โทรศัพท์หายในที่ทำงาน แต่โดนให้ออกจากงาน (ร้านกาแฟที่คิดค่ากิจธุระ ชม.ละ1000บาท)

ดิฉันเป็นผู้เสียหาย แต่ถูกบีบให้ลาออกจากงาน
ดิฉันไม่ได้รับความเป็นธรรมโดนบีบให้ลาออกจากงานทั้งที่เราเป็นผู้เสียหายแล้วความยุติธรรมอยู่ที่ไหน เหตุที่เกิดจากร้านอาหารแห่งหนึ่งแถวๆย่านถนนรัชดา จึงเอามาเล่าแชร์ประสบการณ์ไว้ให้เป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกท่านที่กำลังอ่านอยู่ได้รับรู้ว่าคนเราทุกวันนี้เล่นพรรคเล่นพวกจึงลืมคำว่าความถูกต้องกลายว่าทุกอย่างที่เป็นเพราะความถูกใจคนเราเริ่มขาดคุณธรรม และขาดศีลธรรมจึงเป็นที่มาของความวุ่นวาย ดิฉันก็อายุมากแล้ว 50กว่าๆแล้วต้องหาเงินเลี้ยงลูกอีกสองคนบ้านก็ต้องเช่าหากินไปวันๆ ถ้าท่านใดได้อ่านก็ช่วยพิจารณาวิเคราะห์ด้วยขอให้ความเจริญรุ่งเรืองนำสู่ชีวิตของผู้ที่มีคุณธรรมทุกท่าน  ต่อไปดิฉันจะเล่าเนื้อหาทั้งหมดให้ทุกท่านลองอ่านดูนะค่ะ
ดิฉันเริ่มทำงานที่ร้าน ( บอนกาแฟ ) สาขา หน้าตึกเมืองไทยภัทร  
เมื่อวันที่ 1ก.ค.58 วันแรกที่ดิฉันได้เข้าไปทำงาน เป็นเวลา 14.30 - 23.30 วันแรกดิฉันก็ได้ทำงานตามปกติ ประมาณ 3-4 ทุ่มไม่มีลูกค้าค่ะ ในร้านมีพนักงานทั้งหมด 4 คน คือผู้ช่วยผู้จัดการ,กุ๊ก,ดิฉันแล้วแม่บ้าน ที่คอยทำความสะอาดในร้านค่ะ
แต่แยกกันนั่งคนละมุมโต๊ะ ดิฉันกับแม่บ้านนั่งคุยกันอยู่หน้าทางเข้าห้องครัวประมาณห้าทุ่มสิบ ดิฉันก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรให้แฟนให้ออกมารับ5 ทุ่มครึ่ง ที่หน้าร้านเลย พอโทรเสร็จดิฉันก็เอาโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าหลังกางเกง ก็นั่งคุยกับแม่บ้านต่อสักครู่ผู้ช่วยผู้จัดการเรียกจึงลุกไปหาแล้วบอกให้กลับก่อนได้ เดี๋ยวจะตอกบัตรให้ ดิฉันจึงหันมาแล้วเดินมาหยิบกระเป๋าถือ แล้วเดินออกทางหน้าร้านดิฉันเดินขึ้นรถไปเลย แล้วเอามือจับกระเป๋าหลังกางเกงปรากฏว่า โทรศัพท์ไม่อยู่แล้ว จึงให้แฟนไปวนรถกลับมาที่ร้านอีกทีระหว่างที่กำลังไปกลับรถดิฉันได้เอาโทรศัพท์ของแฟนโทรเข้าเบอร์ของดิฉันทั้งสองเบอร์เพราะมีสองซิมค่ะ แต่ไม่มีคนรับสายเลย แต่ดิฉันเปิดแบบสั่น พอโทรรอบที่สองตอนนี้ปิดเครื่องค่ะก็แสดงว่ามีคนเก็บได้แล้วแน่นอน กว่าจะถึงร้านก็ต้องไปกลับรถตั้งสี่แยกห้วยขวางและวิ่งมากลับที่สี่แยกสุทธิสารกว่าจะมาถึงร้านก็ต้องใช้เวลาพอสมควรค่ะ พอมาถึงร้านปรากฏว่าร้านปิดแล้วค่ะ สักครู่ก็มีข้อความ (sms)เข้ามาที่เครื่องของแฟนว่า สามารถติดต่อได้แล้ว ดิฉันก็รีบโทรกลับทันที ติดค่ะ แต่ไม่มีคนรับดัง 3-4 ตืดแล้วก็ปิดเครื่อง  
                เช้าวันที่ 2 ก.ค.58 เวลา 6 โมง15ตอนเช้า ดิฉันโทรมาที่ร้าน ผู้ช่วยรับสายเล่าให้เค้าฟังเค้าบอกว่าไม่เคยมีของหายในร้าน พอตอนบ่ายดิฉันเจอแม่บ้านก็เลยลองถามแม่บ้านว่า เมื่อคืนเห็นโทรศัพท์มือถือของพี่มั้ย แม่บ้านเค้าก็ตอบว่าไม่เห็น แต่หลังจากนั้นมา แม่บ้านก็มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป คือเค้าไม่ค่อยกล้าที่จะสนทนาพูดคุย คอยแต่หลบหน้าหลบตา ไม่เหมือนวันแรกที่เจอกัน แค่ข้ามคืนเท่านั้นเองคนเราก็เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือไปได้ ต่อมาแม่บ้านก็มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยมากๆเลยค่ะ เค้าจะพยายามหลบ พยายามจะไม่เผชิญหน้าหรือเจอหน้าจังๆ ก็จะรีบทำตัวไม่ว่างหลบไปอยู่ในครัว พฤติกรรมแบบนี้คิดว่าน่าสงสัยมั้ยค่ะ ต่อมาดิฉันก็ได้บอก(ผู้จัดการร้านชื่อแซม) และขอดูกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในร้าน (ผจกแซม ) ก็บอกว่ามุมนี้ไม่มีกล้องดูไม่ได้แต่ในร้านมีกล้องอยู่แค่3ตัว คือ ตัวที่1คือมุมที่ลูกค้านั่ง ตัวที่2คือมุมที่หน้าประตูทางออก ส่วนตัวที่3คือมุมหน้าร้าน แต่(ผจกแซม)ไม่ยอมเปิดกล้องให้ดูตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันอาทิตย์ร้านปิด ดิฉันจึงไปแจ้งความที่ สน.สุทธิสารเล่าเรื่องให้ตำรวจฟังว่าสงสัยแม่บ้าน ค่ำวันนั้นเป็นวันที่ 6 ก.ค.58 ตำรวจได้โทรมาที่ร้านคุยกับแม่บ้านขอเชิญตัวมาสอบปากคำในวันเดียวกันผู้ช่วยผู้จัดการร้านก็โทรศัพท์มาต่อว่าดิฉันทำไมต้องแจ้งตำรวจด้วยทำให้มันเรื่องใหญ่ไปได้ไหนว่าจะไม่เอาเรื่องแล้วทำไมถึงต้องแจ้งตำรวจ ต่อว่าและคำพูดของเค้าอารมณ์ที่ค่อนข้างรุนแรงเพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายเต็มตัว (เป็นตุ๊ด) สักพักผู้จัดการร้านที่ชื่อว่า (แซม) ก็โทรมาบอกว่าดิฉันว่า พี่จะสงสัยแม่บ้านคนเดียวก็ไม่ถูก ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเชิญคนในร้านไปให้ปากคำทุกคนถึงจะเป็นการถูกต้องใช่ไหม ดิฉันก็ตอบ(ผู้จัดการร้านที่ชื่อแซม ) ว่าดิฉันไม่ได้สงสัยทุกคนค่ะ แต่มันเป็นเรื่องของตำรวจว่าเขาจะเชิญใครไปสอบปากคำก็สุดแท้แต่เจ้าหน้าที่ค่ะแต่แม่บ้านไม่กล้าไปคนเดียวกลับไปรับ(ผู้ช่วยผจก) กุ๊กไปเป็นเพื่อนและก็ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่เห็น ไม่ได้หยิบไป
            พอวันที่ 7 ก.ค. 58 (ผจกแซม) ได้เรียกดิฉันกับผู้ช่วย กุ๊ก แม่บ้านไปคุย บอกเรื่องผ่านไปแล้วหาไม่เจอ ให้ทำปกติ จึงแยกย้ายกันไปทำงาน สักครู่ (ผจก แซม)เรียกดิฉันไปคุยส่วนตัวและบอกได้ปรึกษากับฝ่ายบุคคล ชั้น 21แล้ว สมควรให้ดิฉันและแม่บ้านลาออก เนื่องจากทำให้บริษัทเสียชื่อ ดิฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ต้องออกทั้งคู่นะ( ผู้จัดการแซม) บอกว่า "ใช่ค่ะ ต้องออกทั้งคู่"   สักครู่ (ผจกแซม) ชวนดิฉันขึ้นไปชั้น 21 เพื่อไปพบคุณหนึ่ง ฝ่ายบุคคล คุณหนึ่งบอกรู้เรื่องจาก ผจก.แซม หมดแล้ว บอกให้ดิฉันเขียนใบลาออก  ดิฉันถามว่า ทำไมแม่บ้านไม่ขึ้นมาเขียนด้วย เค้าบอกว่าแม่บ้านไม่ต้องออก ดิฉันถามทำไม? เค้าบอกแม่บ้านไม่ผิด ไม่มีหลักฐาน ดิฉันก็พยายามคุยกับคุณหนึ่ง เค้าบอกยังไงก็ต้องลาออก เพราะอยู่ในขั้นทดลองงาน  โปรไม่ผ่าน ดิฉันถามว่า โปรไม่ผ่านยังไง?  ผู้จัดการแซม  ตอบว่า คนในครัวไม่ชอบดิฉัน (คือดิฉัน งงมาก ว่าเกี่ยวอะไรกับคนในครัว ถามหน่อยค่ะ? มีโปรแบบนี้ด้วยหรอคะ?) ตั้งแต่ดิฉันเข้ามาทำงานร้านนี้รวม 7วัน ก็ไม่เคยยุ่งกับคนในครัวเลย
ตำแหน่งดิฉัน คือ แคชเชียร์ ต้องทำหน้าที่ทุกอย่างในร้าน เช่น รับออร์เดอร์, เสริฟ, เก็บจานชาม, คิดเงิน แล้วจะไม่ถูกกับคนในครัวยังไง ในเมื่อดิฉันอยู่แต่หน้าร้าน
คุณ คุณทั้งหลายฟังแล้วเป็นยังไงคะ ดิฉันไม่ได้รับความยุติธรรมจาก บริษัท "บอนคาเฟ่" เลย  เค้าให้ผู้เสียหายลาออก แต่ให้ผู้ที่ถูกสงสัยอยู่ต่อ
คุณ คุณทั้งหลายดูสิ ว่าดิฉันก็อายุมากแล้วเพิ่งจะได้งานทำ เงินเดือนๆละ 12,000 บาท ให้ออกจากงานทำงานมาแค่7วันรวมแล้วก็ประมาณ 2,800บาทถูกหักภาษีอีก 7 % ค่ะแล้วจะเหลืออะไรแถม ดิฉันต้องส่งลูกเรียนอีก 2คน บ้านก็ต้องเช่า และมาทำกับดิฉันแบบนี้ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนหรือคะ
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้โทรศัพท์คืนมา ดิฉันก็ไม่เสียใจ หรือแม้ว่าจะไม่ได้ทำงานที่นี่ก็ตาม กับการกระทำของ(ผู้จัดการแซม) และฝ่ายบุคคล ของร้าน บอนคาเฟ่ ที่ให้ดิฉันออกจากงานโดยไร้ความยุติธรรม และผู้จัดการแซม ยังบอกอีกว่า ถ้าดูกล้องหน้าร้านได้ จะให้ดูว่าตอนเดินออกจากร้านคืนนั้นมีโทรศัพท์อยู่ในกระเป๋ากางเกงหลังมั้ย ถ้ามีก็แสดงว่าหล่นนอกร้าน แต่ถ้าดูแล้วไม่มี ก็แสดงว่าหล่นเก้าอี้ในร้าน แล้วทำไมไม่เปิดให้ดูตั้งแต่วันแรกๆ พอจะมาดู กล้องก็ล้างเหตุการณ์พวกนั้นไปหมดแล้วหลังจากดิฉันออกจากงานได้ประมาณวันหรือสองวันนั่นแหละค่ะ ทางร้านบอนคาเฟ่ก็มีข่าวว่าเช็คบิลลูกค้าที่ลุกค้ากินกาแฟ ประมาณ สองร้อยหกสิบบาทแต่ไปคิดค่าชั่วโมงเป็นสองพันกว่าบาทไงค่ะที่ออกข่าว TV ดังไปหลายช่องและอีกไม่กี่วันต่อมา(ผู้จัดการแซม) คนนี้ก็มีปัญหากับลูกค้าอีกซึ่งวันนั้น มีกรุ๊ปทัวร์จีนมาทานอาหารที่ร้าน กระเป๋าตังค์ของลูกค้าได้หล่นหาย และไกด์นำเที่ยวได้ขอดูกล้องก็ไม่ให้เขาดูกล้องอีกเหมือนเดิม อ้างว่ากล้องเสียดูไม่ได้ จนพวกไกด์และลูกทัวร์จีนไม่พอใจเลยต้องไปแจ้งความที่ สน.สุทธิสารค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่