เชื้อเอชไอวีเมื่อเข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีการเพิ่มจำนวน สามารถแยกเชื้อไวรัสหรือตรวจพบแอนติเจนได้หลังติดเชื้อ 2 - 6 สัปดาห์ และจะตรวจพบแอนติบอดีได้หลังติดเชื้อ 3 - 12 สัปดาห์ ผู้ที่มีเลือดบวก (มีแอนติบอดี) 90% จะมีเชื้อเอชไอวีในกระแสเลือด ซึ่งสามารถแพร่โรคให้ผู้อื่นได้ แม้จะไม่มีอาการอะไรเลยก็ตาม
ลักษณะอาการ
เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแตกต่างกันไปสุดแล้วแต่จำนวนของ เชื้อ และระดับภูมิต้านทานของร่างกาย ดังนั้นโรคนี้จึงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะด้วยกันดังนี้
1. ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อเอชไอวี (Primary HIV infection หรือAcute retroviral syndrome)
ระยะนี้นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเอชไอวี จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้างแอนติบอดีกินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต บางคน อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือ มีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์แล้วหายไปได้เองเนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่หรือไข้ทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจ ซื้อยารักษาเอง หรือเมื่อไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะนี้ ผู้ติดเชื้อประมาณ 30-50%อาจไม่มีอาการดังกล่าวเลยก็ได้
2. ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไปแต่การตรวจเลือดจะ พบเชื้อเอชไอวี และแอนติบอดีต่อเชื้อชนิดนี้ และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่า เป็น “พาหะ” (carrier) ของโรค ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางคนอาจนานกว่า 15 ปี
3. ระยะติดเชื้อที่มีอาการ ระยะนี้แต่ก่อนเรียกว่า “ระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์” (AIDS related complex หรือ ARC) มักจะมีอาการคล้ายโรคอื่น ๆ จนไม่ได้เฉลียวใจว่าเป็นเอดส์ก็ได้ อาจพบ อาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
- มีไข้เกิน 37.8 องซา เป็นพัก ๆ หรือติดต่อกันทุกวัน
- ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง
- น้ำหนักลดเกิน 10% ของน้ำหนักตัว
- ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณที่ไม่ติดต่อกัน
- เชื้อราในปาก
- ฝ้าขาว (hairy leukoplakia) ในช่องปากจากเชื้อไวรัสเอปสไตน์บาร์ มัก
อยู่ที่ด้านข้างของลิ้นมี ลักษณะเป็นฝ้า คล้ายโรคเชื้อราแต่ขูดไม่ออก
- โรคงูสวัด
4. ระยะป่วยเป็นเอดส์ ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อราไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค เป็นต้นฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า “โรคติดเชื้อฉวย โอกาส” (opportunisticinfections) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยาก และอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำอย่างเดียว หรือติดเชื้อชนิดใหม่ หรือติดเชื้อหลายชนิดร่วมกัน ทำให้เกิดวัณโรค ปอด, ปอดอักเสบ, สมองอักเสบ , เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร (เจ็บคอ กลืนลำบาก ท้องเดิน) เป็นต้น
ผู้ป่วยเอดส์ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งของหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi sarcoma (เห็นเป็นตุ่ม หรือผื่นสีม่วงที่ผิวหนัง หรือเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองภายในช่องปาก หรืออวัยวะภายใน ก็ได้), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง(Lymphoma) ในสมอง เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีความผิดปกติของสมองที่เรียกว่า AIDS dementia complex (ADC) ทำให้มีอาการทางจิตประสาท ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ ซึมเศร้า คลุ้มคลั่ง เป็นต้นบางคนอาจมีอาการแขนขาชา อัมพาต ชักกระตุกได้
สิ่งตรวจพบ
ในระยะที่มีอาการหรือป่วยเป็นเอดส์แล้ว จะตรวจพบอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่นไข้ ซูบผอม ต่อม น้ำเหลืองโตหลายแห่ง (บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ) ซีด จุดแดง-จ้ำเขียว ในช่องปาก อาจพบอาการลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อราแคนดิดา , รอยฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia), แผลเริมเรื้อรัง, แผลแอฟทัส, ปากเปื่อย,ก้อนเนื้องอก (มะเร็ง) เป็นต้นบริเวณผิวหนัง อาจพบวงผื่นของโรคเชื้อรา (กลากเกลื้อน) ลุกลามเป็นบริเวณกว้างและเรื้อรัง, เริม, งูสวัด, แผลเรื้อรัง, พุพอง, ก้อนเนื้องอก, หูดข้าวสุก(จากไวรัส), ผื่นสีม่วงแดง หรือตุ่มสีม่วง (Kaposi sarcoma), ตุ่มหนอง หรือตุ่มคล้ายหูดข้าวสุกกระจายทั่วไป จากเชื้อราเพนิซิลเลียม มาร์เนฟไฟ(Penicillium marneffei), ผิวหนังแห้ง คัน เป็นสะเก็ดขาว เป็นตุ่มคัน เป็นต้น ในรายที่เป็นปอดบวม จะมีอาการหายใจหอบ ใช้เครื่องตรวจฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อของสมอง จะมีอาการซึม เพ้อ ชัก หมดสติ ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จะตรวจพบอาการคอแข็ง
การรักษา
1. ในรายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น หญิงบริการ, ผู้ที่ชอบเที่ยว หรือมีเพศสัมพันธ์เสรี, ผู้ที่ฉีดยา เสพติด, แม่บ้านที่สามีมีพฤติกรรมเสี่ยง เป็นต้น ควรให้คำปรึกษาในการตรวจเลือดพิสูจน์ บนพื้นฐานของความสมัครใจและต้องรักษาความลับในกรณีตรวจพบเลือดบวกการตรวจเลือดเพื่อบ่งบอกการติดเชื้อเอชไอวี มี 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ
ก. การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจพบแอนติบอดี (เลือด บวก) หลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์ (ส่วนใหญ่ประมาณ 8 สัปดาห์บางรายอาจนานถึง 6 เดือน) วิธี นี้เป็นการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าพบเลือดบวกต้องตรวจยืนยันโดยวิธีเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกครั้ง
ข. การตรวจหาแอนติเจน (ส่วนประกอบของตัวเชื้อเอชไอวี) จะตรวจพบแอนติเจน (เลือดบวก) หลังติดเชื้อ 2 - 6 สัปดาห์ ถ้าพบเลือดบวกแน่ชัด โดยไม่มีอาการก็จัดว่าเป็นผู้ติดเชื้อโดยไม่มี อาการ หรือพาหะ ควรให้คำแนะนำในการปฎิบัติตัวเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และหลีกเลี่ยง การแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ “ข้อแนะนำ”)
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ที่ตรวจพบเป็นผู้ติดเชื้อ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส -เอซีที (AZT) ซึ่งมีการศึกษาว่าสามารถลดการติดเชื้อให้ทารกในครรภ์ได้ถึง 2 ใน 3 โดยการให้ยาเอซีที ขนาด ครั้งละ 100 มก. วันละ 5 ครั้ง (ทุก 4ชั่วโมง) ตั้งแต่อายุครรภ์ 14-34 สัปดาห์ กินทุกวันจนกระทั่งเข้าสู่ระยะคลอดระหว่างคลอดจะเปลี่ยนเป็นยาชนิดฉีด เริ่มแรกให้ 2 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.เข้าทางหลอดเลือดดำให้หมดภายใน 1 ชั่วโมง ต่อไปให้ ขนาด 1 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ต่อชั่วโมง จนกระทั่งตัดสายสะดือเด็ก หลังคลอดภายใน 12 ชม.จะเริ่มให้ยาเอซีทีแก่ทารก ขนาด 2 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ทุก 6 ชั่วโมงหรือใช้ชนิดฉีด ขนาด 1.5 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.เข้าหลอดเลือดดำ (แต่ละครั้งฉีดให้หมดภายใน 30 นาที)ทุก 6 ชม. ให้ยานาน 6สัปดาห์ ในปัจจุบันแนะนำให้ตรวจวัดปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดเป็นระยะ ๆ ถ้าพบว่าปริมาณเชื้อไม่ลด ลงจากการให้ยา AZT เพียงตัวเดียว ก็อาจให้ยาร่วมกัน3 ตัว (เช่น AZT + 3TC + nevirapine)
2. ในรายที่มีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นเอดส์ ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อการตรวจวินิจฉัย โดยการตรวจ เลือดและทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเสมหะและเอกซเรย์ ในรายที่สงสัยจะเป็นวัณโรค ปอด หรือปอดอักเสบแทรก, เจาะหลังในรายที่สงสัยจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ส่องกล้องตรวจดูทางเดินอาหารในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อราแคนดิดา เป็นต้น
การตรวจเลือด นอกจากตรวจยืนยันการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ยังจะตรวจนับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 lymphocyte และการตรวจวัดปริมาณเชื้อเอชไอวี ในเลือด (viral load) เพื่อใช้ในการประเมินความ รุนแรงของโรค เพื่อการตัดสินใจเริ่มให้ยารักษา, ติดตามการดำเนินของโรค และการปรับวิธี
การรักษา
การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ มีหลักการคร่าว ๆ ดังนี้
1. ให้ยาต้านไวรัส เพื่อลดจำนวนของเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะช่วยลดการทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ยืด อายุผู้ป่วยและมีสุขภาพที่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในกรณี ดังนี้
(1) เมื่อมีอาการแสดงของโรคแล้ว
(2) เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำกว่า 500เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (CD4 มีค่าปกติ 600-1200, ค่า CD4บ่งบอกถึงระดับความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน มีค่ายิ่งต่ำระบบภูมิคุ้มกันก็ยิ่งอ่อนแอ และยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น)
(3) เมื่อยังไม่มีอาการแสดง และค่า CD4 มากกว่า 500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร แต่มีประมาณ เชื้อเอชไอวี (viral load) มากกว่า 30,000 ตัว ต่อมิลลิลิตร
REPORT : LIV Capsule
ปฏิกิริยาของเชื้อ HIV เมื่อเข้าสู่ร่างกาย
ลักษณะอาการ
เนื่องจากผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแตกต่างกันไปสุดแล้วแต่จำนวนของ เชื้อ และระดับภูมิต้านทานของร่างกาย ดังนั้นโรคนี้จึงสามารถแบ่งออกเป็น 4 ระยะด้วยกันดังนี้
1. ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อเอชไอวี (Primary HIV infection หรือAcute retroviral syndrome)
ระยะนี้นับตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเอชไอวี จนกระทั่งร่างกายเริ่มสร้างแอนติบอดีกินเวลาประมาณ 1-6 สัปดาห์หลังติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว มีผื่นขึ้น ต่อมน้ำเหลืองโต บางคน อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว หรือ มีฝ้าขาวในช่องปาก อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ 1-2 สัปดาห์แล้วหายไปได้เองเนื่องจากอาการคล้ายกับไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่หรือไข้ทั่วๆไป ผู้ป่วยอาจ ซื้อยารักษาเอง หรือเมื่อไปพบแพทย์ก็อาจไม่ได้รับการตรวจเลือด จึงไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ในระยะนี้ ผู้ติดเชื้อประมาณ 30-50%อาจไม่มีอาการดังกล่าวเลยก็ได้
2. ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อจะแข็งแรงเป็นปกติเหมือนคนทั่วไปแต่การตรวจเลือดจะ พบเชื้อเอชไอวี และแอนติบอดีต่อเชื้อชนิดนี้ และสามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่า เป็น “พาหะ” (carrier) ของโรค ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางคนอาจนานกว่า 15 ปี
3. ระยะติดเชื้อที่มีอาการ ระยะนี้แต่ก่อนเรียกว่า “ระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์” (AIDS related complex หรือ ARC) มักจะมีอาการคล้ายโรคอื่น ๆ จนไม่ได้เฉลียวใจว่าเป็นเอดส์ก็ได้ อาจพบ อาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ในระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
- มีไข้เกิน 37.8 องซา เป็นพัก ๆ หรือติดต่อกันทุกวัน
- ท้องเดินเรื้อรัง หรืออุจจาระร่วงเรื้อรัง
- น้ำหนักลดเกิน 10% ของน้ำหนักตัว
- ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณที่ไม่ติดต่อกัน
- เชื้อราในปาก
- ฝ้าขาว (hairy leukoplakia) ในช่องปากจากเชื้อไวรัสเอปสไตน์บาร์ มัก
อยู่ที่ด้านข้างของลิ้นมี ลักษณะเป็นฝ้า คล้ายโรคเชื้อราแต่ขูดไม่ออก
- โรคงูสวัด
4. ระยะป่วยเป็นเอดส์ ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเสื่อมเต็มที่ เป็นผลทำให้เชื้อโรคต่างๆ เช่น เชื้อราไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค เป็นต้นฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า “โรคติดเชื้อฉวย โอกาส” (opportunisticinfections) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อที่รักษาค่อนข้างยาก และอาจติดเชื้อชนิดเดิมซ้ำอย่างเดียว หรือติดเชื้อชนิดใหม่ หรือติดเชื้อหลายชนิดร่วมกัน ทำให้เกิดวัณโรค ปอด, ปอดอักเสบ, สมองอักเสบ , เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร (เจ็บคอ กลืนลำบาก ท้องเดิน) เป็นต้น
ผู้ป่วยเอดส์ยังมีโอกาสเป็นมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งของหลอดเลือดที่เรียกว่า Kaposi sarcoma (เห็นเป็นตุ่ม หรือผื่นสีม่วงที่ผิวหนัง หรือเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองภายในช่องปาก หรืออวัยวะภายใน ก็ได้), มะเร็งต่อมน้ำเหลือง(Lymphoma) ในสมอง เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ป่วยยังอาจมีความผิดปกติของสมองที่เรียกว่า AIDS dementia complex (ADC) ทำให้มีอาการทางจิตประสาท ความจำเสื่อม หลงลืมง่าย ไม่มีสมาธิ ซึมเศร้า คลุ้มคลั่ง เป็นต้นบางคนอาจมีอาการแขนขาชา อัมพาต ชักกระตุกได้
สิ่งตรวจพบ
ในระยะที่มีอาการหรือป่วยเป็นเอดส์แล้ว จะตรวจพบอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่นไข้ ซูบผอม ต่อม น้ำเหลืองโตหลายแห่ง (บริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบ) ซีด จุดแดง-จ้ำเขียว ในช่องปาก อาจพบอาการลิ้นหรือช่องปากเป็นฝ้าขาวจากเชื้อราแคนดิดา , รอยฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia), แผลเริมเรื้อรัง, แผลแอฟทัส, ปากเปื่อย,ก้อนเนื้องอก (มะเร็ง) เป็นต้นบริเวณผิวหนัง อาจพบวงผื่นของโรคเชื้อรา (กลากเกลื้อน) ลุกลามเป็นบริเวณกว้างและเรื้อรัง, เริม, งูสวัด, แผลเรื้อรัง, พุพอง, ก้อนเนื้องอก, หูดข้าวสุก(จากไวรัส), ผื่นสีม่วงแดง หรือตุ่มสีม่วง (Kaposi sarcoma), ตุ่มหนอง หรือตุ่มคล้ายหูดข้าวสุกกระจายทั่วไป จากเชื้อราเพนิซิลเลียม มาร์เนฟไฟ(Penicillium marneffei), ผิวหนังแห้ง คัน เป็นสะเก็ดขาว เป็นตุ่มคัน เป็นต้น ในรายที่เป็นปอดบวม จะมีอาการหายใจหอบ ใช้เครื่องตรวจฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อของสมอง จะมีอาการซึม เพ้อ ชัก หมดสติ ถ้าเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จะตรวจพบอาการคอแข็ง
การรักษา
1. ในรายที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น หญิงบริการ, ผู้ที่ชอบเที่ยว หรือมีเพศสัมพันธ์เสรี, ผู้ที่ฉีดยา เสพติด, แม่บ้านที่สามีมีพฤติกรรมเสี่ยง เป็นต้น ควรให้คำปรึกษาในการตรวจเลือดพิสูจน์ บนพื้นฐานของความสมัครใจและต้องรักษาความลับในกรณีตรวจพบเลือดบวกการตรวจเลือดเพื่อบ่งบอกการติดเชื้อเอชไอวี มี 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ
ก. การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจพบแอนติบอดี (เลือด บวก) หลังติดเชื้อ 3-12 สัปดาห์ (ส่วนใหญ่ประมาณ 8 สัปดาห์บางรายอาจนานถึง 6 เดือน) วิธี นี้เป็นการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าพบเลือดบวกต้องตรวจยืนยันโดยวิธีเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกครั้ง
ข. การตรวจหาแอนติเจน (ส่วนประกอบของตัวเชื้อเอชไอวี) จะตรวจพบแอนติเจน (เลือดบวก) หลังติดเชื้อ 2 - 6 สัปดาห์ ถ้าพบเลือดบวกแน่ชัด โดยไม่มีอาการก็จัดว่าเป็นผู้ติดเชื้อโดยไม่มี อาการ หรือพาหะ ควรให้คำแนะนำในการปฎิบัติตัวเพื่อรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และหลีกเลี่ยง การแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
(ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ “ข้อแนะนำ”)
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ที่ตรวจพบเป็นผู้ติดเชื้อ แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้านไวรัส -เอซีที (AZT) ซึ่งมีการศึกษาว่าสามารถลดการติดเชื้อให้ทารกในครรภ์ได้ถึง 2 ใน 3 โดยการให้ยาเอซีที ขนาด ครั้งละ 100 มก. วันละ 5 ครั้ง (ทุก 4ชั่วโมง) ตั้งแต่อายุครรภ์ 14-34 สัปดาห์ กินทุกวันจนกระทั่งเข้าสู่ระยะคลอดระหว่างคลอดจะเปลี่ยนเป็นยาชนิดฉีด เริ่มแรกให้ 2 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.เข้าทางหลอดเลือดดำให้หมดภายใน 1 ชั่วโมง ต่อไปให้ ขนาด 1 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ต่อชั่วโมง จนกระทั่งตัดสายสะดือเด็ก หลังคลอดภายใน 12 ชม.จะเริ่มให้ยาเอซีทีแก่ทารก ขนาด 2 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ทุก 6 ชั่วโมงหรือใช้ชนิดฉีด ขนาด 1.5 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก.เข้าหลอดเลือดดำ (แต่ละครั้งฉีดให้หมดภายใน 30 นาที)ทุก 6 ชม. ให้ยานาน 6สัปดาห์ ในปัจจุบันแนะนำให้ตรวจวัดปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดเป็นระยะ ๆ ถ้าพบว่าปริมาณเชื้อไม่ลด ลงจากการให้ยา AZT เพียงตัวเดียว ก็อาจให้ยาร่วมกัน3 ตัว (เช่น AZT + 3TC + nevirapine)
2. ในรายที่มีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นเอดส์ ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อการตรวจวินิจฉัย โดยการตรวจ เลือดและทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ เช่น ตรวจเสมหะและเอกซเรย์ ในรายที่สงสัยจะเป็นวัณโรค ปอด หรือปอดอักเสบแทรก, เจาะหลังในรายที่สงสัยจะเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ส่องกล้องตรวจดูทางเดินอาหารในรายที่สงสัยจะมีการติดเชื้อราแคนดิดา เป็นต้น
การตรวจเลือด นอกจากตรวจยืนยันการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ยังจะตรวจนับเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 lymphocyte และการตรวจวัดปริมาณเชื้อเอชไอวี ในเลือด (viral load) เพื่อใช้ในการประเมินความ รุนแรงของโรค เพื่อการตัดสินใจเริ่มให้ยารักษา, ติดตามการดำเนินของโรค และการปรับวิธี
การรักษา
การรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ มีหลักการคร่าว ๆ ดังนี้
1. ให้ยาต้านไวรัส เพื่อลดจำนวนของเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะช่วยลดการทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยให้ยืด อายุผู้ป่วยและมีสุขภาพที่ดีขึ้น แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัสในกรณี ดังนี้
(1) เมื่อมีอาการแสดงของโรคแล้ว
(2) เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำกว่า 500เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร (CD4 มีค่าปกติ 600-1200, ค่า CD4บ่งบอกถึงระดับความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน มีค่ายิ่งต่ำระบบภูมิคุ้มกันก็ยิ่งอ่อนแอ และยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนมากขึ้น)
(3) เมื่อยังไม่มีอาการแสดง และค่า CD4 มากกว่า 500 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร แต่มีประมาณ เชื้อเอชไอวี (viral load) มากกว่า 30,000 ตัว ต่อมิลลิลิตร
REPORT : LIV Capsule