อนสู่วงการต่อไป หานเจี๋ย เป็นคุณครูที่เข้มงวด และ เชื่อว่า practices make perfect ความรู้ความสามารถของเชฟระดับสามดาวมิชลินจึงถูกถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์อย่างเต็มที่ ถึงขนาดการันตีว่าใครเอาชีวิตรอดผ่านมืออาจารย์หานคนนี้ไปได้ละก็ "เธอจะต้องเป็นเชฟที่ร้านอาหาร "ต้อง" มาจองตัว"
ทุกคนรู้ว่าจะทำอะไรให้ถูกต้องและถูกใจอาจารย์หานนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะลองของแค่ไหนอย่างไร ก็ไม่เคยเอาอาจารย์หานลงได้ซักที ด้วยความเข้มงวด และ มาตรฐานสูงส่ง (รวมทั้งหน้าตาดี(อุอิ)) อาจารย์หานจึงเป็นที่น่าหมั่นไส้หมั่นตับของเหล่าบรรดานักเรียน(ชาย) และ อาจารย์บางคน เป็นต้นว่า ฟานเสี่ยวหรู
ฟานเสี่ยวหรูแตกต่างกับหานเจี๋ยทุกสิ่งอย่าง ในขณะที่หานเจี๋ยทรีตลูกศิษย์ด้วยความเข้มงวด strive for perfection ฟานเสี่ยวหรูทรีตเด็กแบบเป็นมิตรเฮฮาปาจิงโกะ ค่อย ๆ บอก ค่อย ๆ สอน ผลคือเด็กน้อยมักจะกลัวและเลย ๆ ไปถึงเกลียดนิด ๆ ต่ออาจารย์หาน บางคนที่อีโก้จัด ๆ ก็เรียกได้ว่าลงมือต่อต้าน ถึงกับเอาคลาสเรียนเป็นเดิมพัน แต่บางส่วนก็ยอมรับในฝีไม้ลายมือที่เก่งกาจของอาจารย์ ส่วนเสี่ยวหรูที่เป็นอาจารย์สอนในด้านการผสมค็อกเทลนั้น เด็ก ๆ ก็ปั่นเศียรให้เวียนหัวได้ตลอด แต่เด็กน้อยก็เป็นมิตรฟัง และ เคารพเธอในระดับหนึ่ง
อีกคนก็ใช้พระคุณ
ซึ่งต่างฝ่ายก็ไม่ค่อยจะเข้าใจในวิธีการ approach เด็กของกันและกันเท่าไหร่ เสี่ยวหรูสงสัยว่าหานเจี๋ยจะอะไรนักหนา หานเจี๋ยก็คิดว่าเสี่ยวหรูเล่นเกินไป ต่างคนต่างมีอคติเล็ก ๆ ในใจ ในความเข้มงวดของหานเจี๋ยคือความใส่ใจเด็กอย่างยิ่งยวด เพราะ เขารู้ว่าอาชีพนี้ต้องการทั้งใจรักและฝีมือ รวมถึงความระมัดระวังด้วย หากพลาด ... อาจจะไม่มีครั้งที่สอง ส่วนเสี่ยวหรูเธอเป็นคน friendly และ outgoing มาแต่ไหนแต่ไร ถึงเธอจะบอกว่าพ่อใจดีกับนักเรียนเกินไป แม้แต่คนที่ทำให้พ่อหมดอนาคต แต่เธอก็ซึมซับนิสัยนั้นของพ่อมาชนิดหมดจด
ทั้งคู่ต่างเป็นคนในวงการอาหารเครื่องดื่มที่ฝีมือยอดเยี่ยม และ นี่เป็นจุดเด่นของละครเรื่องนี้อย่างหนึ่ง คนเขียนบท ทีมโปรดัคชั่น และ ผู้กำกับ เรียกว่าทำงานมาดี หน้างานการแสดงฝีมือการทำอาหาร และ ลีลาการผสมค็อคเทลดูเก๋ไก๋เนียนตา อาหารแต่ละอย่างที่ทำนั้นดูน่ารับประทานและดูเข้าใจได้ว่า "หานเจี๋ย" เป็นโปรเฟสชั่นนัล เชฟมิชลินสามดาว จริง ๆ มีการสโลว์ภาพเวลาทำอาหารให้เห็นเทคนิคต่าง ๆ ของเชฟหาน อาทิ การกริลวัตถุดิบในกระทะ หรือ knife skill craft skill วิธีพิเคราะห์เลือกวัตถุดิบมาทำอาหารก็เห็นได้ชัดเจน (มีทั้งอาหารเมพ และ คนธรรมดากิน)
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ผสานกับเลิฟไลน์ และ คอนฟลิค พอหอมปากหอมคอ ตอนนี้ทั้งคู่ยังไม่กรุบกริบอะไรมาก เชฟหานเธอมีกำแพง เพราะ เหล่าซือที่มือพังไปก็คือพ่อของเสี่ยวหรู แต่เสี่ยวหรูผู้ friendly ก็เริ่มวูบวาบ ๆ กับเชฟหานแล้วเช่นกัน ถึงนิสัยใจคอ วิธีการทำงานจะต่างกันราวฟ้าเหว แต่ลึก ๆ เชฟหานอบอุ่นคล้าย ๆ พ่อของเสี่ยวหรู ส่วนเสี่ยวหรูก็มีความใจดีอ่อนหวาน(ที่ซ่อนไว้ใต้ความร่าเริงสุด ๆ) เชฟก็อดประทับใจไม่ได้
จากที่ดูมา 4 ตอน ละครเรื่องนี้มีอาหารตา คือ หนุ่มหล่อทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ สาวสวยน่ารักทั้งอาจารย์นักเรียน มีอาหารสมอง คือ ใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในกระทะเวลาบรรดาอาจารย์ และ ศิษย์ลงมือทำอาหาร (วันก่อนเห็นปลานึ่งซีอิ้วแล้วหิวมาก #อยากจิบอก) ที่มีเทคนิคการเลือกและการปรุงอาหารแต่ละจานให้อร่อย รวมถึงอาหารใจ ปรัชญา และ ความรักในการปรุง การทำอาหาร การเรียนรู้ที่จะเติบโต กำแพงใจที่ต้องก้าวข้ามผ่าน ฝีมือที่ต้องขัดเกลา และ การยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่มีใครผิดแค่เราคิดต่าง
ป.ล. ก็ไม่แปลกใจที่ได้ข่าวว่าเรตติ้งชนะเลิศอยู่สำหรับเรื่องนี้