The Vampire Powers. [บทที่22]

ถัดไปจากร้านอาหารของพ่อแม่นิโคลแล้วจะมีสวนสาธารณะไว้ให้สำหรับผู้คนที่ต้องการอยากจะเดินเล่นและผ่อนคลาย สองหนุ่มสาวที่มักจะมาเดินเล่นเคียงคู่กันมีมากมายจนชินตา แต่นิโคลไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผู้ชายที่เดินอยู่ข้างๆเธอนี่ต้องการอะไร เพราะเธอรู้สึกกลัว

ความกลัวแปลกๆของเธอทำให้ใจเธอสั่นไหว ยากที่จะควบคุมมันได้ กลัวว่าเขาจะหายไป หญิงสาวฉุกใจคิดกับความคิดที่แปลกประหลาดของเธออีกครั้งที่มักจะรู้ในสิ่งที่เธอไม่สามารถเป็นไปได้กับเขา
“สรุปก็คือ?”

“เอ่อ พ่อแม่ของเธอน่ารักมากเลยนะ…หัวเราะอะไร?” แอลรวบรวมคำพูดเพื่อที่จะบอกออกไปแต่หญิงสาวที่เดินเคียงข้างเขามาดันหลุดหัวเราะราวกับว่าเขาพูดผิดอะไรตรงไหน

แววตาสีแปลกๆของเขาเป็นประกายเมื่อหันหน้าเข้าด้านที่มีแสงแดดเล็ดลอดเข้ามาจากต้นไม้น้อยใหญ่ที่ปลูกเรียงรายอยู่เต็มสวนสาธารณะมองหญิงสาวที่กำลังจะพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด

"ก็ ฉันแค่ ไม่คิดว่านายจะพูดแบบนี้” มันน่าแปลกใจออกเมื่อผู้ชายจอมเข้าใจยากแถมยังเป็นเด็กเข้ามาเรียนใหม่ๆที่แทบจะไม่สุงสิงกับใครเริ่มต้นบทสนทนาที่ดูออกจะไม่ใช่ในสไตล์ของเขาเลย

“โอเค ฉันไม่คิดว่าจะเข้าเรื่องเร็วขนาดนี้”

“อะไรเหรอ….เฮ้….บอกฉันมาเถอะ” นิโคลคาดคั้นขณะที่ร่างสูงของหนุ่มหล่อเดินนำหน้าเธอไปก่อนอย่างมีเลศนัย นับวันผู้ชายคนนี้ทำให้เธออยากจะล้วงความลับที่อยู่ในใจของเขาที่ยากจะคาดเดาเสียเหลือเกิน

“เธอจำอะไรได้ไหม ก่อนจะเปิดเทอม” แอลพยายามที่จะไม่ถามเฉพาะเจาะจง

“ก่อนจะเปิดเทอม ฉันก็…ว่าเต่นายอยากจะรู้ไปทำไมกันละเนี่ย”

“เปล่าเลย” แอลประมวลคำพูดของเธอขณะที่มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีดำของเขา

“เฮ้…นายไม่ควรที่จะหลีกเลี่ยงกันอย่างนี้นะ”

“บางทีเรื่องที่เราพยายามจะหลีกเลี่ยง มันก็เป็นสิ่งที่จำเป็น” ในใจเขาเริ่มเต้นระรัวเพราะเขาต้องทดลองจิตใจเธอให้ได้

“บางทีนายควรจะลืมบอกคนอื่นไปซักนิด เพื่อจะได้ไม่ต้องทำให้คนอื่นคิดไปเองว่านายคือใคร เราเป็นเพื่อนกัน” นิโคลตอบตามความคิด

“เหอะ เพื่อนสินะ…” ลักษณะท่าทางของเขาบ่งบอกได้เลยว่าคำว่าเพื่อนคงน้อยไปสำหรับเขา

ชายหนุ่มคิดในใจว่าหญิงสาวคงจำเรื่องราวอะไรไม่ได้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งนับว่าถือเป็นเรื่องที่ดีต่อพรรคพวกของเขา ถึงแม้ในใจอยากจะให้เธอจำมันได้ก็ตาม

“เธอเชื่อใจฉันไหม”

“นายพูดเรื่องอะไร” นิโคลเลื่อนสายตามองคนตัวสูงที่เดินข้างๆพลางชะงักฝีเท้า

“ฉันจะบอกเธอเมื่อถึงเวลา”

“นายกำลังทำให้ฉันกลัวนะ” นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเมื่อจู่ๆก็รู้สึกเหมือนคนรอบตัวพยายามที่จะปกปิดความลับที่มีต่อเธอซะเหลือเกิน

“เอ่อ งานที่เราต้องทำส่งคู่กันนี่ เธอหาข้อมูลไว้บ้างหรือยัง” แอลเบี่ยงประเด็นที่จะพูด

“ได้ โอเค แล้ววันที่ฉันไปซื้อหนังสือทำไมนายไปโผล่ที่ร้านนั่น” เธอตั้งคำถามเมื่อเขาต้องการที่จะเปลี่ยนเรื่องจริงๆ

“ฉันเปล่า”

“เปล่างั้นเหรอ นายโผล่มาแล้วก็หายไป นายนี่มันโรคจิตชัดๆ” นิโคลเดินกระแทกส้นเท้าเพื่อเดินหนี

ฟึบ ร่างของชายหนุ่มผู้น่าค้นหาที่ยืนอยู่ตรงหน้าดันปรากฏขึ้นมาเฉยๆ นิโคลจึงเดินชนเข้าที่แผงอกแกร่งอย่างจัง

“เรื่องนั้น ฉันเปล่าจริงๆ” แววตาของเขาบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาพูดเรื่องจริง ใบหน้าของเขาที่ก้มลงมามองใบหน้าสวยหวานของเธอทำให้ความรู้สึกที่พยายามเก็บซ่อนไว้ในใจกำลังจะแสดงตนออกมา
เมื่อหญิงสาวยกมือขึ้นโดยไม่รู้ตัวพลางไล้ปลายนิ้วบนใบหน้าชายหนุ่มพร้อมกับพยายามรั้งต้นคอเขาให้โน้มลงมา ริมฝีปากที่ห่างกันเพียงไม่กี่คืบ บวกกับเสียงลมหายใจของทั้งสองที่ค่อยๆได้ยินชัดเจนมากยิ่งขึ้น

นิโคลหลับตาลงเมื่อแอลโน้มใบหน้าที่พยายามจะอดกลั้นความรู้สึกบางอย่างแต่ก็หยุดยั้งมันไว้ไม่ได้ เมื่อริมฝีปากได้สัมผัสกันอย่างอ่อนละมุน ชายหนุ่มยกแขนขึ้นมากอดรัดตัวเธอเพื่อให้ได้สัมผัสกันได้ถนัดพร้อมกับไล้สะโพกเบาๆ

แต่จู่ๆแอลดันตัวหญิงสาวออกทำให้เธอตกใจเล็กน้อยกับสภาพอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขาพลางหอบหายใจและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าทำอะไรลงไปริมฝีปากสีแดงสดของเธอเม้มเข้าด้วยกัน การกระทำแบบไม่รู้ตัวเลยของเธอเหมือนมีอะไรบางอย่างควบคุมทั้งกายและใจ เขาอันตรายเกินไปสำหรับผู้หญิงจริงๆ

“ฉันว่า ฉันต้องไปแล้ว” ชายหนุ่มพูดขึ้นและดูเหมือนจะพึมพำอะไรซักอย่างก่อนจบประโยคสุดท้าย ขาเริ่มที่จะอ่อนแรงแต่ยังคงทรงตัวไว้ได้ก่อนจะเดินหันหลังกลับ พลางปัดปอยผมเดินก้มหน้าไป

นี่เขาทำอะไรลงไปกัน เขาไม่ควรจะทำให้เธอเผลอใจไปกับเขามากกว่านี้ แต่เวลาที่เขาอยากจะผลักไสเธอออกไป มันกลับส่งผลในทางตรงกันข้าม เมื่อเขาต้องการเธอมากกว่าสิ่งอื่นใดเป็นร้อยเท่าเท่าขนาดนี้มาก่อน

แอลคิดในใจพลางลองตระหนักถึงคำพูดของหญิงสาวที่ว่าก่อนหน้านี้เขาไปพบเธอที่ร้านหนังสือที่ใดสักที่หนึ่งที่เธอยังไม่เอ่ยถึงบอกเขาก่อนแต่ดังนั้นเขาจึงก้าวเท้าเพื่อออกไปจากที่ที่เพิ่งเกิดเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดกับเขาและเธอไป

ใบหน้าของเธอวนเวียนอยู่ในหัวเขาตลอดเวลาจนแทบจะไม่รู้ตัวเลยว่าเขาเดินผ่านอะไรมาบ้างซึ่งห่างออกจากตัวเมืองเยอะพอสมควรพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังตึกร้างเก่าๆทรุดโทรมที่ถูกทิ้งไว้มานานมากแล้ว แถวๆทางตะวันออกของเท็กซัส

ร่างสูงทรุดตัวลงนั่งบนบรรไดที่มีฝุ่นเขรอะพร้อมกับหยากไย่ที่ระโยงระยางไปทั่วทุกบริเวณที่เขาเดินผ่านมันมา มันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับนิโคลแน่ๆ ร้านหนังสือ การปรากฏตัวแปลกๆของเขา เขาควรจะฟังคำสั่งท่านลูคัสและไม่ควรเปิดใจตัวเองให้โหยหาแต่หญิงสาวที่มีอิทธิพลต่อเขามากขนาดนี้

“มันยากที่จะฝืน” จู่ๆเสียงของไรอันดังขึ้นเหนือหัวเขา

“ทั้งนายและเอ็ดเลย” ไรอันยังคงพูดต่อและเหม่อมองออกไปยังแสงไฟที่สว่างไสวจากข้างในเมือง ตัวของเขาที่นั่งแกว่งขาไปมาอยู่บนฝ้าเพดานที่เหลือแต่เค้าโครงของมันเท่านั้น

“เราควรจะออกจากเมืองนี้” การตัดสินใจที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ของแอลทำให้ไรอันละสายตาจากวิวตรงหน้าก้มมองดูเขาที่กำลังนั่งจ้องมือตัวเอง

“เราต้องตามแผนที่วางไว้  อยู่ห่างๆเธอคนนั้นซะ นายมีศัตรูตัวฉกาจของเมืองนี้ไปแล้ว เธอไม่จำเป็นที่จะต้องมาสร้างความปั่นป่วนใจนาย” เขาพูดเพื่อเตือนสติเขาก่อนจะกระโดดลงมาจากที่ดังกล่าว

ตึก ไรอันยื่นมือมาตรงหน้า แอลเงยหน้าขึ้นสีตาหลายเฉดสีของเขาค่อยๆจางหายไปก่อนจะแทนที่ด้วยดวงตาสีฟ้าดังเดิมพร้อมกับจับมือไรอันดึงตัวเองลุกขึ้น

“ฉันว่านายคงหิวแล้ว” รอยยิ้มของหนุ่มผู้มีพลังที่แปลกประหลาดอย่างไรอันฉายแววถึงความเจ้าเล่ห์ก่อนจะวิ่งนำเขาออกไปด้วยความเร็วสูงแอลสะบัดความคิดที่กวนใจเขาออกไปก่อนจะวิ่งตามไรอันไปตรงดิ่งเข้าป่า เมื่อเรื่องมันดำเนินมาขนาดนี้ ฉะนั้นเขาควรจะหยุดมันซะ แล้วเดินหน้าทำตามภารกิจอย่างเต็มตัว

Hell pub.
สองหนุ่มแวมไพร์หยุดอยู่ตรงหน้าสถานบันเทิงที่สร้างขึ้นมาให้กับพวกมนุษย์กลางคืน ซึ่งเวลาตอนนี้ก็เข้าสู่สองทุ่มเศษๆเหล่านักท่องราตรีต่างพากันเดินทางมาสังสรรค์

ณ สถานที่แห่งนี้และดูเหมือนมีแต่คนเถื่อนทั้งนั้นเท่าที่พวกเขาสังเกต รถที่ถูกแต่งด้วยลวดลายต่างๆหลากสีสันจอดเทียบท่าบริเวณลานจอดบางคันก็จอดลึกเข้าไปหน่อยอย่างเช่นในป่าเป็นต้น

“กินแบบบุฟเฟต์เลยละ” ไรอันเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับมีสายตาที่เปลี่ยนไปเมื่อสองเท้าของเขามุ่งหน้าไปยังหน้าประตูที่มีคนเฝ้าเป็นสาวผิวสีที่แต่งตัวเปิดเผยหรือเรียกว่าน้อยชิ้นพร้อมกับมีกัญชาคาบอยู่ในปาก ริมฝีปากมีรอยคล้ำจากการสูบยาบ่อย

หมับ ไหล่ของไรอันถูกกระชากด้วยมือของแอลซึ่งมีสายตากังวลกับสถานบันเทิงแห่งนี้ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างในอาณาเขตแห่งนี้ และเขามั่นใจได้เลยว่ามันคงเป็นความรู้สึกในแง่ลบแน่ๆ

“มันมีบางอย่าง เราควรกลับ”

“เฮ้ อย่าเครียดไปหน่อยเลยน่า ที่แบบนี้นายจะรู้สึกยังไงก็ช่างแต่มันคือสวรรค์ของอาหารเลยล่ะ” ไรอันยังดื้อดึงไม่เชื่อในคำพูดของแอลเลยซักนิด

“ไม่ มันอันตรายเกินไปสำหรับเรา และเราไม่รู้เลยว่าในนั่นอาจจะมีบางอย่างที่เราไม่ควรไปยุ่ง” แอลยังคงยืนยันคำพูดเดิมเพราะเชื่อในสิ่งที่เขารู้สึก

“โอ้ว แม่ยอดยาหยีของนายมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ด้วยแฮะ”
แอลเหลือบสายตาไปมองตามที่ไรอันบอกแต่ไม่พบอะไรถึงจะรู้ได้ว่าเขาโดนหลอก เมื่อเขาหันกลับมาจึงได้รู้ว่าเป็นไปตามที่คิดไว้จริงๆเพราะไรอันหายไปแล้ว

“อย่างนี้ มีหวังได้ส่งกลับค่ายแน่ๆ” แอลบ่นพึมพำพลางเดินเข้าไปผ่านคนเฝ้าประตูที่จ้องมองเขาด้วยความหลงไหลมาอย่างง่ายดาย

เมื่อความรู้สึกของเขาที่มีอคติกับสถานที่แห่งนี้มันส่งผลต่อเขาอย่างรุนแรงราวกับสัญญาณเตือนบางอย่าง พร้อมกับไรอันที่มีกริยาที่แตกต่างไม่เหลือเค้าของคนเดิม ทำให้แอลคิดว่าคงมีบางอย่างพยายามที่จะเล่นงานเขาไม่มีเพียงหนึ่ง อาจจะมีนับไม่ถ้วนซึ่งเขาไม่อาจรู้ได้ เขาควรจะทำยังไงดีนะชายหนุ่มคิดทุกสิ่งรอบด้านก็ดับลง!!!

ท่ามกลางห้องโถง มีขนาดความกว้างมหาศาลเสียงอึกทึกจากเสียงเพลงข้างบนหัวยังคงดังต่อเนื่องไม่รู้จบ แสงไม่เคยลอดผ่านเข้าในนี้ได้เลยสักนิด ความมืดมิดที่เหมือนเป็นตัวแทนแห่งความชั่วร้ายยากที่จะเทียมทาน

เหล่าผู้คนที่มีฮู้ดปกปิดใบหน้าต่างยืนห้อมล้อมกันเป็นวงกลมพลางมีน้ำเสียงที่แหบแห้งดวงตาเป็นสีเทาทั้งดวงชุดผ้าคลุมสีดำมืดหม่นของพวกเขาต่างประกาศความน่ากลัวออกมาอย่างล้นหลาม

เสียงโซ่ตรวนที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ สองชายหนุ่มผู้ที่มีสีผิวขาวซีคผิดมนุษย์กำลังดิ้นทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดเพราะเมื่อพวกเขาขยับตัวทุกครั้งมันจะทำเนื้อหนังที่ถูกโซ่ดังกล่าว บาดผิวของพวกเขาจนเห็นถึงเนื้อได้ใน

แต่เพียงเวลาไม่นานมันก็คืนสภาพราวกับไม่ได้เกิดอะไรขึ้น แต่มันทำให้พวกเขาทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จบ เสียงฝีเท้าดังก้องกังวานทุกครั้งที่ก้าวเดินของผู้ที่มีชุดผ้าคลุมเดินวนเพื่อดูเหยื่อที่มีความพิเศษยิ่งกว่ามนุษย์หากลองสังเกตดูแล้ว จะพบเห็นรอยยิ้มตรงบริเวณมุมปากที่แห้งผาก

“พวกเจ้านี่มันรนหาที่ตาย” เสียงแหบแห้งทรงพลังดังมาจากหญิงที่เดินสำรวจสองหนุ่มแวมไพร์ที่ถูกแขวนไว้บนพื้นโดยสายโซ่ที่พันไว้จากเพดานมองสูงขึ้นไปไม่สามารถรู้ได้เลยว่าที่มาของโซ่ที่ถูกฉโลมด้วยสิ่งที่บั่นทอนร่างกายสองหนุ่มแวมไพร์เช่น สมุนไพรที่แวมไพร์เกลียดนักเกลียดหนา

“ปีศาจต่างถิ่นอย่างเจ้าไม่ควรได้เหยียบย่างเข้ามาในเมืองนี้” นางยังคงพูดต่อก่อนจะก้มหน้าลงมาเพื่อพินิจใบหน้าสุดแสนจะน่าหลงไหล  เหมือนมีคลื่นรัศมีความเชิญชวนที่สามารถทำให้เหยื่อทุกรายโดยเฉพาะผู้หญิงทุกคนถูหลอกล่อแต่นางกลับยิ้มกริ่ม        พลางยืดตัวขึ้นและเดินไปนั่งบนบัลลังก์ที่ถูกทำด้วยเถาวัลย์ขนาดยักษ์ที่เลื้อยขดเป็นตัวพันกันเมื่อหญิงดังกล่าวทรุดตัวนั่งลง

“เจ้าอย่าคิดว่า ใบหน้าของพวกเจ้าจะใช้ประโยชน์ไปได้ซะหมด ปีศาจเยี่ยงเจ้าควรจะกลับลงหลุมไปเสีย”

นางโบกมือเรียกข้ารับใช้ที่รีบเดินเข้ามานั่งคุกเข่าทำความเคารพและฟังเสียงคำสั่งของนาง ก่อนจะลุกขึ้นเลือนหายไปราวกับอากาศธาตุ

“..ปล่อย….เรา….” แอลเค้นเสียงของตัวเองมาจากลำคอจนสำเร็จ และพยายามใช้สายตาที่เลื่อนลอยของเขาที่มีความพร่ามัวเข้ามาแทนที่มองเงาผู้ที่มีใบหน้าซ่อนอยู่ใต้ฮูดสีดำสนิท

“ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ เจ้าคิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเชียวรึ ปีศาจเช่นเจ้าควรกลับหลุมถึงแม้เจ้าจะเพิ่งตายก็ตาม”

“แอล” ไรอันพึมพำพลางมองร่างเพื่อนของตนที่ถูกห้อยโตงเตงไม่ต่างกันและมีกลิ่นเนื้อไหม้จากการเสียดสีของข้อเท้าที่ถูกพันไว้ด้วยโซ่ แขนทั้งสองข้างถูกมัดไว้ข้างหลังในสภาพห้อยหัว ก่อนจะพูดว่า “ฉันขอโทษ”

“ช่างมันเถอะ” แอลตอบกลับพลางพยายามหาทางคิดว่าควรจะทำอย่างไรดี  สัญญาณแห่งความตายที่เขามักมีความรู้สึกทุกครั้งที่เดินไปไหนก็ตามแลดูเหมือนผู้คนเหล่านี้จับตามองดูพวกเขามานานพอสมควร ใบหน้าเหยเกของเขาบ่งบอกได้ถึงความเจ็บแสบจากสิ่งที่พันขาและแขนพวกเขาไว้ตอนนี้มันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน

“พวกท่านจับตามองพวกเรา  ติดตามพวกเราไปทุกที่ ทำไปเพื่ออะไร เราไม่เคยทำอะไรให้พวกท่านเดือดร้อนเลยด้วยซ้ำ”

เสียงหึของหญิงนิรนามดังขึ้นในลำคอ ก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเจ้าเปล่า……. แต่ผู้สร้างของเจ้ามันทำไว้เยอะจนไม่น่าให้อภัย…….นายของเจ้ามันช่างน่ารังเกียจและข้าอยากจะแก้แค้นเพื่อคนของข้า…..”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่