The Vampire Powers. [บทที่ 20]

ร่างชายคนหนึ่งถูกใครบางคนที่กำลังก้มลงกัดดูดเลือดจากซอกคอของเขาด้วยความทรมาน ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้เขาเริ่มหมดลมหายใจเฮือกสุดท้ายเมื่อของเหลวทั้งหมดในร่างกายของเขาได้แห้งเหือดหายไปพร้อมกับทิ้งร่างซีดๆของชายผู้เคราะห์ร้ายจากปีศาจกระหายเลือดตนนี้

ร่างปีศาจร้ายผุดลุกขึ้นยืน ท่ามกลางความสกปรกจากตรอกลึกๆระหว่างตึกโทรมๆภายในตัวเมืองที่กำลังเข้าสู่การหลับใหล เลือดที่ปนไปกับน้ำลายไหลเรื่อยลงมาตามลำคอใบหน้าที่ยังเยาว์วัยของฆาตกรเหลือบมองผู้มาใหม่ที่แต่งตัวด้วยชุดหนังสีดำมือถือหน้าไม้ สายตาแสนจะเย็นชาจ้องโต้กลับมา

“รู้ไหม ว่าแกทำให้ฉันเสียเวลากับแกมากแค่ไหน” บุคคลปริศนาพูดเสียงต่ำกับแวมไพร์ที่เพิ่งฆ่ามนุษย์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรไป รองเท้าบู๊ทเริ่มขยับเข้าหาพร้อมกับยกอาวุธขึ้นเล็ง

เสียงคำรามของแวมไพร์ดังกล่าวพุ่งเข้าใส่บุคคลปริศนาพร้อมกับกระโดดยันกำแพงเด้งตัวเข้าใส่ แท่งไม้พุ่งเฉียดผ่านไปโดยไม่ถูกตัวมันเลย เข้ายกอาวุธขึ้นเรื่อยๆเมื่อมันลอยข้ามหัวเขาไป พลางพลาดเป้าก่อนเท้ามันจะแตะพื้นเขายิงทะลุผ่านหน้าอกมันได้อย่างเฉียดฉิว ส่งผลให้ร่างของมันกระแทกลงพื้นถนนไถลไปตามทาง บุคคลปริศนาเดินเข้าหาเพื่อเช็คร่างที่แน่นิ่งเพื่อความแน่ใจ

“เจอตัวหนึ่งแล้ว” ในจังหวะที่เขายกโทรศัพท์เครื่องหรูขึ้นมากดรับสายโทรเข้า ร่างที่นอนแน่นิ่งกลับดันกระตุก

ย้ากก มันกระโจนเข้าใส่ตัวเขาพร้อมกับทำให้ฮูดที่ปิดใบหน้าต้องเลิกออกเผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มที่มีรอยบาดแผลบาดเป็นทางยาวระหว่างแก้มขวา สีผมดำสนิทพร้อมกับริมฝีปากหนาที่กำลังขบเม้มแน่นเมื่อแวมไพร์ที่กำลังกลายพันธุ์ยื่นหน้าเข้ามาเพื่อที่จะกัดเขา
ตุบ เท้าที่ใช้ถีบตัวแวมไพร์ดังกล่าวซื้อเวลาเพียงไม่กี่วิเมื่อมันโผเข้าหาตัวเขาอีกครั้ง โทรศัพท์ที่ตกอยู่บริเวณใกล้ตัวก็มีปลายสายบางคนที่ส่งเสียงร้องเรียกเขาอย่างร้อนรน

หนุ่มปริศนาส่งเสียงเมื่อเขาใช้แขนดันหน้าของมันออกไป ก่อนจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดพลิกตัวเองให้อยู่เหนือลำตัวของมันก่อนจะกระชากแท่งไม้ออกจากรองเท้าที่เสียบไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินลงบนตำแหน่งหัวใจ

ร่างแวมไพร์ตนนั้นแตกออกเป็นชิ้นๆสีแดงฉาน พร้อมกับไฟที่ลุกไหม้เพียงเล็กน้อย ลมหายใจหอบของเขาดังถี่ยิบก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาพูดอีกครั้ง
“โทษทีด้วยนะ ฉันเก็บมันไว้ทดลองให้เธอไม่ได้” ชายหนุ่มกรอกเสียงพูดพลางมีเสียงหอบเล้กๆน้อยๆ

“คลินท์ นายต้องรีบกลับโดยด่วน ไม่งั้นพวกหน่วยวีเจอเราแน่” เสียงผู้หญิงตอบกลับมาด้วยคำสั่งก่อนจะวางสายไป
ชายหนุ่มผู้มีนามว่าคลินท์ปาดเลือดของแวมไพร์ออกไปจากตัวพลางสะบัดมือด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะเดินข้ามซากไปเอาเครื่องมือทำความสะอาดรวมถึงเก็บร่างไร้วิญญาณของเหยื่อแวมไพร์กระหายเลือดปลิดชีพอย่างเลือดเย็น

“ฉันต้องทำงานให้ไอ้พวกตัวเย็นไปถึงเมื่อไหร่กัน” คลินท์เอ่ยปากบ่นก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานเพื่อเก็บกวาดที่เกิดเหตุ
องค์กรนักล่าแวมไพร์

ท่ามกลางพนักงานในบริษัทที่ต่างกำลังนั่งอยู่ต่อหน้าจอคอมพิวเตอร์ คลินท์เดินเข้ามาภายในตัวอาคารตึกหลังใหญ่ที่มีฉากบังหน้าเป็นสำนักงานตำรวจ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเป็นไปตามสมัยนิยมที่ไม่เน้นความสะดุดตาและพนักงานที่นี่ก็ไม่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไปแต่มีเพียงเป้าหมายเป็นแวมไพร์ที่ผุดขึ้นมายิ่งกว่าเชื้อโรคอยู่ทุกวี่ทุกวัน

เขาอยู่แผนกภาคสนามต้องออกตระเวนล่าจำพวกที่กลายพันธุ์ซึ่งอาจจะทำให้ประชากรมนุษย์ลดลงเนื่องจากโลกในยุคสมัยนี้ต่างก็มีกล้องเครื่องไม้เครื่องมือสื่อสารต่างมีไว้ให้ใช้สะดวกสบาย ไม่เหมือนเพื่อนร่วมโลกอย่างแวมไพร์เป็นต้นที่ต้องอยู่ยากและรวมไปถึงเผ่าพันธุ์อื่นๆที่ยังคงดำรงคงกะพันมาจนถึงวันนี้ซึ่งมันค่อนข้างไม่แตกต่างไปจากมนุษย์เพราะพวกเขาเองก็ต้องมีการควบคุมเผ่าพันธุ์ของตนดังนั้นองค์กรก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลนี้ เพื่อความสงบสุขของกันและกัน

“ไง ไอ้น้อง” เพื่อนร่วมงานที่เป็นไปพร้อมๆกันกับการเป็นเพื่อนสนิทเอ่ยทักเขา รูปร่างอ้วนท้วมใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวที่เกิดจากความเครียดและแว่นตาเป็นแนวทรงกลมทำให้เขาดูมีภูมิฐานแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความขี้เล่น

“ถ้าดูจากสภาพรวมๆของฉันแล้ว….ก็สบายดี”คลินท์พูดเป็นนัยยะกึ่งประชดพลางเท้าแขนวางลงตรงกระจกที่ขวางกั้นโต๊ะทำงานของใครของมันเพื่อความส่วนตัวและสมาธิในการทำงาน

“แหม ยังคงชอบแขวะกันเหมือนเดิมเลยนะ ถ้าเกิดท่านเบื้องบนรู้เข้านายคงเละเป็นเนื้อระเบิดแน่”

“หุบปากไปเลย ชัค” คลินท์พูดออกมาอย่างหงุดหงิดพลางยืดตัวขึ้นเต็มความสูงเมื่อเห็นเลขาส่วนตัวของนายใหญ่เดินเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้านิ่งขรึม

“เรามีเรื่องต้องคุยกัน” เธอคนนั้นสวมเสื้อผ้าด้วยชุดทำงานในออฟฟิศที่ราบเรียบผมถูกมัดเกล้าขึ้นเป็นวงกลมก่อนเขาจะพยักหน้ารับทราบเดินตามหลังไป
ทั้งสองต้องเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องของผู้ริเริ่มหรือเจ้านาย ข้อห้ามอย่างหนึ่งสำหรับเจ้านายของพวกเขานั้นต่างรู้กันดีว่าถ้าไม่สำคัญจริงๆก็ไม่สามารถเข้ามาได้เพราะนายใหญ่ มีความเป็นส่วนตัวและต้องออกเดินทางบ่อยเป็นประจำเพื่อไปเกลี้ยกล่อมหาแวมไพร์ฝีมือดีเข้ามาทำงานในองค์กรหน่วยวีที่มีหน้าที่ออกล่าแวมไพร์ที่ทำตัวออกนอกครอกและเป็นอันตรายต่อมนุษย์

“เชิญ” เลขากล่าวพลางผายมือเมื่อได้กดรหัสที่ค่อนข้างซับซ้อนเปิดเขาเข้าไป
คลินท์รู้เสมอว่านายใหญ่ผู้มีพระคุณของเขานั้นมีนิสัยเป็นอย่างไร ถ้าหากเขาไม่ได้ถูกชักนำเข้ามาทำงานโดยทั้งๆที่ความจริงเอง เขาเพิ่งถูกกลายสภาพเป็นแวมไพร์เต็มๆตัวเมื่อหลายปีก่อน เขาก็คงกลายพันธุ์ไปเป็นพวกข้างถนนไล่กัดผู้คนที่ไม่รู้เรื่อง และอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาอยากเข้ามามีส่วนร่วมในองค์กรคือต้องตามล่าหาคนที่ทำให้เป็นแวมไพร์ ชายหนุ่มผมดำสีรัตติกาลรีบสะบัดความคิดเหล่านั้นออกไปก่อนจะเดินเข้ามายังห้องทำงานที่ค่อนข้างมืดสนิท มีแสงสลัวจากภายนอกเพียงเล็กน้อย

“นั่นคือข้อมูลทั้งหมด งานชิ้นใหญ่ที่นายต้องใช้เวลาในการจัดการ” เสียงทุ้มราบเรียบที่ไร้ความรู้สึกพูดขึ้นท่ามกลางแสงสลัวเขานั่งอยู่บริเวณโต๊ะทำงานก่อนจะเปิดไฟเพิ่มระดับความสว่าง

“ท่านลูเซียส แล้วเรื่องของข้า”

“อย่ากังวลไป ยังไงซะเจ้าก็จะได้แก้แค้น” นายใหญ่พูดขัดขึ้นเมื่อยกยอดงานที่เขาต้องการไปมานานแรมปี

“ขออภัยนายท่าน” เขายื่นมือไปหยิบแฟ้มดังกล่าวมาพลางโค้งเล็กน้อยก่อนจะหันตัวเดินออกจากห้องไปแต่ทว่า

“ถ้าหากเจ้าคิดที่จะทำอะไรแผลงๆ จงรู้ไว้ ว่าข้ายังคงจับตามองเจ้าอยู่” ประโยคเหล่านั้นทำให้ชายหนุ่มนักล่ารู้สึกร้อนๆหนาวๆพลางบังคับเท้าของตัวเองก้าวเดินออกไปจากห้องที่เริ่มจะกระจายรังสิอำมหิตเต็มไปหมดเสียแล้ว

นายใหญ่ไม่เคยที่จะละสายตาจากเขาเลยสักนิด เขารู้ว่าการเอ่ยปากเตือนคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่เพราะท่านลูเซียสไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซากถ้าหากว่าลองเตือนแล้ว เขาคงจะเละเป็นระเบิดเนื้ออย่างที่ชัคพูดไว้กับเขา เมื่อพ้นออกจากห้องของนายใหญ่ทุกย่างก้าวของเขาไม่ต่างจากการละเมอ เขาควรจะทำอย่างไรเมื่อคนที่คอยช่วยเหลือเขาในการตามล่าจะยังคงไม่เป็นอะไร เพราะเขาคิดว่าท่านลูเซียสเลือดเย็นพอที่จะฆ่าคนที่มาให้ความร่วมมือกับคลินท์

“เฮ้ ได้โปรเจ็คอะไรมาเพื่อน” ชัคที่นั่งทำงานรอระหว่างที่คลินท์เดินออกมาเอ่ยปากถามด้วยความตื่นเต้นแต่ต้องทำด้วยสีหน้ามึนงงเพราะอีกฝ่ายเดินผ่านเขาไปราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

“อะไรของหมอนั่นว่ะ” ชัคพึมพำพลางรัวนิ้วบนแป้นพิมพ์หันเหไปทำงานตรงหน้าของตัวเองต่อ

โรงเรียนมัธยมจอห์นพีท
สาวผมบลอนด์แซมน้ำตาล พร้อมกับมีแววตาที่น่าค้นหาถึงแม้ลุคภายนอกของเธอจะน่าสนใจมากแค่ไหนก็ไม่มีใครกล้าที่จะมายุ่งกับผู้หญิงของไซม่อนผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโรงเรียนไม่ว่าทางครอบครัวจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสถาปนาโรงเรียนนี้ขึ้นมา หรือร่วมลงทุนเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทใหญ่โตต่างๆนั่นเป็นเพียงส่วนเล็กๆน้อยๆของครอบครัวไซม่อนที่ไม่อาจจะมีใครกล้ามาแหยมกับพวกคนของเขาได้ ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากแก๊งยากูซ่าเท่าไหร่แต่เด่นตรงที่ไม่สร้างปัญหาให้ใคร

นิโคลยืนชะเง้อชะแง้มองหาคนที่เธอต้องการคุยด้วยเพราะต้องการที่จะรู้ว่าพวกเขาถึงรีบกลับไปจากงานเลี้ยงเล่นเอาซะเธอเดินตามหาซะทั่วงานเนื่องจากกลัวว่าจะมีเรื่อง ร่างหญิงสาวยืนกระชับสายเป้กระเป๋าอยู่หน้าทางเข้าอาคารเรียนที่เริ่มมีกลุ่มนักเรียนต่างเดินกันขวักไขว่มากมายจนแทบจะทำให้เธอตาแทบลายเป็นก้นหอย ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเมื่อเห็นร่างสูงที่คุ้นตาเป็นอย่างนี้กำลังเดินก้มหน้าเดินโดยไม่สนใจว่าจจะชนใครบ้างหรือเปล่า

“เฮ้ นายหายไปไหนมา” เธอถามคำถามเมื่อเขาเดินผ่านไปราวกับว่าเธอเป็นอากาศธาตุไปเสียอย่างนั้น

“ฉันเปล่า” เสียงเย็นชาจากผู้ถูกถามแสดงออกมาราวกับไม่รู้สึกถึงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้นทำให้นิโคลแทบเลือดขึ้นหน้า

“เฮ้” เธอตวาดเมื่อเขายังคงเดินไม่หยุดโดยไม่สนใจเธอตามเดิม ทำให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอก้าวเท้าแทบไม่ทันร่างสูง

“หยุดนะ” แม้ว่าวิธีการที่เธอปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นสิ่งไร้ค่าแต่มีหรือที่หญิงสาวจะปล่อยไปง่ายๆ

หมับ เธอใช้มือกระชากแขนของเขาเดินฝ่าผู้คนออกมา ยืนอยู่ใกล้ๆบริเวณตู้ล็อกเกอร์ที่ไร้ผู้คนเนื่องจากมีคนเดินเข้าห้องเรียนกันไปหมดแล้ว

“ทำไมต้องหลบหน้ากันด้วย”

“โอเค เมื่อคืนฉันมีธุระนิดหน่อย และต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เธอกังวล”

“ก็แค่เนี่ย ชอบทำให้ฉันรำคาญอยู่เรื่อย” นิโคลดูโล่งใจมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายได้บอกเหตุผลของเขา

รอยยิ้มผุดขึ้นที่ใบหน้าสวยหวานซ่อนเปรี้ยวของหล่อน ซึ่งเธอแทบจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าความรู้สึกยามชายหนุ่มมองเธอเป็นเช่นไร เธอพยักพเยิดว่าควรจะเข้าห้องเรียนได้แล้วก่อนจะเดินนำเขาพลางหันมามองเป็นระยะว่าเขาเดินตามมาจริงๆ

การเรียนวันนี้ทั้งวันเป็นไปตามอย่างธรรมดา สองหนุ่มสาวที่ต่างสนใจกับสิ่งที่คุณครูฟังพลางแอบลอบมองฝ่ายตรงข้ามบ้างเป็นระยะซึ่งทั้งสองคนต่างรู้ดีว่ากำลังทำเรื่องที่ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก แอลยิ้มบริเวณมุมปากเมื่อชีวิตของเขาเริ่มมีสีสันเพราะผู้หญิงคนนี้ที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่ให้กับเขาอย่างจริงใจ ต่างไปจากนิโคลที่สงสัยเรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มที่มีความน่าค้นหาอยู่ตลอดเวลาซึ่งนั่นทำให้ผู้หญิงเบื่อโลกอย่างเธอสนใจผู้ชายคนนี้มากขึ้นและสนใจใคร่รู้แทบจะทุกครั้งเมื่อมีใบหน้าของเขาโผล่ขึ้นมาในความคิด

“เอ่อ โทษที” นิโคลพูดเมื่อมือเผลอไปโดนอีกฝ่ายขณะพยายามหยิบหนังสือที่ครูแจกมาซึ่งเป็นวรรณกรรมเลื่องชื่อ ไว้สำหรับศึกษาการใช้ภาษาในการเขียนของคนในยุคนั้นเพราะตอนนี้พวกเขากำลังเรียนเกี่ยวกับวรรณคดีอังกฤษที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการอ่านกับเรื่องราวที่ต่างยุคต่างสมัย

เสียงกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนนิโคลที่กำลังจะเก็บสมุดบันทึกใส่กระเป๋าต้องกวาดสายตามองหาแอลที่หายไปเร็วยิ่งกว่าอะไรดีเมื่อลองมองไปทางต้นประตูทางเข้าแต่ก็ไม่เห็น

หญิงสาวสะพายกระเป๋าเดินออกมาคนสุดท้าย ก่อนจะรีบเดินไปยังหน้าโรงเรียนที่มีคนพลุ่งพล่านเห็นเพื่อนสาวทั้งสองวิ่งมาโผเข้ากอดเธอซึ่งเรเนสเป็นคนสุดท้ายที่ถอนกอด

“หน้าเคร่งเครียดมาเชียว” โรสพูดเมื่อเห็นความแปลกไปของเพื่อนรัก

“ใครจะยิ้มได้ตลอดเวลาละ จริงไหม” เรเนสผสมโรงเมื่อเดินเคียงข้างเรียงกันสามคน

“เปล่า มันก็แค่เรื่องงี่เง่าน่ะ”

“อู้ว กับหนุ่มคนใหม่ที่เธอหมายปองหรือเปล่า” โรสเล่นซะจี้จุดของเธอจนได้

“หุบปากไปลย” นิโคลพยายามทำหน้าให้เป็นปกติที่สุดเพื่อซ่อนความรู้สึก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่