ก่อนอื่นต้องแสดงความชื่นชม คุณ โอ๊ค ครับ
ที่เมื่อได้รับการโอนเงิน 17ล้านบาท จากทายาทกฤษฏามหานครแต่ไม่ได้รับไว้ กลับส่งคืน
อ้อยเข้าปากช้างยังงี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่คายง่ายๆ แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้ชื่นชมได้ยังงัยหล่ะครับ
ที่น่าติดใจคือ เงินที่โอนมา โอนมาให้เพื่อเหตุผลอะไร
ถ้าเพื่อเป็นการร่วมลงทุนธุรกิจ ตามข่าว แล้วทําไม คุณ โอ๊ค ถึงต้องส่งเงินคืน
แสดงว่า คุณ โอ๊ค ไม่ได้ชักชวน
เป็นลักษณะจู่ๆก็โอนมาให้ แม้จะอ้างอย่างไรก็ตาม แต่ความรู้สึกส่วนตัวผม น่าจะแฝงแร้นเป้าหมายอะไรบ้างอย่างอยู่เบื้องหลัง
( ที่จริง คงอยากจะโอนมาให้ผู้เป็นพ่อมากกว่า แต่กลัวว่าจะไม่รับ เลยโอนมาให้ คุณ โอ๊ค แทน )
เหมือนเป็นกระบวนการวางแผน เพื่อเชื่อมโยง หาเหตุ นําไปสู่ข้อหาการทุจริต
( หรือไม่ )
ส่วนในเรื่องของคดี
ที่มีการอ้างว่า ได้รับคําสั่งจากบิ๊กบอสทางโทรศัพย์ ให้อุมัติการปล่อยกู้
ก็คงต้องไปดู ว่าเป็นบิ๊กบอส ตัวจริงหรือไม่ หรือมีใครแอบอ้างสวมรอยเป็น บิ๊กบอส
เหมือนหลายๆกรณี ที่มีการแอบอ้างหลอกให้โอนเงินกันทางโทรศัพย์
และอีกอย่าง คํากล่าวอ้างของ คุณ สุชาย เชื่อถือได้แค่ไหน เป็นการยกเมฆขึ้นมาเองหรือปล่าว
ต่อข้อหาทําให้แบงค์กรุงไทยได้รับความเสียหาย
ทําให้เกิดความเสียหาย จริงหรือไม่
ก็คงต้องไปดูว่า ก่อนหน้านี้ แบงค์ได้รับดอกเบื้ย ตามสัญญาการปล่อยกู้ครั้งนี้ หรือไม่
และเมื่อศาลสั่งให้ชดใช้ บริษัทเขาก็สามารถจ่าย
โดยใช้ทรัพย์สิน ที่มีมูลค่าจากการประเมิน 12000 ล้านบาท อย่างนี้แล้วมันจะเสียหายได้อย่างไร
ที่จริงจะว่าไปแล้วเรื่องนี้ ควรแยกเป็นสองส่วนคือ
ขั้นตอนการอนุมัติการปล่อยกู้ กับ
การทําให้แบงค์กรุงไทยเกิดความเสียหาย
ถ้าเป็นขั้นตอนการอนุมัติการปล่อยกู้ ที่หละหลวม ไม่เป็นไปตามขั้นตอน หรือ โดยมิชอบ ก็ว่าของท่านไป
แต่ถ้าทําให้แบงค์กรุงไทยเกิดความเสียหาย ประเด็นนี้ ก็ไม่น่าจะเกิดความเสียหายอะไร
หากเขาจ่ายดอกเบี้ยตามสัญญา
และมีทรัพย์สิน ไปคํ้าประกันเพียงพอกับ เงินที่ปล่อยกู้ อย่างที่กล่าวมาแล้ว
หากผิดแค่ขั้นตอนการอนุมัติการปล่อยกู้
แล้วจะต้องมาติดคุกถึง 18 ปี เมื่อไปเปรียบเทียบกับคดีบางคดี อย่าง ปรส. มันสมเหตุสมผลหรือไม่
ก็ลองคิดเล่นๆกันดูครับ
ติดใจคดี.......ปล่อยกู้กรุงไทย...ครับ
ที่เมื่อได้รับการโอนเงิน 17ล้านบาท จากทายาทกฤษฏามหานครแต่ไม่ได้รับไว้ กลับส่งคืน
อ้อยเข้าปากช้างยังงี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่คายง่ายๆ แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้ชื่นชมได้ยังงัยหล่ะครับ
ที่น่าติดใจคือ เงินที่โอนมา โอนมาให้เพื่อเหตุผลอะไร
ถ้าเพื่อเป็นการร่วมลงทุนธุรกิจ ตามข่าว แล้วทําไม คุณ โอ๊ค ถึงต้องส่งเงินคืน
แสดงว่า คุณ โอ๊ค ไม่ได้ชักชวน
เป็นลักษณะจู่ๆก็โอนมาให้ แม้จะอ้างอย่างไรก็ตาม แต่ความรู้สึกส่วนตัวผม น่าจะแฝงแร้นเป้าหมายอะไรบ้างอย่างอยู่เบื้องหลัง
( ที่จริง คงอยากจะโอนมาให้ผู้เป็นพ่อมากกว่า แต่กลัวว่าจะไม่รับ เลยโอนมาให้ คุณ โอ๊ค แทน )
เหมือนเป็นกระบวนการวางแผน เพื่อเชื่อมโยง หาเหตุ นําไปสู่ข้อหาการทุจริต ( หรือไม่ )
ส่วนในเรื่องของคดี
ที่มีการอ้างว่า ได้รับคําสั่งจากบิ๊กบอสทางโทรศัพย์ ให้อุมัติการปล่อยกู้
ก็คงต้องไปดู ว่าเป็นบิ๊กบอส ตัวจริงหรือไม่ หรือมีใครแอบอ้างสวมรอยเป็น บิ๊กบอส
เหมือนหลายๆกรณี ที่มีการแอบอ้างหลอกให้โอนเงินกันทางโทรศัพย์
และอีกอย่าง คํากล่าวอ้างของ คุณ สุชาย เชื่อถือได้แค่ไหน เป็นการยกเมฆขึ้นมาเองหรือปล่าว
ต่อข้อหาทําให้แบงค์กรุงไทยได้รับความเสียหาย
ทําให้เกิดความเสียหาย จริงหรือไม่
ก็คงต้องไปดูว่า ก่อนหน้านี้ แบงค์ได้รับดอกเบื้ย ตามสัญญาการปล่อยกู้ครั้งนี้ หรือไม่
และเมื่อศาลสั่งให้ชดใช้ บริษัทเขาก็สามารถจ่าย
โดยใช้ทรัพย์สิน ที่มีมูลค่าจากการประเมิน 12000 ล้านบาท อย่างนี้แล้วมันจะเสียหายได้อย่างไร
ที่จริงจะว่าไปแล้วเรื่องนี้ ควรแยกเป็นสองส่วนคือ
ขั้นตอนการอนุมัติการปล่อยกู้ กับ การทําให้แบงค์กรุงไทยเกิดความเสียหาย
ถ้าเป็นขั้นตอนการอนุมัติการปล่อยกู้ ที่หละหลวม ไม่เป็นไปตามขั้นตอน หรือ โดยมิชอบ ก็ว่าของท่านไป
แต่ถ้าทําให้แบงค์กรุงไทยเกิดความเสียหาย ประเด็นนี้ ก็ไม่น่าจะเกิดความเสียหายอะไร
หากเขาจ่ายดอกเบี้ยตามสัญญา
และมีทรัพย์สิน ไปคํ้าประกันเพียงพอกับ เงินที่ปล่อยกู้ อย่างที่กล่าวมาแล้ว
หากผิดแค่ขั้นตอนการอนุมัติการปล่อยกู้
แล้วจะต้องมาติดคุกถึง 18 ปี เมื่อไปเปรียบเทียบกับคดีบางคดี อย่าง ปรส. มันสมเหตุสมผลหรือไม่
ก็ลองคิดเล่นๆกันดูครับ