เมทขโมยเงิน เขาขอย้ายออกก่อนหมดสัญญาและเรียกร้องเงินประกันส่วนของเขาคืน ทำอย่างไรดีคะ?

สวัสดีค่ะ พอดีเป็นปัญหาที่ยืดเวลามาเกือบครึ่งปีแล้ว

เรื่องมีอยู่ว่าตั้งแต่กรกฎาคมปีที่แล้วเราได้ย้ายไปอยู่หอพักนอกกับเพื่อนร่วมคณะคนหนึ่ง เราซิ่วออกมาเตรียมสอบเรียนที่ใหม่ส่วนเขาออกจากหอในมาบอกว่าอยู่ข้างนอกสะดวกกว่า เราสนใจหอหนึ่งเป็นห้องพัดลม 3,700 แต่พอไปดูห้องดันมีคนเอาไปก่อนแล้วเหลือแต่ห้องแอร์ 4,500

เจ้าของหอพักเห็นว่าเป็นนักศึกษาเลยลดค่าเช่าห้องเหลือ 4,300 แลกกับการทำประกัน 1 ปี(จากสัญญาปรกติ 6 เดือน) อีกฝ่ายกังวลว่าเราอาจจะต้องย้ายออกก่อนแล้วเขาจะรับค่าห้องคนเดียวไม่ไหวและค่าห้องมันก็แพงเกินความจำเป็น เขาอยากจะประหยัดมากที่สุด เราเลยบอกว่ายังไงเราก็อยู่ถึงปีแน่ๆแต่ถ้าห้องที่นี่แพงไปดูที่อื่นกันก่อนก็ได้ แต่อีกฝ่ายเหมือนต้องการได้ที่พักอย่างเร่งด่วน สุดท้ายเลยตกลงเอาห้อง 4,300 สัญญา 1 ปี จ่ายเงินล่วงหน้า 1 เดือนกับค่าประกัน 2 เดือน เป็นเงิน 12,900 บาทถ้วน โดยแจ้งทางหอพักไว้ว่าหากมีห้องพัดลม 3,700 บาทว่างจะขอย้ายไปห้องที่ถูกลง

ใช้ชีวิตด้วยกันไปซักพักก็มีปัญหากันบ้างเรื่องความสะอาดเราเข้าใจว่าเรียนสถาปัตย์ห้องมันรกแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว แต่เขาก็แทบไม่เคยทำความสะอาดเลย กระทั่งห้องน้ำก็ไม่เคยล้างสักครั้งก็เกินไป นั่นยังไม่หนักเท่าบอกว่าอยากประหยัดแต่ก็พาเพื่อนมากินเหล้าที่ห้องพร้อมเปิดแอร์กันยันเช้าหรือก็เปิดแอร์ 15-20 องศายันเช้าตอนเราไม่อยู่ห้องด้วยเป็นต้น

แต่สิ่งที่ทำให้เรามีปัญหากับเขาที่สุดคือช่วงปลายปีที่แล้ว เงินเราหายไป 500 บาท (เราได้เงินจากพ่อมาวันอา. เป็นแบงค์ 500 บาท 2 ใบ เราเติมเงินบัตร BTS   100 และซื้อของกินจาก 7-11 มาตุนไว้เพราะกะจะไม่ออกจากห้อง ในกระเป๋าเงินเหลือเงินอยู่หกร้อยกว่าบาท พอวันพุธลงไปซื้อข้าวเงินในกระเป๋าดันเหลือแค่ แบงค์ร้อยใบเดียวกับเศษเหรียญ) คือก่อนหน้านั้นเงินในกระปุกเก็บเหรียญ 10 (เพื่อซักผ้า) กับแบงค์ 50 ก็มีเงินหายไปแบบลึกลับเช่นกัน เคยคิดว่าเราเผลอหยิบไปเกินเองตอนช็อตหรอเปล่าจนเงิน 500 บาทหายเลยสงสัยคนที่อยู่ด้วยกันแล้ว เพราะเราไม่ได้ออกไปไหนและก็ไม่มีใครเข้ามาในห้องอีกนอกจากเขา

เราโทรไปปรึกษาเพื่อนที่เขาเคยอยู่ด้วยตอนอยู่หอใน ถึงได้รู้ว่าเขาไม่ได้ออกจากหอในเพราะอยากออกแต่โดนไล่ออกมาเนื่องจากไปขโมยเสื้อผ้าของรูมเมทอีกคนมาทั้งถุงผ้าใบอันใหญ่ๆ(ที่หอในตอนปิดเทอมต้องเก็บของออกจากห้องในกรณีที่ไม่ได้พักช่วงปิดเทอม) เพื่อนเราก็ขอโทษที่ไม่ได้เตือนเราก่อนเพราะคิดว่าเราไม่ค่อยแต่งตัวคงไม่โดนขโมยหรอก ที่ไหนได้เราโดนเงินเลยจ้า ตอนนั้นช็อคมากเพราะตอนที่รู้จักกันเขาดูเป็นเด็กโก๊ะๆกังๆ เฟรนด์ลี่ กิจกรรมดี กีฬาเด่น แถมเป็นที่รักของผองเพื่อนอีก

เล่าให้ใครฟังก็แทบจะไม่มีคนเชื่อเพราะเขาตอนอยู่ในคณะนี่ทำตัวดีมากจนเชื่อไม่ลงว่าจริงๆแล้วจะขี้ขโมยและยิ้มเก่งขนาดนี้ได้ สุดท้ายเราต้องพับแผนกระชากหน้ากากเขาไปเพราะได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ

พอเรารู้ธาตุแท้เขาเราเลยอยู่กับเขาแบบอึดอัดใจกันมากแต่ที่เรายังทนอยู่เพราะเสียดายเงินประกัน หลังๆมาเหมือนเขารู้ว่าเราเริ่มรู้ตัวก็เริ่มไม่พูดจากัน กระทั่งเกือบปลายธันวา เขามาทิ้งระเบิดตู้มใหญ่ว่า “แกเดี๋ยวเราจะย้ายออกแล้วนะ พอดีแม่เรามาซื้อบ้านที่กรุงเทพฯอ่ะ แล้วก็เราขอเงินประกันส่วนของเราคืนด้วยนะ".........
ตอนนั้นเราแบบอึ้งมากกกกกก ทั้งโกรธทั้งช็อค คือขอย้ายออกกระทันหันทิ้งเราไม่พอ ยังมีหน้ามาขอเงินประกันคืนอีกทั้งที่ตัวเองผิดสัญญานี่แย่สุดๆ แต่เราไม่ใช่ประเภทเหวี่ยงวีนเลยกะว่าจะออกกันทั้งคู่เลยไม่ต้องเอาเงินประกันกันทั้งคู่นั่นแหละ

แต่เราก็มีปัญหาหาหอใหม่ไม่ทันและเจ้าของหอพักเราเองก็เสียความรู้สึก (เพราะให้ส่วนลดค่าเช่าเราแล้วเรายังมาผิดสัญญาอีกกระมัง) แต่เราเองก็รับค่าห้องคนเดียวไม่ไหวสุดท้ายผู้ดูแลหอเลยช่วยให้ย้ายมาห้องพัดลมที่โชคดีมีคนย้ายออกเดือนหน้าพอดี โดยให้อีกฝ่ายจ่ายค่าห้องแอร์เดือนก.พ.ครึ่งหนึ่ง และค่าทำความสะอาดค่าของที่ชำรุด (ซึ่งอีกฝ่ายเป็นคนทำด้วยซ้ำ)กันคนละครึ่ง ตอนแรกเขาก็ทำท่าไม่พอใจที่ต้องมาจ่ายเพราะว่าเขาจะย้ายออกก่อนสิ้นเดือนม.ค.แล้ว แต่พี่ที่ดูแลหอบอกว่าตามสัญญายังเป็นของทั้งคู่อยู่ต้องรับผิดชอบกันทั้งคู่เขาถึงยอมจ่าย

แต่อีกฝ่ายก็กล้าพอจะขอว่าเมื่อไหร่ที่เราย้ายออกให้ทางหอโอนเงินประกันที่เหลือครึ่งหนึ่ง (4,300 บาท) ให้เขาด้วย

ตอนเขามาเก็บของครั้งสุดท้าย ตอนแรกเขาจะมาแค่เก็บของแล้วไปคุยกับสำนักงานหอพักวันอื่น เราถือโอกาสนั้นเคลียร์กับเขาเรื่องขโมยเงิน มันก็ตอกกลับว่า "ตอนไหนล่ะ... เงินเราเองก็หายเหมือนกันนะ แต่เราคิดว่าเราขี้หลงขี้ลืมคงไปทำหายข้างนอกเอง ไม่เคยคิดว่า..." คือมันพูดเหมือนว่าเป็นเราเองต่างหากที่ขโมยเงินมันเช่นกัน เรานี่แบบคิดคำด่าไม่ออก ไปไม่เป็น ไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย ตอนนั้นกะจะไม่เผาผีกันกับคนคนนี้อีกแล้ว

จนกระทั่งเราย้ายออกจากหอเดิมเมื่อวาน(หลังจากผ่านครึ่งปีของการอยู่แบบกัดก้อนเกลือกิน) ถึงรู้ว่าเงินประกันเขาหักเป็นค่าหอเดือนสุดท้ายด้วย พอมารวมค่าทำความสะอาดและของชำรุดแล้วเกินกว่า 4,300 ในส่วนของเราแน่นอนเราก็เตรียมสำรองเงินไว้ ซึ่งทางผู้ดูแลหอพักคนใหม่ก็แจ้งว่าหลังจากที่เขาให้เจ้าของมาเช็คดูสภาพห้องอีกทีเขาถึงจะโอนเงินที่เหลือหักจากเงินประกัน 8,600 ให้เราภายใน 1 สัปดาห์

เราจึงตัดสินใจว่ารอให้ทางหอโอนเงินให้เราแล้วเราค่อยโป๊ะส่วนที่เหลือให้ครบ 4,300 แล้วโอนไปให้คู่กรณีเรา เพราะเรามีเรื่องสำคัญต้องใช้เงินต้นเดือนหน้าจะได้กันเงินที่สำรองไว้เพื่อจ่ายค่าหอไปจ่ายส่วนนั้นก่อนได้

แต่จู่ๆอีกฝ่ายก็ติดต่อมาหลังจากที่ขาดการติดต่อกันมาครึ่งปี โดยบอกว่าขอเบอร์หอพักเดิมหน่อย เพราะพรุ่งนี้เขาจะไปเอาเงินส่วนของเขา. เราก็แบบ เฮ้ย! รู้สึกเหมือนมีเขางอก นี่เราโง่ทนอยู่ลำบากมาตลอดเพื่อรักษาเงินให้มันเอาไปใช้สบายใจเฉิบฤเปล่าเนี่ย ทั้งที่อีกฝ่ายทิ้งเรากลางอากาศแถมผิดสัญญากันก่อนเนี่ยนะ!!

บอกไม่ถูกว่าทำไมจู่ๆถึงรู้สึกแบบนี้หลังจากเขาติดต่อมา ทั้งที่ตอนแรกก็กะจะโอนให้เขาอยู่แล้วก็เถอะ เราเริ่มรู้สึกรับไม่ได้ขึ้นมาทันใด ยิ่งพอรวมกับรู้ว่าเขาหลอกลวงกันมาตลอด เรื่องที่ว่าย้ายออกเพราะแม่มาซื้อบ้านยังกุขึ้นมาเลย (เพื่อนในคณะอีกคนบอกมาว่าแยกจากเราไป ตัวคู่กรณีเขาก็ย้ายไปอยู่หอแถวราชเทวีคนเดียว ก่อนหน้านี้ก็กำลังจะหาเมทรายใหม่สักคนในคณะไปแชร์หอกับเขาด้วย)

แต่ที่เราไม่เคยทำอะไรเขาเลยทั้งๆที่โกรธมาก แค้นมากตอนช่วงครึ่งปีที่แล้ว ถึงขนาดที่ว่าอยากจะส่งเรื่องเขาให้คณะด้วยซ้ำ เพราะเขาเรียนสาขาที่ทางคณะให้ทุนการศึกษา ถ้ามีปัญหาอาจถูกริบทุนหรือต้องชดใช้ทุนคืน แต่เราก็ไม่อยากตัดอนาคตคนขนาดนั้น เรื่องเงินประกันตอนแรกเราก็จะไม่ให้เขาเช่นกัน แต่เพื่อนอีกคนก็บอกไว้ว่า  เขาจะหาว่าเราอยากงุบงิบเงินเขาเหรอเปล่า ถึงเขาจำทำตัว...อย่างนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นตามเขานี่นา

แต่ตอนนี้เราชักจะทนไม่ไหวค่ะ ยิ่งเห็นว่าเขายังใช้ชีวิตได้อย่างหน้าชื่นตาบาน ไม่ได้อิจฉาหรือว่าอะไรนะคะ แต่มันแค้นมากกกกก เกลียดมากกกกก อยากให้ทุกคนรู้ธาตุแท้นางมาก นางแสดงละครเก่งมาก ถึงแม้เพื่อนร่วมสาขาเขาจะเริ่มรู้ธาตุแท้ว่าเขายิ้มขนาดไหนกันบ้างแล้วก็เถอะ แต่สาขาที่มันเรียนดันคนน้อยที่สุดในคณะซะงั้น (12 คนจากเกือบ 350 คน)

ส่วนเรื่องเงินประกันถ้าได้คืนมาบ้างส่วนเราก็พอใจแล้วค่ะ แต่คิดว่าถ้าจะเอาเงินจากเขาได้คงต้องอาจถึงขั้นข้อกฎหมายเลยกระมังคะ ดังนั้นไม่ได้ก็พยายามจะคิดว่าทำบุญทำทานแล้วกันค่ะ

คนแบบนี้เราจะทำอย่างไรกับเขาดีคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่