สวัสดีค่ะ ^^
วันนี้ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเพราะเฟสบุ๊คขึ้นเหตุการณ์หน้าฟีดข่าวว่าจขกท.เป็นเพื่อนกับเพื่อนคนหนึ่งในเฟสมา 4 ปีแล้ว
ขอเริ่มต้นก่อนเลยนะคะว่าจขกท.กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 สายศิลป์ญี่ปุ่น จบมาจากโครงการพิเศษวิทย์-คณิตตอนม.ต้นค่ะ
จขกท.สนิทกับเพื่อนคนหนึ่ง ขอใช้ชื่อว่าลิตเติ้ลแล้วกันนะคะ เพราะเป็นเพื่อนที่ตัวเล็กมาก ตอนอยู่ม.ต้นต้องเข้าโครงการของห้องพยาบาลเพื่อจะไปดื่มนมจืดทุกเช้าค่ะ 555 ส่วนจขกท.จะแทนตัวเองว่าบิ๊กกี้ค่ะ เพราะเราสองคนเป็นเพื่อนที่ลักษณะตัวต่างกันอยู่ค่ะ บิ๊กกี้สูงกว่าลิตเติ้ลเยอะมาก เวลาเดินด้วยกันยิ่งเห็นความต่างชัดเจน
ลิตเติ้ลกับบิ๊กกี้สนิทกันตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับโครงการพิเศษตอน ม.ต้นค่ะ เพราะชอบภาษาอังกฤษเหมือนกัน มีหนังสือภาษาอังกฤษอะไรก็จะเอามาแบ่งกันอ่านค่ะ ตอน ม.3 ลิตเติ้ลกับบิ๊กกี้รู้สึกเบื่อกับวิชาวิทย์คณิตค่ะ เจอดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ คณิตเพิ่ม-คณิตพื้นฐาน คณิตเป็นภาษาอังกฤษ วิทย์เป็นภาษาอังกฤษ เคมี ทำโครงงานระดับนำไปแข่งทั่วประเทศไทย ฯลฯ แทบเรียกได้ว่าคิดผิดมากที่เลือกมาอยู่ห้องโครงการวิทย์-คณิตแบบนี้ ส่วนเพื่อนคนอื่นในห้องเขามีความสุขกันมากค่ะ เพราะคุณครูสอนเน้นทุกอย่างทั้งวิทย์ ทั้งคณิต เรียกว่าใครชอบวิชาพวกนี้แล้วจะมีความสุขมากถ้าอยู่ในโครงการนี้ แต่ลิตเติ้ลกับบิ๊กกี้ทำผิดต่อตัวเองอย่างมหันต์ค่ะ ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกไม่ชอบ ตอน ม.3 ลิตเติ้ลกับบิ๊กกี้เลยคุยกันว่าจะขึ้น ม.4 ในสายศิลป์
ในห้องมีคนจะไปสายศิลป์แค่ 3 คนค่ะ ส่วนคนอื่นมุ่งวิทย์กันหมด ทั้งห้องโครงการพิเศษตอน ม.ปลาย โรงเรียนวิทย์ระดับภูมิภาค สายวิทย์เน้นๆ กันทุกคน
แต่พอบิ๊กกี้กลับไปบ้าน ทางบ้านบิ๊กกี้ให้เลือกสายวิทย์ค่ะ... ตอนปิดเทอมก่อนจะขึ้น ม.4 บิ๊กกี้บอกกับลิตเติ้ลว่า 'ขอโทษนะที่บอกว่าจะไปอยู่สายศิลป์แล้วทำไม่ได้ ขอโทษที่ต้องให้แกอยู่สายศิลป์คนเดียว' ตอนนั้นบิ๊กกี้ร้องไห้เลยค่ะ รู้สึกผิดมาก... ยิ่งตอนลิตเติ้ลพิมพ์กลับมาว่า 'เออ แกอะพูดแล้วทำไม่ได้' ตอนนี้บิ๊กกี้เจ็บมากเลย รู้ตัวว่าทั้งผิดคำพูดกับลิตเติ้ล (แล้วก็รู้ตัวว่าผิดต่อความต้องการของตัวเองด้วย เพราะบิ๊กกี้อยากเรียนสายศิลป์เหมือนลิตเติ้ลค่ะ)
พอเปิดเทอมมา บิ๊กกี้กับลิตเติ้ลมาเจอกันตอนเช้าทุกวัน เรายังสนิทกันเหมือนเดิมค่ะ ไม่เคยทะเลาะกันเลยตั้งแต่ขึ้น ม.ปลายมา ตอนฟังลิตเติ้ลเล่าชีวิตเด็กสายศิลป์แล้ว บิ๊กกี้อิจฉามาก อยากเรียนกับลิตเติ้ล อยากเรียนภาษา แต่ตัวเองเลือกมาสายวิทย์
ตอนเกรดเทอมแรกสำหรับสายวิทย์ ม.4 ของบิ๊กกี้ออก... บิ๊กกี้ยิ่งอยากไปเรียนสายศิลป์แบบลิตเติ้ล เพราะเกรดมันต่ำที่สุดในชีวิตเลยค่ะ... บิ๊กกี้ประเมิณตัวเองได้นะคะว่าที่ผ่านมา บิ๊กกี้ไม่ชอบวิชาสายวิทย์สักวิชาเลยค่ะ แล้วก็เรียนไม่รู้เรื่อง เพื่อนคนอื่นเรียนรู้เรื่องกันหมด หาเวลาไปเรียนพิเศษ แต่บิ๊กกี้กลับอยู่บ้านเฉยๆ ไม่คิดจะพยายามให้ผลการเรียนดีขึ้นค่ะ ตอนนั้นบิ๊กกี้คิดนะคะว่าถ้าไปอยู่สายศิลป์ บิ๊กกี้คงทำเกรดได้ดีกว่านี้ เพราะดูจากตารางเรียนของลิตเติ้ลที่เรียนสายศิลป์แล้วก็มีแต่วิชาที่บิ๊กกี้ชอบและอยากเรียนตั้งแต่ ม.ต้น ทั้งนั้นเลยค่ะ
แต่บิ๊กกี้ยังไม่คิดอะไรนะคะ ตอนนั้นยังคิดถึงความต้องการของพ่อแม่อยู่ค่ะ อยากให้เรียนวิทย์ก็จะเรียน จะทำเกรดเทอม 2 ให้ดีกว่านี้ แต่ทำยังไงบิ๊กกี้ก็ยังได้คะแนนเหมือนเดิม เพราะบิ๊กกี้ไม่ชอบวิชาของสายวิทย์ ทำยังไงบิ๊กกี้ก็ไม่ชอบ
มีอยู่วันหนึ่ง... บิ๊กกี้สอบตกวิชาเคมีเป็นครั้งที่ 4 (สอบตกทุกครั้งค่ะ) แล้วการแก้ให้ผ่านการสอบก็เป็นสิ่งที่บิ๊กกี้ไม่อยากทำต่อ เพราะบิ๊กกี้ไม่อยากสู้กับมันแล้ว ทันทีที่รู้ว่าตัวเงอสอบตก บิ๊กกี้นั่งร้องไห้ค่ะ ร้องไห้ออกมาจากโรงเรียนจนถึงบ้าน สับสนกับชีวิตและรู้สึกล้มเหลว ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะเดินต่อไปยังไง บิ๊กกี้คิดว่าการกลับมาเรียนซ้ำในชั้นเดิมมันเป็นเรื่องใหญ่มาก ใครถามว่า 'ทำไมต้องซิ่ว' คือเงียบค่ะ เงียบแล้วร้องไห้ออกมา ตอนนั้นใครถามไม่ได้เลยว่าซิ่วทำไม ต้องร้องไห้ตลอดค่ะ เหมือนคำตอบมันเยอะไปหมดว่าทำไมต้องซิ่ว เยอะจนสับสนว่าจะตอบไปยังไงดี... คุณแม่กับคุณยายเห็นว่าบิ๊กกี้ร้องไห้ก็ถามว่าร้องทำไม บิ๊กกี้ตอบไปสั้นๆ ค่ะว่า 'หนูจะซิ่วไปสายศิลป์ ไปเรียน ม.4 ใหม่' ตอนนั้นบิ๊กกี้จำได้ว่าทั้งสองก็ถามว่าทำไมถึงต้องซิ่ว มีบ่น ดุ ว่าด้วยค่ะ เพราะสองคนนั้นอยากให้เรียนสายวิทย์ค่ะ แต่สุดท้ายบิ๊กกี้บอกไปว่ายังไงๆ ก็จะซิ่วค่ะ คุณแม่เลยบอกว่างั้นก็รอคุยกับพ่อ พ่อตัดสินใจยังไงก็ตามนั้น
นับได้ว่าคุณแม่กับคุณยายเป็นคนแรกที่รู้เรื่องว่าบิ๊กกี้จะซิ่วค่ะ
หลังจากคุยกับทั้งสองเสร็จ บิ๊กกี้ก็บอกลิตเติ้ลในเฟสบุ๊คว่าจะโทรไปหา โดยไม่ได้บอกว่ามีอะไรจะคุยด้วย พอโทรแล้วลิตเติ้ลก็รีบรับโทรศัพท์ค่ะ บิ๊กกี้บอกไปว่าบิ๊กกี้จะซิ่วไปสายศิลป์นะ แล้วก็ร้องไห้ ลิตเติ้ลพูดปลอบค่ะว่าอย่าร้องไห้นะ เราจะร้องตามแกอยู่แล้ว ตอนนั้นบิ๊กกี้ร้องไห้เยอะเลยค่ะ เพราะรู้สึกชัดเจนว่าลิตเติ้ลเข้าใจเราว่าเรารู้สึกยังไง สับสนกับชีวิตขนาดไหน คุยกันได้ไม่นานมาก บิ๊กกี้ก็วางสายค่ะแล้วไปคุยกับลิตเติ้ลในเฟสบุ๊คอีก ลิตเติ้ลมาโพสต์หน้าวอลล์ของบิ๊กกี้ว่า 'สู้ๆ นะรุ่นน้อง ถึงจะไม่ได้จบด้วยกัน แต่แกเลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเองแล้ว'
ตอนนั้นบิ๊กกี้น้ำตาไหลเลย คำว่า 'ไม่ได้จบด้วยกัน' มันทำให้บิ๊กกี้รู้สึกเสียใจที่ต้องเรียนจบช้ากว่าเพื่อน 1 ปี
เมื่อซิ่วได้แล้ว บิ๊กกี้กับลิตเติ้ลก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม... โดยที่วันนี้ วันที่เฟสบุ๊คแจ้งว่าบิ๊กกี้กับลิตเติ้ลเป็นเพื่อนในเฟสกันมาครบ 4 ปีแล้วก็ทำให้บิ๊กกี้คิดถึงเรื่องดีๆ แบบนี้ขึ้นมาได้
'เพื่อนที่ดีที่สุด' ในความคิดบิ๊กกี้คือเพื่อนคนแรกที่เราคิดถึงเขา อยากคุยกับเขา อยากได้กำลังใจจากเขาในวันที่เราสับสนที่สุดในชีวิต เสียใจที่สุดในชีวิตและอยากเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้งในชีวิตค่ะ... แล้วตอนนี้บิ๊กกี้ก็เจอคนๆ นั้นแล้วค่ะ
ยาวไปหน่อยนะคะ... ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
แล้วคุณล่ะคะเจอ 'เพื่อน' ในนิยามว่า 'ดีที่สุด' สำหรับคุณหรือยัง
ปล.แท็กความรักวัยรุ่นเพราะต้องการนำเสนอความรักในรูปแบบเพื่อนสนิทนะคะ
(กระทู้เล่าชีวิต) ทุกวันนี้คุณเจอ 'เพื่อนที่ดีที่สุด' หรือยังคะ?
วันนี้ตั้งคำถามนี้ขึ้นมาเพราะเฟสบุ๊คขึ้นเหตุการณ์หน้าฟีดข่าวว่าจขกท.เป็นเพื่อนกับเพื่อนคนหนึ่งในเฟสมา 4 ปีแล้ว
ขอเริ่มต้นก่อนเลยนะคะว่าจขกท.กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.4 สายศิลป์ญี่ปุ่น จบมาจากโครงการพิเศษวิทย์-คณิตตอนม.ต้นค่ะ
จขกท.สนิทกับเพื่อนคนหนึ่ง ขอใช้ชื่อว่าลิตเติ้ลแล้วกันนะคะ เพราะเป็นเพื่อนที่ตัวเล็กมาก ตอนอยู่ม.ต้นต้องเข้าโครงการของห้องพยาบาลเพื่อจะไปดื่มนมจืดทุกเช้าค่ะ 555 ส่วนจขกท.จะแทนตัวเองว่าบิ๊กกี้ค่ะ เพราะเราสองคนเป็นเพื่อนที่ลักษณะตัวต่างกันอยู่ค่ะ บิ๊กกี้สูงกว่าลิตเติ้ลเยอะมาก เวลาเดินด้วยกันยิ่งเห็นความต่างชัดเจน
ลิตเติ้ลกับบิ๊กกี้สนิทกันตอนไปเที่ยวต่างจังหวัดกับโครงการพิเศษตอน ม.ต้นค่ะ เพราะชอบภาษาอังกฤษเหมือนกัน มีหนังสือภาษาอังกฤษอะไรก็จะเอามาแบ่งกันอ่านค่ะ ตอน ม.3 ลิตเติ้ลกับบิ๊กกี้รู้สึกเบื่อกับวิชาวิทย์คณิตค่ะ เจอดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ คณิตเพิ่ม-คณิตพื้นฐาน คณิตเป็นภาษาอังกฤษ วิทย์เป็นภาษาอังกฤษ เคมี ทำโครงงานระดับนำไปแข่งทั่วประเทศไทย ฯลฯ แทบเรียกได้ว่าคิดผิดมากที่เลือกมาอยู่ห้องโครงการวิทย์-คณิตแบบนี้ ส่วนเพื่อนคนอื่นในห้องเขามีความสุขกันมากค่ะ เพราะคุณครูสอนเน้นทุกอย่างทั้งวิทย์ ทั้งคณิต เรียกว่าใครชอบวิชาพวกนี้แล้วจะมีความสุขมากถ้าอยู่ในโครงการนี้ แต่ลิตเติ้ลกับบิ๊กกี้ทำผิดต่อตัวเองอย่างมหันต์ค่ะ ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกไม่ชอบ ตอน ม.3 ลิตเติ้ลกับบิ๊กกี้เลยคุยกันว่าจะขึ้น ม.4 ในสายศิลป์
ในห้องมีคนจะไปสายศิลป์แค่ 3 คนค่ะ ส่วนคนอื่นมุ่งวิทย์กันหมด ทั้งห้องโครงการพิเศษตอน ม.ปลาย โรงเรียนวิทย์ระดับภูมิภาค สายวิทย์เน้นๆ กันทุกคน
แต่พอบิ๊กกี้กลับไปบ้าน ทางบ้านบิ๊กกี้ให้เลือกสายวิทย์ค่ะ... ตอนปิดเทอมก่อนจะขึ้น ม.4 บิ๊กกี้บอกกับลิตเติ้ลว่า 'ขอโทษนะที่บอกว่าจะไปอยู่สายศิลป์แล้วทำไม่ได้ ขอโทษที่ต้องให้แกอยู่สายศิลป์คนเดียว' ตอนนั้นบิ๊กกี้ร้องไห้เลยค่ะ รู้สึกผิดมาก... ยิ่งตอนลิตเติ้ลพิมพ์กลับมาว่า 'เออ แกอะพูดแล้วทำไม่ได้' ตอนนี้บิ๊กกี้เจ็บมากเลย รู้ตัวว่าทั้งผิดคำพูดกับลิตเติ้ล (แล้วก็รู้ตัวว่าผิดต่อความต้องการของตัวเองด้วย เพราะบิ๊กกี้อยากเรียนสายศิลป์เหมือนลิตเติ้ลค่ะ)
พอเปิดเทอมมา บิ๊กกี้กับลิตเติ้ลมาเจอกันตอนเช้าทุกวัน เรายังสนิทกันเหมือนเดิมค่ะ ไม่เคยทะเลาะกันเลยตั้งแต่ขึ้น ม.ปลายมา ตอนฟังลิตเติ้ลเล่าชีวิตเด็กสายศิลป์แล้ว บิ๊กกี้อิจฉามาก อยากเรียนกับลิตเติ้ล อยากเรียนภาษา แต่ตัวเองเลือกมาสายวิทย์
ตอนเกรดเทอมแรกสำหรับสายวิทย์ ม.4 ของบิ๊กกี้ออก... บิ๊กกี้ยิ่งอยากไปเรียนสายศิลป์แบบลิตเติ้ล เพราะเกรดมันต่ำที่สุดในชีวิตเลยค่ะ... บิ๊กกี้ประเมิณตัวเองได้นะคะว่าที่ผ่านมา บิ๊กกี้ไม่ชอบวิชาสายวิทย์สักวิชาเลยค่ะ แล้วก็เรียนไม่รู้เรื่อง เพื่อนคนอื่นเรียนรู้เรื่องกันหมด หาเวลาไปเรียนพิเศษ แต่บิ๊กกี้กลับอยู่บ้านเฉยๆ ไม่คิดจะพยายามให้ผลการเรียนดีขึ้นค่ะ ตอนนั้นบิ๊กกี้คิดนะคะว่าถ้าไปอยู่สายศิลป์ บิ๊กกี้คงทำเกรดได้ดีกว่านี้ เพราะดูจากตารางเรียนของลิตเติ้ลที่เรียนสายศิลป์แล้วก็มีแต่วิชาที่บิ๊กกี้ชอบและอยากเรียนตั้งแต่ ม.ต้น ทั้งนั้นเลยค่ะ
แต่บิ๊กกี้ยังไม่คิดอะไรนะคะ ตอนนั้นยังคิดถึงความต้องการของพ่อแม่อยู่ค่ะ อยากให้เรียนวิทย์ก็จะเรียน จะทำเกรดเทอม 2 ให้ดีกว่านี้ แต่ทำยังไงบิ๊กกี้ก็ยังได้คะแนนเหมือนเดิม เพราะบิ๊กกี้ไม่ชอบวิชาของสายวิทย์ ทำยังไงบิ๊กกี้ก็ไม่ชอบ
มีอยู่วันหนึ่ง... บิ๊กกี้สอบตกวิชาเคมีเป็นครั้งที่ 4 (สอบตกทุกครั้งค่ะ) แล้วการแก้ให้ผ่านการสอบก็เป็นสิ่งที่บิ๊กกี้ไม่อยากทำต่อ เพราะบิ๊กกี้ไม่อยากสู้กับมันแล้ว ทันทีที่รู้ว่าตัวเงอสอบตก บิ๊กกี้นั่งร้องไห้ค่ะ ร้องไห้ออกมาจากโรงเรียนจนถึงบ้าน สับสนกับชีวิตและรู้สึกล้มเหลว ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะเดินต่อไปยังไง บิ๊กกี้คิดว่าการกลับมาเรียนซ้ำในชั้นเดิมมันเป็นเรื่องใหญ่มาก ใครถามว่า 'ทำไมต้องซิ่ว' คือเงียบค่ะ เงียบแล้วร้องไห้ออกมา ตอนนั้นใครถามไม่ได้เลยว่าซิ่วทำไม ต้องร้องไห้ตลอดค่ะ เหมือนคำตอบมันเยอะไปหมดว่าทำไมต้องซิ่ว เยอะจนสับสนว่าจะตอบไปยังไงดี... คุณแม่กับคุณยายเห็นว่าบิ๊กกี้ร้องไห้ก็ถามว่าร้องทำไม บิ๊กกี้ตอบไปสั้นๆ ค่ะว่า 'หนูจะซิ่วไปสายศิลป์ ไปเรียน ม.4 ใหม่' ตอนนั้นบิ๊กกี้จำได้ว่าทั้งสองก็ถามว่าทำไมถึงต้องซิ่ว มีบ่น ดุ ว่าด้วยค่ะ เพราะสองคนนั้นอยากให้เรียนสายวิทย์ค่ะ แต่สุดท้ายบิ๊กกี้บอกไปว่ายังไงๆ ก็จะซิ่วค่ะ คุณแม่เลยบอกว่างั้นก็รอคุยกับพ่อ พ่อตัดสินใจยังไงก็ตามนั้น
นับได้ว่าคุณแม่กับคุณยายเป็นคนแรกที่รู้เรื่องว่าบิ๊กกี้จะซิ่วค่ะ
หลังจากคุยกับทั้งสองเสร็จ บิ๊กกี้ก็บอกลิตเติ้ลในเฟสบุ๊คว่าจะโทรไปหา โดยไม่ได้บอกว่ามีอะไรจะคุยด้วย พอโทรแล้วลิตเติ้ลก็รีบรับโทรศัพท์ค่ะ บิ๊กกี้บอกไปว่าบิ๊กกี้จะซิ่วไปสายศิลป์นะ แล้วก็ร้องไห้ ลิตเติ้ลพูดปลอบค่ะว่าอย่าร้องไห้นะ เราจะร้องตามแกอยู่แล้ว ตอนนั้นบิ๊กกี้ร้องไห้เยอะเลยค่ะ เพราะรู้สึกชัดเจนว่าลิตเติ้ลเข้าใจเราว่าเรารู้สึกยังไง สับสนกับชีวิตขนาดไหน คุยกันได้ไม่นานมาก บิ๊กกี้ก็วางสายค่ะแล้วไปคุยกับลิตเติ้ลในเฟสบุ๊คอีก ลิตเติ้ลมาโพสต์หน้าวอลล์ของบิ๊กกี้ว่า 'สู้ๆ นะรุ่นน้อง ถึงจะไม่ได้จบด้วยกัน แต่แกเลือกทางที่ดีที่สุดให้ตัวเองแล้ว'
ตอนนั้นบิ๊กกี้น้ำตาไหลเลย คำว่า 'ไม่ได้จบด้วยกัน' มันทำให้บิ๊กกี้รู้สึกเสียใจที่ต้องเรียนจบช้ากว่าเพื่อน 1 ปี
เมื่อซิ่วได้แล้ว บิ๊กกี้กับลิตเติ้ลก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม... โดยที่วันนี้ วันที่เฟสบุ๊คแจ้งว่าบิ๊กกี้กับลิตเติ้ลเป็นเพื่อนในเฟสกันมาครบ 4 ปีแล้วก็ทำให้บิ๊กกี้คิดถึงเรื่องดีๆ แบบนี้ขึ้นมาได้
'เพื่อนที่ดีที่สุด' ในความคิดบิ๊กกี้คือเพื่อนคนแรกที่เราคิดถึงเขา อยากคุยกับเขา อยากได้กำลังใจจากเขาในวันที่เราสับสนที่สุดในชีวิต เสียใจที่สุดในชีวิตและอยากเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้งในชีวิตค่ะ... แล้วตอนนี้บิ๊กกี้ก็เจอคนๆ นั้นแล้วค่ะ
ยาวไปหน่อยนะคะ... ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ
แล้วคุณล่ะคะเจอ 'เพื่อน' ในนิยามว่า 'ดีที่สุด' สำหรับคุณหรือยัง
ปล.แท็กความรักวัยรุ่นเพราะต้องการนำเสนอความรักในรูปแบบเพื่อนสนิทนะคะ