ผม : เฮ้ย ช่วงวันหยุดยาวปลายเดือนกรกฎาคม ว่าจะไปเที่ยวมาเลเซียว่ะ
เพื่อน :จะไปปีนังด้วยปะ
ผม :ไปดิ๊ๆ ไปตั้งห้าวัน ไม่ไปปีนังได้ไง
เพื่อน :งั้น ก็จัดไปปีนังวันสุดท้ายเลยสินะ จะได้นั่งรถไฟกลับไทยได้เลย
ผม :มันมีรถไฟจากโน่นมาไทยด้วยหรอวะ.............
เพื่อ :เออ จะหลอกเพื่อ.................
ผม :คือ ซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับจากกัวลาลัมเปอร์ไปแล้วอะ เห็นมันลดอยู่

ละ...................
เพื่อน :.......................................................................................
ผม :.........................................................................................
เพื่อน :......................................................................................
ผม :ไม่ได้หลอกจริงๆใช่มั้ย
เพื่อน : เออ!!!!!!!!
ข้อเสียของความโลภ กดซื้อมาก่อนข้อมูลไม่มี == หลังจากคุยกับเพื่อนเสร็จก็ไปซื้อหนังสือมาเล่มนึง นับเอาจำนวนสถานที่ๆอยากไปแล้วเอาจำนวนวันหารเอาโต้งๆ หาข้อมูลด๊อกแด๊กๆ รู้ตัวอีกที จะเดินทางแล้วนี่หว่า!!!!!!!
ก่อนที่จะไปต่อขอเริ่มเกริ่นนำข้อความที่ก๊อปมาจากกระทู้ที่ไปญี่ปุ่นครั้งที่แล้วมาทั้งดุ้นเลยละกัน
"สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่านี่ไม่ใช่กระทู้ไกด์ไลน์การท่องเที่ยว
ญี่ปุ่นมาเลเซียแน่นอน เนื่องจากมันเต็มไปด้วยความมั่วซั่วและไม่มีหลักการของผม จุดประสงค์แค่อยากให้คนที่กำลังลังเลจะไปเที่ยว
ญี่ปุ่นมาเลเซียแต่ยังกล้าๆกลัวๆด้วยเหตุผลต่างๆนา ไปเถอะครับ ความรู้ด้านภาษา
ญี่ปุ่นติดลบอังกฤษแค่ผ่านตม.อย่างผมยังเอาตัวรอดข้างๆคูๆกลับมาได้ แล้วท่านจะได้อะไรที่มันสุดๆกลับมาหลังจากทริปนี้ครับ"
DAY 1: 29 กรกฎาคม 2558
หลังจากกึ่งวิ่งกึ่งบินเคลื่อนย้ายร่างกายจากที่ทำงานที่อยู่แถวฝั่งธนมายังสนามบินดอนเมืองได้แบบตื่นเต้นๆเพื่อให้มาทันเครื่องออกตอนหกโมงยี่สิบ
ปรากฏว่าเครื่องดีเลย์จ้าาาาา เป็นผลทำให้กว่าจะถึงกัวลาลัมเปอร์ เที่ยงคืน!!!!!!

หลังจากมาถึงแล้วเดินออกมาจากสนามบินก็จะพาเดินไปดู Tune Hotel โรงแรมของเครือ Air asia ที่อยู่ใกล้สนามบินโคตรๆ มีทางเดินเชื่อมจากตัวสนามบินไปเลย ราคาถ้าจำไม่ผิดหลักพันต่อคืน

แต่!!!!!!!!พาไปดูไปงั้นแหละ เพราะคืนนี้เราไม่ได้พักที่นั่น(ผ่างๆๆๆตึกโป๊ะๆๆๆ) ไม่แคร์ว่ารถเข้าเมืองจะหมดหรือไม่ ห้องน้ำสนามบินจะสกปรกอย่างที่เคยได้ยินรึเปล่า เพราะคืนนี้เราจะนอนสนามบินกันอันอันอันอัน
SukHuarReview (ซุกหัวรีวีว) : KLIA2 (สนามบินนานาชาติมาเลเซีย)

จากรูปเวลาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ ยังพอมีเพื่อนสายฮาร์ดคอที่พร้อมจะนอนเผชิญโชคเป็นเพื่อนเราเยอะอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถามว่าปลอดภัยมั้ย ผมก็ไม่กล้าตอบแทนนะ แต่สำหรับผมมันโอเคในระดับหนึ่งเลยล่ะ(สำหรับผู้ชายเดินทางคนเดียว)
ข้อดี
1. อยู่ใกล้สนามบินโคตรๆ ใกล้กว่า Tune Hotel อีก (กล้าพูด!!!!!)
2. ไม่ต้องกลัวอดตาย มีร้านขายของเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่
3. ห้องน้ำฟรี ่ที่พักฟรี!!!!! โว้วๆๆๆๆ
4. ห้องน้ำ(ชาย)สะอาดกว่าข้างนอกในระดับหนึ่ง แฉะ แต่ไม่ได้ถึงขั้นโสโครก (อ่านคำอธิบายเพิ่มเติมภายหลัง)
ข้อเสีย
1. ไม่มีเตียงนุ่มๆ ไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่ม เอาเข้าจริงๆไม่มีอะไรเลยโว้ยยยยยย มีแต่ม้านั่งที่เห็นตามภาพนั่นแหละ
2. มีความปลอดภัยต่ำกว่าที่นอนแบบมีห้องหับ(แน่นอนล่ะ) นอนกอดทุกอย่างที่เป็นสัมภาระเราซะ ตอนผมนอนกอดกระเป๋านี่ยิ่งกว่ากอดแม่ทั้งชีวิตอีก รัดแล้วรัดอีก รัดจนแทบจะได้กระเป๋าเป็นเมีย
3. ราคาของกินในร้านขายของแพงกว่าข้างนอกเล็กน้อย
4. แอร์ร้อนชิบเป๋ง!!!
เบ็ดเสร็จแล้วสำหรับผมมันก็โอเคนะ ถึงแม้จะดูไม่ปลอดภัยเท่าสนามบินที่สิงค์โปรหรือญี่ปุ่นก็เถอะ(นอนที่สนามบินสิงคโปร์มาแล้วเหมือนกัน ==)
ไร้สาระ
1. น้ำเปล่าที่ผมซื้อกินขนาด 1.5 ลิตร ที่สนามบินราคา 2.8 ริงกิต ในเรื่องของน้ำกินในประเทศมาเลเซียผมแนะนำให้เดินดูหลายๆร้าน เพราะราคาจะค่อนข้างแตกต่างกันมากตั้งแต่ 1.8 ริงกิต ไปจนถึง 3.2 เลยทีเดียว (ร้านโชวห่วยค่อนข้างจะถูก)
2. เบียร์กับบุหรี่โคตรแพง!!!!!! คุณนึกภาพลีโอกับสิงค์กระป๋องเล็กบ้านเราที่ราคามัน 40 กว่าบาท ที่โน่น ราคาอยู่ประมาณร้อย!!!!!!! ให้ตายเถอะ บ่นๆๆๆๆๆงุบงิบๆๆๆๆแล้วก็เดินไปจ่ายตังค์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
กระป๋องเดียวนี่หน้าแทบจะไปจิ้มพื้น ไม่รู้ว่าเพราะง่วงหรือเบียร์มันแรง มึนหนักมาก เมาหนักมาก แต่เป็นเบียร์ดำที่กินแล้วรู้สึกสะใจในระดับหนึ่งเลยล่ะ
3. ว่าด้วยเรื่องของห้องน้ำ ห้องน้ำมาเลเซียเป็นการผสมผสานกันอย่างมีศาสตร์และศิลป์ระหว่างห้องน้ำแบบนั่งยองมีขันราด กับห้องน้ำแบบนั่งชักโครกมีสายฉีด รวมร่างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
กลายเป็นห้องน้ำนั่งยองแบบมีหัวฉีด................................แต่หัวฉีดแบบตัดปลายไม่มีที่กด

ใช้การคอนโทรลจากก๊อกที่อยู่ตรงต้นทางของสายฉีดแทน(ยึดผนัง) คนที่ยังไม่เคยใช้แบบนี้ขอบอกเลยว่ายากนรก!!!! คือถ้ามันจะยากขนาดนี้ ตรูต้องไปสอบใบอนุญาตการใช้สายฉีดก่อนรึเปล่าฟะ (นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ห้องน้ำของมาเลเซียเปียกอยู่ตลอดเวลาก็เป็นด้ายยยยยย)
DAY 2 : กัวลาลัมเปอร์
หลังจากนอนแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นมาก็รู้สึกว่า เฮ้ย หาที่ซื้อตั๋วเข้าเมืองกันเถอะ หันซ้ายหันขวาแบบเลิกลักๆซักพักก็เจอกับ................

ที่ขายตั๋วรถบัสเข้าเมืองจ้าาาาา (ส่วนที่วงไว้เป็นเคาท์เตอร์ขายตั๋วรถบัส ที่เหลือเป็น รถแทกซี่ครับ) ก็เดินจ้ำๆเข้าไปถามหาก็ได้รถเที่ยวตีห้ามาครอบครองด้วยราคา 11 ริงกิต


รถแดงแรงสามเท่าาาาาาาา (ท่ารถอยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์ขายตั๋วครับ)
ระหว่างรอเวลาก็อาบน้ำล้างหน้าให้เรียบร้อยรอขึ้นรถ ซึ่งพอขึ้นรถ เอาท้ายทอยพิงเบาะก็หลับไปเลยแบบทันที นี่มันเก้าอี้สะกดจิตชัดๆ(ก็เล่นนอนไปแค่ สามชั่วโมงที่สนามบิน ==) ช่วงเวลาที่ได้นอนบนเบาะนิ่มๆนี่มันช่างหอมหวานยิ่งนัก แต่อนิจจาความสุขมักมากับเวลาที่แสนสั้น เดินทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าอยู่ที่บ้านนี่คงยื่นมือไปกดเลื่อนนาฬิกาปลุกแบบรัวๆ แต่พอเงยหน้ามาเจอพี่บังหน้าโคตรเข้มคนขับรถแล้วแบบ เอ่ออออ ถึงแล้วใช่มั้ยพี่ ผมลุกก็ได้กั๊บ
หลังจากยืนลังเลว่าจะซื้อตั๋วนั่งกลับไปสนามบินอีกครั้งเพื่อยื้อเวลานอนบนรถดีมั้ยซักพัก เมื่อหันหลังมาเราก็จะพบกับสถานีขนส่งที่ใหญ่ที่สุด(มั้ง)ในกัวลาลัมเปอร์นั่นคือ........... KL Sentralอัลอัลอัลอัล ซึ่งที่นี่เรียกได้ว่า All in one มาก ไม่ว่าจะสถานีรถบัส สถานีรถไฟฟ้า หรือสถานีรถไฟไก่กากุ๊กๆ ก็สามารถมาต่อที่นี่ได้ รวมไปถึงของแรร์ที่ไม่คิดว่าจะมีด้วยซ้ำ.................
หลังจากงึกๆงักๆอยู่ได้ซักพักเราก็จะขึ้นรถไฟฟ้าไปที่สถานี Masjid jamek เพื่อไปจัสตุรัส เมอร์ดกากัน โกวๆ
เมื่อมาถึงแล้วก็เดินออกมาจากสถานี สิ่งที่ทำงานก่อนสมองนั่นก็คือกระเพาะ == เหลียวไปเหลียวมาก็เจอกับบรรยากาศที่คุ้นเคย

นี่มันร้านข้าวราดแกงแบบประเทศเราเลยนี่หว่า โคตรน่ารัก (โดยคุณจะเห็นร้านลักษณะตั้งโต๊ะอย่างนี้ทั่วๆไปในตอนเช้าแถวๆหน้าสถานีค่อนข้างเยอะครับ)
อ่า เอาไงดีวะ หิวก็หิว สั่งก็ไม่เป็น ยืนเก้ๆกังๆซักพัก ก็มีลูกค้าคนนึงเดินเข้ามาเปิดฝาแกงจิ้มๆชี้ๆที่หม้อ.......................เอาวะ!!!! ไอ้หมอนี่กินอะไร ข้าจักลอกมันทุกอย่างเลย....................แต่โอ้ อนิจจา คนขายพูดอังกฤษไม่ได้ เล่นภาษามือกันไปมาจนแทบจะรำฟ้อนเล็บอัดหน้ากันซักพัก เราก็ได้รางวัลของความพยายามมา นั่นก็คือ (แต่ขอบคุณคนขายและลูกค้าคนนั้นมากจริงๆครับ ที่ผมถามทางไปเมอร์ดกาแล้วยังจิ้มๆชี้ๆทางจนผมไปถูกได้)
ห่อข้าวมันไก่ เดี๋ยว!!!!ไม่ใช่!!!!
Nasi lemak

(ชื่อของเจ้านี่มารู้เอาตอนเย็นของวันที่ได้เพื่อนใหม่เป็นคู่รักชาวมาเลเชื้อสายอินเดียมาบอกให้ ตอนเอารูปให้เค้าดู
เลือกจิ้มไปที่ข้าวผัดกับแกงอะไรซักอย่างที่หน้าตาคล้ายๆพะแนงเนื้อ บวกกับคนขายปาดซอสอะไรสีแดงๆโปะมาให้ซึ่งคืออะไรก็ไม่รู้ ได้มาก้อนนึงที่ราคา 3.3 ริงกิต
เมื่อเราเดินมาตามทางที่เค้าบอกซักพักเราก็จะเจอกับ

โครงการบ้านและสวน ไม่ใช่!!!!!
จัตุรัสเมอร์ดกา

วันที่ผมไปเหมือนเค้าจะมีเทศกาลเฉลิมฉลองอะไรซักอย่างแหะ เดินสวนสนามกันพรึ้บพรั้บๆ แต่กระนั้นเลยปล่อยวางเรื่องอื่นไปก่อน เรามาเคลียปัญหาที่อยู่ตรงหน้ากันก่อนดีกว่า นั่นก็คือ มื้อแรกที่น่าจดจำของเรานั่นเอง
เมื่อเปิดมาก็จะพบกับ..................

หน้าตายังกะบ๊ะจ่าง == ให้ตายเถอะ แล้วทำไมมันดูเละเทะอย่างนั้นฟะ สงสัยเป็นผลกรรมที่เดินแกว่งห่อมาตลอดทาง เรียกได้ว่าความประทับใจขณะแรกเห็นติดลบแบบทิ้งดิ่งลงบ่อกันไปเลย แต่เอาเข้าจริงๆนะ โคตรอร่อย!!!!! ข้าวผัดที่มีโทนรสจืดๆและมีกลิ่นของเครื่องเทศอ่อนๆ เข้ากับแกงเนื้อที่มีความเผ็ดและความฉุนของเครื่องเทศแบบพอทำให้กระชุ่มกระชวยได้ เนื้อที่ผ่านการเคี่ยวมาจนได้ที่ พร้อมกับน้ำซอสสีแดงที่มีรสเผ็ดนำมาเป็นตัวชูรสให้เข้มข้นขึ้น แต่ยังไม่กลบรสชาติของสิ่งอื่นไป กับปริมาณที่ทำให้อิ่มแบบพอดีๆสำหรับผู้ชาย มันเป็นอะไรที่เวิร์คมากๆ แนะนำเลยครับ ร้านอยู่ตรงข้ามกับทางออกสถานีรถไฟ ข้ามถนนมาก็จะเจอกับร้าน
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็เดินสำรวจรอบๆจัตุรัสกัน

ST.Marry church

DBKL City Theatre

High Court

Sultan Abdul Samad Building

พิพิธภัณฑ์สิ่งทอ
ตอนหน้า นำเสนอในชื่อตอน....................โครงการถ้ำและสวน (ยังจะไม่เลิกเล่นอีก ==)
[CR] แบกเป้เที่ยวมาเลเซีย(กัวลา ปีนัง มะละกา)คนเดียวสไตล์เพื่อนไม่คบ 5 วัน 5 คืน
เพื่อน :จะไปปีนังด้วยปะ
ผม :ไปดิ๊ๆ ไปตั้งห้าวัน ไม่ไปปีนังได้ไง
เพื่อน :งั้น ก็จัดไปปีนังวันสุดท้ายเลยสินะ จะได้นั่งรถไฟกลับไทยได้เลย
ผม :มันมีรถไฟจากโน่นมาไทยด้วยหรอวะ.............
เพื่อ :เออ จะหลอกเพื่อ.................
ผม :คือ ซื้อตั๋วเครื่องบินไปกลับจากกัวลาลัมเปอร์ไปแล้วอะ เห็นมันลดอยู่
เพื่อน :.......................................................................................
ผม :.........................................................................................
เพื่อน :......................................................................................
ผม :ไม่ได้หลอกจริงๆใช่มั้ย
เพื่อน : เออ!!!!!!!!
ข้อเสียของความโลภ กดซื้อมาก่อนข้อมูลไม่มี == หลังจากคุยกับเพื่อนเสร็จก็ไปซื้อหนังสือมาเล่มนึง นับเอาจำนวนสถานที่ๆอยากไปแล้วเอาจำนวนวันหารเอาโต้งๆ หาข้อมูลด๊อกแด๊กๆ รู้ตัวอีกที จะเดินทางแล้วนี่หว่า!!!!!!!
ก่อนที่จะไปต่อขอเริ่มเกริ่นนำข้อความที่ก๊อปมาจากกระทู้ที่ไปญี่ปุ่นครั้งที่แล้วมาทั้งดุ้นเลยละกัน
"สวัสดีครับ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนเลยว่านี่ไม่ใช่กระทู้ไกด์ไลน์การท่องเที่ยว
ญี่ปุ่นมาเลเซียแน่นอน เนื่องจากมันเต็มไปด้วยความมั่วซั่วและไม่มีหลักการของผม จุดประสงค์แค่อยากให้คนที่กำลังลังเลจะไปเที่ยวญี่ปุ่นมาเลเซียแต่ยังกล้าๆกลัวๆด้วยเหตุผลต่างๆนา ไปเถอะครับ ความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นติดลบอังกฤษแค่ผ่านตม.อย่างผมยังเอาตัวรอดข้างๆคูๆกลับมาได้ แล้วท่านจะได้อะไรที่มันสุดๆกลับมาหลังจากทริปนี้ครับ"DAY 1: 29 กรกฎาคม 2558
หลังจากกึ่งวิ่งกึ่งบินเคลื่อนย้ายร่างกายจากที่ทำงานที่อยู่แถวฝั่งธนมายังสนามบินดอนเมืองได้แบบตื่นเต้นๆเพื่อให้มาทันเครื่องออกตอนหกโมงยี่สิบ
ปรากฏว่าเครื่องดีเลย์จ้าาาาา เป็นผลทำให้กว่าจะถึงกัวลาลัมเปอร์ เที่ยงคืน!!!!!!
หลังจากมาถึงแล้วเดินออกมาจากสนามบินก็จะพาเดินไปดู Tune Hotel โรงแรมของเครือ Air asia ที่อยู่ใกล้สนามบินโคตรๆ มีทางเดินเชื่อมจากตัวสนามบินไปเลย ราคาถ้าจำไม่ผิดหลักพันต่อคืน
แต่!!!!!!!!พาไปดูไปงั้นแหละ เพราะคืนนี้เราไม่ได้พักที่นั่น(ผ่างๆๆๆตึกโป๊ะๆๆๆ) ไม่แคร์ว่ารถเข้าเมืองจะหมดหรือไม่ ห้องน้ำสนามบินจะสกปรกอย่างที่เคยได้ยินรึเปล่า เพราะคืนนี้เราจะนอนสนามบินกันอันอันอันอัน
SukHuarReview (ซุกหัวรีวีว) : KLIA2 (สนามบินนานาชาติมาเลเซีย)
จากรูปเวลาประมาณตีหนึ่งกว่าๆ ยังพอมีเพื่อนสายฮาร์ดคอที่พร้อมจะนอนเผชิญโชคเป็นเพื่อนเราเยอะอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ถามว่าปลอดภัยมั้ย ผมก็ไม่กล้าตอบแทนนะ แต่สำหรับผมมันโอเคในระดับหนึ่งเลยล่ะ(สำหรับผู้ชายเดินทางคนเดียว)
ข้อดี
1. อยู่ใกล้สนามบินโคตรๆ ใกล้กว่า Tune Hotel อีก (กล้าพูด!!!!!)
2. ไม่ต้องกลัวอดตาย มีร้านขายของเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่
3. ห้องน้ำฟรี ่ที่พักฟรี!!!!! โว้วๆๆๆๆ
4. ห้องน้ำ(ชาย)สะอาดกว่าข้างนอกในระดับหนึ่ง แฉะ แต่ไม่ได้ถึงขั้นโสโครก (อ่านคำอธิบายเพิ่มเติมภายหลัง)
ข้อเสีย
1. ไม่มีเตียงนุ่มๆ ไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่ม เอาเข้าจริงๆไม่มีอะไรเลยโว้ยยยยยย มีแต่ม้านั่งที่เห็นตามภาพนั่นแหละ
2. มีความปลอดภัยต่ำกว่าที่นอนแบบมีห้องหับ(แน่นอนล่ะ) นอนกอดทุกอย่างที่เป็นสัมภาระเราซะ ตอนผมนอนกอดกระเป๋านี่ยิ่งกว่ากอดแม่ทั้งชีวิตอีก รัดแล้วรัดอีก รัดจนแทบจะได้กระเป๋าเป็นเมีย
3. ราคาของกินในร้านขายของแพงกว่าข้างนอกเล็กน้อย
4. แอร์ร้อนชิบเป๋ง!!!
เบ็ดเสร็จแล้วสำหรับผมมันก็โอเคนะ ถึงแม้จะดูไม่ปลอดภัยเท่าสนามบินที่สิงค์โปรหรือญี่ปุ่นก็เถอะ(นอนที่สนามบินสิงคโปร์มาแล้วเหมือนกัน ==)
ไร้สาระ
1. น้ำเปล่าที่ผมซื้อกินขนาด 1.5 ลิตร ที่สนามบินราคา 2.8 ริงกิต ในเรื่องของน้ำกินในประเทศมาเลเซียผมแนะนำให้เดินดูหลายๆร้าน เพราะราคาจะค่อนข้างแตกต่างกันมากตั้งแต่ 1.8 ริงกิต ไปจนถึง 3.2 เลยทีเดียว (ร้านโชวห่วยค่อนข้างจะถูก)
2. เบียร์กับบุหรี่โคตรแพง!!!!!! คุณนึกภาพลีโอกับสิงค์กระป๋องเล็กบ้านเราที่ราคามัน 40 กว่าบาท ที่โน่น ราคาอยู่ประมาณร้อย!!!!!!! ให้ตายเถอะ บ่นๆๆๆๆๆงุบงิบๆๆๆๆแล้วก็เดินไปจ่ายตังค์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. ว่าด้วยเรื่องของห้องน้ำ ห้องน้ำมาเลเซียเป็นการผสมผสานกันอย่างมีศาสตร์และศิลป์ระหว่างห้องน้ำแบบนั่งยองมีขันราด กับห้องน้ำแบบนั่งชักโครกมีสายฉีด รวมร่างงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
กลายเป็นห้องน้ำนั่งยองแบบมีหัวฉีด................................แต่หัวฉีดแบบตัดปลายไม่มีที่กด
DAY 2 : กัวลาลัมเปอร์
หลังจากนอนแบบกึ่งหลับกึ่งตื่นมาก็รู้สึกว่า เฮ้ย หาที่ซื้อตั๋วเข้าเมืองกันเถอะ หันซ้ายหันขวาแบบเลิกลักๆซักพักก็เจอกับ................
ที่ขายตั๋วรถบัสเข้าเมืองจ้าาาาา (ส่วนที่วงไว้เป็นเคาท์เตอร์ขายตั๋วรถบัส ที่เหลือเป็น รถแทกซี่ครับ) ก็เดินจ้ำๆเข้าไปถามหาก็ได้รถเที่ยวตีห้ามาครอบครองด้วยราคา 11 ริงกิต
รถแดงแรงสามเท่าาาาาาาา (ท่ารถอยู่ด้านหลังเคาท์เตอร์ขายตั๋วครับ)
ระหว่างรอเวลาก็อาบน้ำล้างหน้าให้เรียบร้อยรอขึ้นรถ ซึ่งพอขึ้นรถ เอาท้ายทอยพิงเบาะก็หลับไปเลยแบบทันที นี่มันเก้าอี้สะกดจิตชัดๆ(ก็เล่นนอนไปแค่ สามชั่วโมงที่สนามบิน ==) ช่วงเวลาที่ได้นอนบนเบาะนิ่มๆนี่มันช่างหอมหวานยิ่งนัก แต่อนิจจาความสุขมักมากับเวลาที่แสนสั้น เดินทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าอยู่ที่บ้านนี่คงยื่นมือไปกดเลื่อนนาฬิกาปลุกแบบรัวๆ แต่พอเงยหน้ามาเจอพี่บังหน้าโคตรเข้มคนขับรถแล้วแบบ เอ่ออออ ถึงแล้วใช่มั้ยพี่ ผมลุกก็ได้กั๊บ
หลังจากยืนลังเลว่าจะซื้อตั๋วนั่งกลับไปสนามบินอีกครั้งเพื่อยื้อเวลานอนบนรถดีมั้ยซักพัก เมื่อหันหลังมาเราก็จะพบกับสถานีขนส่งที่ใหญ่ที่สุด(มั้ง)ในกัวลาลัมเปอร์นั่นคือ........... KL Sentralอัลอัลอัลอัล ซึ่งที่นี่เรียกได้ว่า All in one มาก ไม่ว่าจะสถานีรถบัส สถานีรถไฟฟ้า หรือสถานีรถไฟไก่กากุ๊กๆ ก็สามารถมาต่อที่นี่ได้ รวมไปถึงของแรร์ที่ไม่คิดว่าจะมีด้วยซ้ำ.................
หลังจากงึกๆงักๆอยู่ได้ซักพักเราก็จะขึ้นรถไฟฟ้าไปที่สถานี Masjid jamek เพื่อไปจัสตุรัส เมอร์ดกากัน โกวๆ
เมื่อมาถึงแล้วก็เดินออกมาจากสถานี สิ่งที่ทำงานก่อนสมองนั่นก็คือกระเพาะ == เหลียวไปเหลียวมาก็เจอกับบรรยากาศที่คุ้นเคย
นี่มันร้านข้าวราดแกงแบบประเทศเราเลยนี่หว่า โคตรน่ารัก (โดยคุณจะเห็นร้านลักษณะตั้งโต๊ะอย่างนี้ทั่วๆไปในตอนเช้าแถวๆหน้าสถานีค่อนข้างเยอะครับ)
อ่า เอาไงดีวะ หิวก็หิว สั่งก็ไม่เป็น ยืนเก้ๆกังๆซักพัก ก็มีลูกค้าคนนึงเดินเข้ามาเปิดฝาแกงจิ้มๆชี้ๆที่หม้อ.......................เอาวะ!!!! ไอ้หมอนี่กินอะไร ข้าจักลอกมันทุกอย่างเลย....................แต่โอ้ อนิจจา คนขายพูดอังกฤษไม่ได้ เล่นภาษามือกันไปมาจนแทบจะรำฟ้อนเล็บอัดหน้ากันซักพัก เราก็ได้รางวัลของความพยายามมา นั่นก็คือ (แต่ขอบคุณคนขายและลูกค้าคนนั้นมากจริงๆครับ ที่ผมถามทางไปเมอร์ดกาแล้วยังจิ้มๆชี้ๆทางจนผมไปถูกได้)
ห่อข้าวมันไก่ เดี๋ยว!!!!ไม่ใช่!!!!
Nasi lemak
(ชื่อของเจ้านี่มารู้เอาตอนเย็นของวันที่ได้เพื่อนใหม่เป็นคู่รักชาวมาเลเชื้อสายอินเดียมาบอกให้ ตอนเอารูปให้เค้าดู
เลือกจิ้มไปที่ข้าวผัดกับแกงอะไรซักอย่างที่หน้าตาคล้ายๆพะแนงเนื้อ บวกกับคนขายปาดซอสอะไรสีแดงๆโปะมาให้ซึ่งคืออะไรก็ไม่รู้ ได้มาก้อนนึงที่ราคา 3.3 ริงกิต
เมื่อเราเดินมาตามทางที่เค้าบอกซักพักเราก็จะเจอกับ
โครงการบ้านและสวน ไม่ใช่!!!!!
จัตุรัสเมอร์ดกา
วันที่ผมไปเหมือนเค้าจะมีเทศกาลเฉลิมฉลองอะไรซักอย่างแหะ เดินสวนสนามกันพรึ้บพรั้บๆ แต่กระนั้นเลยปล่อยวางเรื่องอื่นไปก่อน เรามาเคลียปัญหาที่อยู่ตรงหน้ากันก่อนดีกว่า นั่นก็คือ มื้อแรกที่น่าจดจำของเรานั่นเอง
เมื่อเปิดมาก็จะพบกับ..................
หน้าตายังกะบ๊ะจ่าง == ให้ตายเถอะ แล้วทำไมมันดูเละเทะอย่างนั้นฟะ สงสัยเป็นผลกรรมที่เดินแกว่งห่อมาตลอดทาง เรียกได้ว่าความประทับใจขณะแรกเห็นติดลบแบบทิ้งดิ่งลงบ่อกันไปเลย แต่เอาเข้าจริงๆนะ โคตรอร่อย!!!!! ข้าวผัดที่มีโทนรสจืดๆและมีกลิ่นของเครื่องเทศอ่อนๆ เข้ากับแกงเนื้อที่มีความเผ็ดและความฉุนของเครื่องเทศแบบพอทำให้กระชุ่มกระชวยได้ เนื้อที่ผ่านการเคี่ยวมาจนได้ที่ พร้อมกับน้ำซอสสีแดงที่มีรสเผ็ดนำมาเป็นตัวชูรสให้เข้มข้นขึ้น แต่ยังไม่กลบรสชาติของสิ่งอื่นไป กับปริมาณที่ทำให้อิ่มแบบพอดีๆสำหรับผู้ชาย มันเป็นอะไรที่เวิร์คมากๆ แนะนำเลยครับ ร้านอยู่ตรงข้ามกับทางออกสถานีรถไฟ ข้ามถนนมาก็จะเจอกับร้าน
หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็เดินสำรวจรอบๆจัตุรัสกัน
ST.Marry church
DBKL City Theatre
High Court
Sultan Abdul Samad Building
พิพิธภัณฑ์สิ่งทอ
ตอนหน้า นำเสนอในชื่อตอน....................โครงการถ้ำและสวน (ยังจะไม่เลิกเล่นอีก ==)