มีใครเคยตัดสินใจเรียนต่อแล้วพบว่าตัวเองคิดผิดไหมคะ แล้วทำอย่างไรกันคะ เลือกที่จะหันหลังกลับ หรือว่ากัดฟันต่อจนจบ
ตอนนี้จขกท.เป็นนิสิตปริญญาโทปีสอง เรียนวรรณคดีอังกฤษ ค่ะ เส้นทางชีวิตเราเป็นเส้นเดียวมาตลอดเลยค่ะตั้งแต่เด็ก เราเป็นเด็กต่างจังหวัด ตอนเด็กๆชอบอ่านหนังสือมากค่ะ อยากเรียนสายศิลป์มากๆ ที่บ้านไม่ให้เรียนสายศิลป์ที่โรงเรียนแถวบ้าน เราก็เลยอ่านหนังสือจนสอบเข้าสายศิลป์ภาษาโรงเรียนมัธยมปลายที่กทม เข้าแล้วก็ฝันไว้ว่าจะเรียนอักษรให้ได้ พอมาเรียนอักษรปีปลายๆก็คิดว่าอยากทำงานวงการวิชาการ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เราไม่ใช่คนหัวดี ก็ต้องอาศัยขยันเอา อดหลับอดนอนทำเปเปอร์โต้รุ่งเป็นประจำ(เรียนเอกภาษาอังกฤษ โทวรรณคดีเปรียบเทียบ วันๆจมอยู่กับเปเปอร์จริงๆค่ะ 55) คิดว่าพอเรียนจบจะหาทุนไปเรียนต่อเมืองนอก กลับมาเป็นอาจารย์ มีคนท้วงมาเยอะ อาจารย์ที่รู้จักหลายคนก็ท้วงมาเยอะว่าให้คิดดีๆนะ แต่ตอนนั้นเรารั้นมาก ไฟแรงค่ะ พอปีสี่เราจะสอบทุน สกอ. แต่ดันสะเพร่าเขียนหน่วยทุนในใบสมัครผิดเลยไม่ได้สอบ เราเลยรอปีนึงตั้งใจอ่านหนังสือสอบ รอมันเปิดอีกรอบ แต่อยู่ๆมันก็ไม่เปิดไปเสียอย่างนั้น เราเลยตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่เดิมค่ะ
โชคดีและโชคร้ายเกิดขึ้นจากการตัดสินใจมาเรียนต่อค่ะ เราเริ่มรู้สึกว่าเราไม่มีความสุขกับชีวิตแบบนี้แล้ว เราหมดเงินไปกับหนังสือฝรั่งหลายบาท อดนอนหลายคืนเพื่อพิมพ์สิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดใดไปมากกว่าการได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ไม่ค่อยมีคนอ่าน แล้วก็เอากระดาษไปชั่งกิโลขาย อาจเป็นเพราะสาขาเราเป็นสาขาที่ ไม่ Practical และไม่ค่อยมีคนสนใจ
เราเริ่มรู้จักคนในโลกวิชาการเยอะขึ้นจนเริ่มรู้สึกว่ามันไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่แล้ว เราเลือกที่ปรึกษาที่โหดมากๆเพราะตอนแรกคิดว่าอยากเขียนงานดีๆ แต่ไปๆมาๆเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและกดดันมากขึ้น งานมันหนักมาก เวลาจะไปทำงานพาร์ทไทม์พวกสอนพิเศษก็ไม่ค่อยมี กังวลเรื่องอนาคตมากขึ้นเพราะตำแหน่งอาจารย์ไม่ได้หาง่ายๆแล้ว เราเหนื่อยกับชีวิตอดหลับอดนอนอ่านหนังสือเพื่อพยายามเขียน พยายามตีพิมพ์ เราท้อแท้และเริ่มอยากมีชีวิตธรรมดาๆ ไม่อยากอยู่ในโลกวิชาการแล้ว เป็นพนักงานเงินเดือนที่มีเวลา (อย่างน้อยก็มีเวลามากกว่านี้)
พอคิดอย่างนี้เข้าทุกวันก็รู้สึกหมดไฟในการเรียนต่อ หมดไฟในการเขียนรีเสิชจบไปเสียเฉยๆ โชคดีที่เราไม่ได้ใช้ทุนเรียน ไม่อย่างนั้นคงเป็นปัญหาใหญ่โตแน่ๆ ไม่มีทางเลือกให้หันหลังกลับ ตอนนี้เราไม่มีไฟเรียน คิดๆอยู่ตลอดว่าถ้าลาออกจะดีไหม จะได้ไปทำงาน แต่โดนผู้ใหญ่ท้วงมาว่าได้วุฒิปริญญาโทดีกว่าจบแค่ปริญญาตรีเฉยๆ อีกปีเดียวก็จบแล้ว จะได้พ้นๆไป มีวุฒิจะได้หางานง่ายกว่า
เราเองอยากรู้ว่าวุฒิปริญญาโทสายงานที่เฉพาะทางมากๆอย่างวรรณคดีอังกฤษนี่จะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานอื่นที่ไม่ใช่สายวิชาการไหมคะ คนที่รู้จักทุกคนก็ไปเป็นอาจารย์กันหมดเลย นอกจากว่าจะเอาวุฒิปริญญาตรีไปยื่นทำงานอย่างอื่น เราควรลาออกตอนนี้แล้วเอาเวลาที่ยังเหลือไปหางานดีไหมคะ เพราะไหนๆก็ไม่กะจะเดินทางสายวิชาการแล้ว แต่เราก็แอบกลัวว่าจะเตะฝุ่นค่ะ เพราะว่านอกจากทักษะภาษาอังกฤษที่พอไปวัดไปวาได้แล้ว เราประเมินตัวเองว่าไร้ทักษะที่เป็นที่ดึงดูดในตลาดแรงงานจริงๆค่ะ บางอย่างก็พอๆเรียนรู้เอาเองได้ แต่ไม่ได้มีทักษะอะไรพิเศษ ประสบการณ์ทำงานก็แทบไม่มี เพราะก่อนหน้านี้เราไม่ได้คิดเผื่อว่าจะไปทำงานอย่างอื่นนอกจากเป็นอาจารย์เลยค่ะ อย่างน้อยถ้าออกมาจะได้เอาเวลาไปฝึกงาน/ทำงานเก็บประสบการณ์ หรือเราควรจะอดทนเรียนต่อให้จบอีกปี เอาปริญญาโทดีคะ
มีใครเคยตัดสินใจเรียนต่อแล้วพบว่าตัวเองคิดผิดมากๆไหมคะ
ตอนนี้จขกท.เป็นนิสิตปริญญาโทปีสอง เรียนวรรณคดีอังกฤษ ค่ะ เส้นทางชีวิตเราเป็นเส้นเดียวมาตลอดเลยค่ะตั้งแต่เด็ก เราเป็นเด็กต่างจังหวัด ตอนเด็กๆชอบอ่านหนังสือมากค่ะ อยากเรียนสายศิลป์มากๆ ที่บ้านไม่ให้เรียนสายศิลป์ที่โรงเรียนแถวบ้าน เราก็เลยอ่านหนังสือจนสอบเข้าสายศิลป์ภาษาโรงเรียนมัธยมปลายที่กทม เข้าแล้วก็ฝันไว้ว่าจะเรียนอักษรให้ได้ พอมาเรียนอักษรปีปลายๆก็คิดว่าอยากทำงานวงการวิชาการ เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เราไม่ใช่คนหัวดี ก็ต้องอาศัยขยันเอา อดหลับอดนอนทำเปเปอร์โต้รุ่งเป็นประจำ(เรียนเอกภาษาอังกฤษ โทวรรณคดีเปรียบเทียบ วันๆจมอยู่กับเปเปอร์จริงๆค่ะ 55) คิดว่าพอเรียนจบจะหาทุนไปเรียนต่อเมืองนอก กลับมาเป็นอาจารย์ มีคนท้วงมาเยอะ อาจารย์ที่รู้จักหลายคนก็ท้วงมาเยอะว่าให้คิดดีๆนะ แต่ตอนนั้นเรารั้นมาก ไฟแรงค่ะ พอปีสี่เราจะสอบทุน สกอ. แต่ดันสะเพร่าเขียนหน่วยทุนในใบสมัครผิดเลยไม่ได้สอบ เราเลยรอปีนึงตั้งใจอ่านหนังสือสอบ รอมันเปิดอีกรอบ แต่อยู่ๆมันก็ไม่เปิดไปเสียอย่างนั้น เราเลยตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่เดิมค่ะ
โชคดีและโชคร้ายเกิดขึ้นจากการตัดสินใจมาเรียนต่อค่ะ เราเริ่มรู้สึกว่าเราไม่มีความสุขกับชีวิตแบบนี้แล้ว เราหมดเงินไปกับหนังสือฝรั่งหลายบาท อดนอนหลายคืนเพื่อพิมพ์สิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดใดไปมากกว่าการได้ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่ไม่ค่อยมีคนอ่าน แล้วก็เอากระดาษไปชั่งกิโลขาย อาจเป็นเพราะสาขาเราเป็นสาขาที่ ไม่ Practical และไม่ค่อยมีคนสนใจ
เราเริ่มรู้จักคนในโลกวิชาการเยอะขึ้นจนเริ่มรู้สึกว่ามันไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่แล้ว เราเลือกที่ปรึกษาที่โหดมากๆเพราะตอนแรกคิดว่าอยากเขียนงานดีๆ แต่ไปๆมาๆเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและกดดันมากขึ้น งานมันหนักมาก เวลาจะไปทำงานพาร์ทไทม์พวกสอนพิเศษก็ไม่ค่อยมี กังวลเรื่องอนาคตมากขึ้นเพราะตำแหน่งอาจารย์ไม่ได้หาง่ายๆแล้ว เราเหนื่อยกับชีวิตอดหลับอดนอนอ่านหนังสือเพื่อพยายามเขียน พยายามตีพิมพ์ เราท้อแท้และเริ่มอยากมีชีวิตธรรมดาๆ ไม่อยากอยู่ในโลกวิชาการแล้ว เป็นพนักงานเงินเดือนที่มีเวลา (อย่างน้อยก็มีเวลามากกว่านี้)
พอคิดอย่างนี้เข้าทุกวันก็รู้สึกหมดไฟในการเรียนต่อ หมดไฟในการเขียนรีเสิชจบไปเสียเฉยๆ โชคดีที่เราไม่ได้ใช้ทุนเรียน ไม่อย่างนั้นคงเป็นปัญหาใหญ่โตแน่ๆ ไม่มีทางเลือกให้หันหลังกลับ ตอนนี้เราไม่มีไฟเรียน คิดๆอยู่ตลอดว่าถ้าลาออกจะดีไหม จะได้ไปทำงาน แต่โดนผู้ใหญ่ท้วงมาว่าได้วุฒิปริญญาโทดีกว่าจบแค่ปริญญาตรีเฉยๆ อีกปีเดียวก็จบแล้ว จะได้พ้นๆไป มีวุฒิจะได้หางานง่ายกว่า
เราเองอยากรู้ว่าวุฒิปริญญาโทสายงานที่เฉพาะทางมากๆอย่างวรรณคดีอังกฤษนี่จะเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงานอื่นที่ไม่ใช่สายวิชาการไหมคะ คนที่รู้จักทุกคนก็ไปเป็นอาจารย์กันหมดเลย นอกจากว่าจะเอาวุฒิปริญญาตรีไปยื่นทำงานอย่างอื่น เราควรลาออกตอนนี้แล้วเอาเวลาที่ยังเหลือไปหางานดีไหมคะ เพราะไหนๆก็ไม่กะจะเดินทางสายวิชาการแล้ว แต่เราก็แอบกลัวว่าจะเตะฝุ่นค่ะ เพราะว่านอกจากทักษะภาษาอังกฤษที่พอไปวัดไปวาได้แล้ว เราประเมินตัวเองว่าไร้ทักษะที่เป็นที่ดึงดูดในตลาดแรงงานจริงๆค่ะ บางอย่างก็พอๆเรียนรู้เอาเองได้ แต่ไม่ได้มีทักษะอะไรพิเศษ ประสบการณ์ทำงานก็แทบไม่มี เพราะก่อนหน้านี้เราไม่ได้คิดเผื่อว่าจะไปทำงานอย่างอื่นนอกจากเป็นอาจารย์เลยค่ะ อย่างน้อยถ้าออกมาจะได้เอาเวลาไปฝึกงาน/ทำงานเก็บประสบการณ์ หรือเราควรจะอดทนเรียนต่อให้จบอีกปี เอาปริญญาโทดีคะ