ตามหัวข้อกระทู้เลยคะ กระทู้นี้เราเขียนขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังใจให้สาวๆ single mom และหลายๆท่านที่กำลังตัดสินใจว่าจะก้าวออกมาหรือว่าจะอยู่ต่อไปดี ในบทความนี้จะเล่าถึงการตั้งครรภ์ในวัยเรียนด้วย
** บทความต่อไปนี้เราเขียนจากปสบก.ของเราเองล้วนๆเลยเลยคะ โปรดวิจารณ์เบาๆนะคะ **
เหตุการ์ณนี้ผ่านมาได้เกือบ 3 ปีแล้วคะ เรื่องมันมีอยู่ว่า... เรากับ(อดีต)สามี คบกันมาได้ประมาณ 2 ปีก่อนจะมีเบบี๋ แล้วด้วยความที่ว่าพวกเรายังวัยรุ่น ทันทีที่รู้ตัวว่าท้อง เราปรึกษากับแฟนทันที ซื้อที่ตรวจมาตรวจเอง 3-4 อัน ผลออกมาเหมือนเดิม เลยตกลงไปหาหมอที่โรงพยาบาลตรวจอีกรอบให้ชัดๆ แล้วผลก็ออกมาว่าท้อง วันนั้นกลับบ้านมาเริ่มเครียดละ เพราะเรายังเรียนอยู่เพิ่งจะเข้ามหาลัยเอง ส่วนแฟนเราแก่กว่าเรา 3 ปี เค้าทำงานร้านอาหารแห่งหนึ่งตอนกลางคืนคะ ตอนนั้นแฟนเรากลัวมาก เราก็กลัวคะ แฟนเรามีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง ปรึกษากันว่าจะกินยาขับเลือดยี่ห้อนึงดูก่อน คืนนี้แฟนก็ไปหาซื้อมาให้คะ แล้วเราก็จัดการไปนั่งกินในห้องน้ำ ปรากฏว่าอ้วกแตกคะ กระดกไม่ทันถึง 1/4 ขวดเลย แล้วแฟนเราก็รีบเข้ามาประครองไว้ แล้วบอกให้พอไม่ต้องกินแล้ว
หลังจากนั้นก็วางแผนกันใหม่ หาข้อมูลสถานที่ทำแท้งหลายๆแห่ง หาไปเรื่อยๆ เวลาก็ล่วงเลยไป ตื่นเช้ามาเราก็ไปเรียน ตกเย็นก็กลับบ้าน ทำตัวปกติ สรุปว่าท้องเราเริ่มใหญ่ขึ้น กำลังเข้า 4 เดือน ก็ตกลงกันว่า อายุครรภ์เยอะขึ้น มันอันตรายต่อตัวเราเองด้วย เลยตัดสินใจไม่เอาออกคะ เลือกที่จะหาทางบอกพ่อแม่แทน ตอนนั้นเครียดมากกว่าเดิมอีก จะบอกท่านยังไงดี? แล้วแม่แฟนละจะมองว่าเราเป็นคนยังไงเพราะเราไม่เคยคุยกันเลย? แล้วคืนนั้นก็มีสายนึงโทรเข้ามา
แม่แฟน : หนูท้องจริงเหรอ (แฟนเรา)บอกมา ?
เรา : (อึ้งไปแปปนึง) คะ
แม่แฟน : อย่าเอาออกนะ เก็บเอาไว้ ถ้าหนูอยากเรียนต่อ หลังคลอดก็แม่จะช่วยเลี้ยงเอง แล้วหนูก็กลับไปเรียน
เรา : แล้วเรื่องทางบ้านหนูจะทำไงคะ หนูกลัว
แม่แฟน : ไม่ต้องห่วงนะ แม่จะหาวันเข้าไปคุยกับบ้านหนูเอง แม่มั่นใจว่าเค้าจะไม่ว่าอะไรหรอก อย่าเอาเด็กออกนะ แม่ขอร้อง
เรา : คะ
พอวางสายไป เราก็โล่งใจไปเรื่องนึง อย่างน้อยผู้ใหญ่ฝ่ายนึงก็รับรู้แล้ว คราวนี่เหลือแค่ฝั่งเราบ้าง เราจะเริ่มต้นไงดี ? ทุกคนจะโกรธไหม ? พ่อแม่จะเสียใจแค่ไหน ช่วงนั้นเราเครียดมากๆ คิดทุกนาทีที่ว่าง ตอนนั้นแม้กระทั่งเพื่อนในกลุ่มยังไม่มีใครทราบเลยว่าเราท้อง พอดีแม่เราเดินทางกลับมาจากต่างประเทศมาพักอยู่กับเรา ท่านเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนร่างกายเรา รวมถึงสังเกตเห็นว่าปจด.เราไม่มา อยู่ๆวันนึงท่านก็เรียกเราไปคุยส่วนตัวแล้วถามว่า
แม่ : กินยาคุมหรือฉีดยาคุมอยู่ป่าว ?
เรา : กินยาคุมอยู่
แม่ : ปจด.มาล่าสุดวันไหน เดือนนี้แม่ยังไม่เห็นมันมาเลย
เรา : (เงียบเนื่องจากไม่รู้จะตอบไงได้แต่ก้มหน้า)
แม่ : ท้องใช่ไหม ?
เรา : (เงียบน้ำตาเริ่มไหลพราก เนื่องจากกลัวความผิด กลัวแม่ด่า)
แม่ : กี่เดือนแล้ว
เรา : 3-4 เดือน (อึ้ง ! นึกว่าจะโดนด่า)
แม่ : ไปฝากครรภ์หรือยัง ?
เรา : ฝากแล้ว ที่โรงพยาบาล....
แม่ : พ่อรู้เรื่องยัง (พ่อกับแม่เราแยกทางกันตั้งแต่เรายังอยู่อนุบาล แต่ยังติดต่อกันอยู่)
เรา : ยัง ไม่รู้จะบอกยังไง ไม่กล้า
แม่ : ฝั่งผู้ชายว่าไงบ้าง
เรา : แม่เค้าบอกให้เก็บไว้ ถ้าคลอดแล้วเค้าจะช่วยเลี้ยงเอง ถ้าอยากไปเรียนก็ไป
แม่ : อืม งั้นแม่จะหาทางบอกพ่อเอง
จากวันนั้นก็เงียบหายไป จนล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่ 5 แม่เราเริ่มเห็นว่าท้องเริ่มออกมาแล้ว เลยตัดสินใจเข้าไปหาพ่อเราที่บ้าน คุยกับปู่กับย่าเรา ตอนนั้นคำที่ปุ่กับย่าเราบอกคือ "ทำไงได้ ในเมื่อมันท้องแล้ว ก็ต้องจัดงานแต่งให้เป็นพิธีไปจะได้รักษาหน้าของตระกูลบ้าง " แต่วันนั้นทันที่ที่พ่อเรารู้ พ่อเราไม่คุยกับเรา ไม่พูดไม่มองไม่หือไม่อือไม่อะไรเลย เรานั่งร้องไห้เลย แล้วแม่ก็พาเรากลับมาบ้าน มาตั้งต้นใหม่ ให้เราโทรไปบอกแม่แฟนว่าเอาไง เค้าก็คุยกันในโทรศัพท์ จากนั้นตกลงกันว่าแม่แฟนจะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ทางบ้านเรา หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันแม่แฟน พี่ชายแฟน และแฟนเราก็เข้าไปคุยกับทางบ้านเรา แบบเป็นทางการตกลงกันว่าจะจัดงานแต่งเล็กๆ แบบผูกข้อไม้ข้อมือ แล้วกินเลี้ยงในครอบครัวตอนเย็น แต่วันนั้นที่คุยตกลงกันไม่เห็นแม้กระทั่งวี่แววของพ่อเรา ดูเหมือนเรื่องจะคลี่คลายลง ย่าเรารับปากจะช่วยหาฤกษ์ให้
จากนั้นก็ผ่านไปจากต้นเดือนเข้าสู่ปลายเดือน แม่เราต้องเดินทางกลับต่างประเทศ แต่เกรงว่าถ้าไปทั้งๆที่เรื่องเป็นแบบนี้ ปัญหาจะไม่จบแน่ๆ แล้วเราก็ต้องเครียดต่อไป แม่เราเลยตัดสินใจเข้าไปเร่งปู่กับย่าเราให้จัดงานแต่งภายในอาทิตย์นั้นเลยทุกคนตอบตกลง เราเตรียมของใช้คร่าวๆ แฟนเราเอาเงินเก็บทั้งหมดมาเป็นสินสอด(ไม่เยอะหรอก) ซื้อชุดเดรสสวยๆมาใส่เป็นชุดเจ้าสาว แฟนก็ยืมชุดสูทเพื่อนมาใส่ ทุกอย่างดูดีมากวันนั้น พอวันงานพ่อเราไม่อยู่ เดินทางไปต่างจังหวัดทันทีเลย แต่งานก็ผ่านไปด้วยดี ทำให้เราหายเครียดไปอีกเรื่องนึง หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อเราก็กลับมา เรากับแฟนเลยเอาพานไปขอขมาพ่อ ตอนนั้นเครียดอีกรอบ กลัว กดดัน ต่างๆนานา แต่พ่อก็ยอมรับพาน แล้วบอกให้แฟนเราดูแลเราดีๆ
หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติ เราไปเรียนจนจบปี 1 แฟนก็เปลี่ยนมาเป็นสามี เค้าก็ดูแลเรากับลูกในท้องดีมาก อยากกินอะไรก็พาไปกิน ตามใจแทบทุกอย่าง แต่มีบางครั้งที่เราจับได้ว่าเค้าคุยกับอื่น สาวๆบางคนก็ดีคะ ทันทีที่รู้ว่าผู้ชายกำลังมีลูกและแต่งงานแล้ว เค้าก็จะเลิกยุ่งทันที เรื่องนี้เราไม่โทษฝ่ายหญิงอย่างเดียว ฝ่ายเราก็ผิดอันนั้นเราเข้าใจ เรื่องดูเหมือนจะปกติคะ วนเข้าลูปเดิมบ้างบางครั้ง มีกิ้ก มีกั๊ก ตามประสาผู้ชาย แต่สุดท้ายเค้าก็เลือกเรา
หลังจากเราคลอดลูก เรากับสามีก็เห่อลูกมาก สามีเราถึงขนาดพกเสื้อผูกลูกใส่กระเป๋าไปทำงานด้วย เอาไว้ดมเวลาคิดถึง ชีวิตครอบครัวตอนนั้นดี๊ดี ตื่นเช้ามาพร้อมลูก สามีเลิกงานพอดี มาช่วยเลี้ยงลูก อาบน้ำกินข้าว พอสามีนอนเราก็พักผ่อน ทำงานบ้านนู้นนี่นั้นต่อ เราเลือกจะเลี้ยงลูกเอง ย้ายออกมาอยู่กับสามีส่วนตัว เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ รู้สึกดีใจมากที่ได้เฝ้ามองพัฒนาการของเค้า มันทำให้เรากลับมานอนคิดย้อนดู ว่าถ้าวันนั้นเราเลือกทำร้ายเค้า วันนี้เราจะได้เห็นรอยยิ้มนี้ไหม เราจะได้รู้ไหมว่าความรักที่แท้จริงในโลกนี้คืออะไร เราจะไม่มีวันรู้เลยว่าสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นระหว่างแม่กับลูกมันน่าตาเป็นยังไง มาถึงตรงนี้ เราอยากเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่ตั้งครรภ์ในขณะที่คิดว่าตัวเองไม่พร้อมเหมือนเรา เก็บเค้าไว้เถอะคะ แล้วคุณจะรู้เองว่าคุณสามารถดึงพลังต่างๆออกมาได้มากมาย ถ้าสิ่งเหล่านั้นล้วนทำเพื่อลูกคุณ พ่อแม่ถึงแม้ท่านจะโกรธ เสียใจบ้าง แต่เชื่อสิ ท่านไม่มีทางทำร้ายคุณและลูกคุณแน่นอน ไม่ว่าคุณจะผิดสักแค่ไหน ท่านก็พร้อมจะอภัยให้คุณเสมอ แค่คุณกล้ายอมรับ...
* มาเข้าสู่จุดพีคของเรื่องกันบ้างนะคะ *
เราเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณในตนเองทุกคน ยิ่งกับคนที่คุณรักแล้ว แค่อะไรเปลี่ยนไปนิดๆหน่อยๆไม่เหมือนเดิม คุณก็จะทราบในทันที แต่อยู่ที่ว่าจะหลอกตัวเองได้นานแค่ไหนหรือให้โอกาสเค้าได้นานแค่ไหนกัน
วันนึงขณะที่เรานอนเล่นกับลูกอยู่ห้องในนั่งเล่น แฟนเรานอนหลับอยู่ในห้องนอน เราก็เล่นไอแพดไปเรื่อยเปื่อยขณะลูกหลับ สักพักแชทเด้งขึ้นมา ทำให้เราตกใจมาก แต่ยังมีสติพอ เพราะเฟสนั้นใช้รูปสามีเรา รวมทั้งชื่อและนามสกุลเต็มๆของสามีเรา เราเข้าไปเช็คทามไลน์มีแต่รูปแฟนเราแค่ไม่กี่รูป ไม่มีอะไรมากมาย ไม่มีสเตตัส ไม่มีอัพเดทอะไร แต่เฟสเรามีรูปครอบครัว รูปลูก รูปเรากับสามีตอนแต่ง ครบทุกอย่าง แชทนั้นบอกเราว่า
แชทปริศนา : ฝากบอก....(สามีเรา)ด้วยนะ ว่ากลับมาเอาผ้าที่ห้องด้วย
เรา : ผ้าอะไร แล้วเธอเป็นใคร
แชทปริศนา : ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่า.....(สามีเรา)มาอาบน้ำที่ห้องชั้ลทุกคืน เสื้อผ้าทำงานหลายชุดก็อยู่ที่นี้
ทันทีที่ได้เห้นประโยคนี้ยอมรับเลยว่าใจสั่น เพราะบางวันสามีเราบอกว่าจะไปอาบน้ำที่ทำงานเพราะสายแล้ว เสื้อผ้าบางชุดก็หายไปจริงๆ พอถามก็บอกว่า
ลืมไว้ที่ทำงานบ้างละ ส่งซักบ้างละ ลืมห้องเพื่อนบ้างละ
เรา : แน่จริงบอกมาสิว่าเธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน ถ่ายรูปชุดมา
แชทปริศนา : ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรู้ว่าเป็นใคร ตอนนี้ถ่ายรูปให้ไม่ได้ เพราะอยู่ข้างนอก
พอทักไปหลังจากนั้นนางไม่ตอบละคะ เราเลยไปปลุกสามีเลย ถามตรงๆไปเลยว่าเรื่องมันเป็นยังไง พร้อมเอาแชทให้ดู เค้าดูปกติ ไม่แตกตื่นอะไร แล้วก็บอกว่าได้จะจัดการให้ ต้องมีคนมาแกล้งแน่ๆ เพราะเราเองก้มีคู่อริกับบรรดาเพื่อนๆกิ้กเค้าเยอะ เค้าเลยจะออกไปตามหาให้เลยว่าเป็นใครอะไรยังไงไม่ให้เราเครียด แล้วก็หายไป 2-3 ชม.ก็กลับมา บอกว่าแฟนเพื่อนเค้าที่เป็นอริกับเรามาแกล้ง เลยไปเคลียร์ให้ ด้วยความที่เราไว้ใจ เพราะไม่อยากมีปัญหา ตอนนั้นไม่คิดถึงเรื่องแยกทางอะไรเลย เรื่องก็เงียบไป ทุกอย่างเหมือนปกติ แต่เราเริ่มเอะใจละ เพราะหลังๆแฟนเราจะไม่ค่อยอยากให้เรากับลูกตามไปที่ทำงานเท่าไร บวกกับเราเริ่มได้ยินข่าวมาว่าเค้าเล่นกัญชาและสารเสพติด วันนึงก่อนเค้าไปทำงาน เราก็พูดตรงๆเลยว่า เราขอได้ไหมทำเพื่อเราเพื่อลูก เลิกของพวกนั้นสะ แต่แล้วเค้าก็ไม่ยอมเลิก กลับกลายเป็นแอบเราไปดูดทุกวัน จนเราไม่ไหว เรายิ่นคำขาดให้เค้า ณ ตอนนั้นว่า "ถ้าเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกตัวเองว่าพ่อของคน" ณ ตอนนั้นเราทำใจไว้แล้วหลายๆเรื่องเลย คิดมาหลายตลบ เพราะความรู้สึกเรามันฟ้องว่าเค้าไม่ได้มีแค่เรื่องยาแน่นอน แล้วก็พาลให้คิดไปถึงเรื่องแชทคืนนั้น เราตัดสินใจ ไม่ปรึกษาใคร นั่งคิดทบทวนทุกคืน บางคืนก็นอนร้องไห้คนเดียว
ผ่านมาได้ประมาณเดือนนึงหลังแชทปริศนานั้นเกิด ขณะสามีเราออกไปทำงานตามปกติ เราก็กำลังจะเข้านอนเพราะลูกหลับแล้ว ลูกเรากำลังเข้า 9 เดือนคะ เสียงประตูห้องถูกเคาะดังสนั่นตอนตี 1 พร้อมกับเสียงพี่สะใภ้เราตะโกนให้เปิด แล้วเร่งให้เราแต่งตัวและอุ้มลูกทั้งๆที่หลับมา นางบอกเราว่ารีบตามมา ผัว

กำลังมีชู้ ไปนอนเ-ดอยู่กับผู้หญิงอื่น ตอนนั้นเรามึนๆงงๆ สับสนนี่มันเรื่องจริงหรือนี่ เลยคว้าเสื้อแขนยาวมาคลุมทับชุดนอน พี่สะใภ้มาช่วยอุ้มลูก พอลงมาข้างล่างมีมอไซจอดรออยู่ พี่ชายสามีเป็นคนขับมารับแล้วก็พาไป ณ สถานที่แห่งนึงไม่ไกลจากบ้านเรานัก เมื่อลงรถ เรายอมรับเลยว่ากลัวมาก สั่น หวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังต้องเดินไปเจอ พอไปถึงเพื่อนๆพี่เราเปิดทางให้เดินเข้าไป ตัวตึกเป็นห้องเช่า 2 ชั้น แต่ทุกคนลงมารวมกันที่ชั้นล่างหมด เราไปถึงภาพที่เห็นคือสามีเราใส่ชุดทำงานมีแม่เค้ายืนอยู่ด้วย แล้วมีพี่ชายเรากับเพื่อนๆพี่ชายรวมๆอีก 5-6 คน มีผู้หญิงอีก 2 คนที่เรารู้อยู่แล้วว่า 1 ในนั้นคือเมียน้อยแน่นอน ทันทีที่เดินเข้าไปถึง เราแค่มองหน้าผู้หญิงคนนั้น แล้วก็หันกลับ หันมาคุยกับสามีเรา ตอนนั้นหัวใจเราเจ็บปวดมาก ร่างกายเย็นไปทั้งตัว ไม่เหลือเลี่ยวแรงเลย เราเดินตรงเข้าไป กระชากเสื้อเค้า แล้วถามว่าทำไมทำกับเรากับลูกแบบนี้ ตบตีเค้าแต่เค้าก็ไม่สวนกลับ เราไม่ทำร้ายผู้หญิงนะ ณ ตอนนั้น เพราะเราคิดว่าฝ่ายเราก็ผิดแน่ๆ ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก ถ้าผู้หญิงอ้าให้ ผู้ชายไม่เสียบและมีความหนักแน่นต่อครอบครัวพอ เรื่องนี้จะไม่มีวันเกิด ดังนั้นเราเลยโทษฝ่ายเราเต็มๆ เราร้องไห้หนักมากคืนนั้น แล้วเมียน้อยกับสามีเราก็ตบตีกันเอง จนแม่สามีเข้ามาห้าม แล้วเราก็พาสามีกลับบ้าน อุ้มลูกมา เข้าแวะซื้อเบียร์ 2 ขวดระหว่างทางไม่การพูดคุยใดๆกันทั้งสิ้น
**ต่อด้านล่าง**
"single mom" It isn't easy but I can do !! จากรักวัยเรียนสู่คุณแม่ full time
เหตุการ์ณนี้ผ่านมาได้เกือบ 3 ปีแล้วคะ เรื่องมันมีอยู่ว่า... เรากับ(อดีต)สามี คบกันมาได้ประมาณ 2 ปีก่อนจะมีเบบี๋ แล้วด้วยความที่ว่าพวกเรายังวัยรุ่น ทันทีที่รู้ตัวว่าท้อง เราปรึกษากับแฟนทันที ซื้อที่ตรวจมาตรวจเอง 3-4 อัน ผลออกมาเหมือนเดิม เลยตกลงไปหาหมอที่โรงพยาบาลตรวจอีกรอบให้ชัดๆ แล้วผลก็ออกมาว่าท้อง วันนั้นกลับบ้านมาเริ่มเครียดละ เพราะเรายังเรียนอยู่เพิ่งจะเข้ามหาลัยเอง ส่วนแฟนเราแก่กว่าเรา 3 ปี เค้าทำงานร้านอาหารแห่งหนึ่งตอนกลางคืนคะ ตอนนั้นแฟนเรากลัวมาก เราก็กลัวคะ แฟนเรามีเงินเก็บอยู่ก้อนนึง ปรึกษากันว่าจะกินยาขับเลือดยี่ห้อนึงดูก่อน คืนนี้แฟนก็ไปหาซื้อมาให้คะ แล้วเราก็จัดการไปนั่งกินในห้องน้ำ ปรากฏว่าอ้วกแตกคะ กระดกไม่ทันถึง 1/4 ขวดเลย แล้วแฟนเราก็รีบเข้ามาประครองไว้ แล้วบอกให้พอไม่ต้องกินแล้ว
หลังจากนั้นก็วางแผนกันใหม่ หาข้อมูลสถานที่ทำแท้งหลายๆแห่ง หาไปเรื่อยๆ เวลาก็ล่วงเลยไป ตื่นเช้ามาเราก็ไปเรียน ตกเย็นก็กลับบ้าน ทำตัวปกติ สรุปว่าท้องเราเริ่มใหญ่ขึ้น กำลังเข้า 4 เดือน ก็ตกลงกันว่า อายุครรภ์เยอะขึ้น มันอันตรายต่อตัวเราเองด้วย เลยตัดสินใจไม่เอาออกคะ เลือกที่จะหาทางบอกพ่อแม่แทน ตอนนั้นเครียดมากกว่าเดิมอีก จะบอกท่านยังไงดี? แล้วแม่แฟนละจะมองว่าเราเป็นคนยังไงเพราะเราไม่เคยคุยกันเลย? แล้วคืนนั้นก็มีสายนึงโทรเข้ามา
แม่แฟน : หนูท้องจริงเหรอ (แฟนเรา)บอกมา ?
เรา : (อึ้งไปแปปนึง) คะ
แม่แฟน : อย่าเอาออกนะ เก็บเอาไว้ ถ้าหนูอยากเรียนต่อ หลังคลอดก็แม่จะช่วยเลี้ยงเอง แล้วหนูก็กลับไปเรียน
เรา : แล้วเรื่องทางบ้านหนูจะทำไงคะ หนูกลัว
แม่แฟน : ไม่ต้องห่วงนะ แม่จะหาวันเข้าไปคุยกับบ้านหนูเอง แม่มั่นใจว่าเค้าจะไม่ว่าอะไรหรอก อย่าเอาเด็กออกนะ แม่ขอร้อง
เรา : คะ
พอวางสายไป เราก็โล่งใจไปเรื่องนึง อย่างน้อยผู้ใหญ่ฝ่ายนึงก็รับรู้แล้ว คราวนี่เหลือแค่ฝั่งเราบ้าง เราจะเริ่มต้นไงดี ? ทุกคนจะโกรธไหม ? พ่อแม่จะเสียใจแค่ไหน ช่วงนั้นเราเครียดมากๆ คิดทุกนาทีที่ว่าง ตอนนั้นแม้กระทั่งเพื่อนในกลุ่มยังไม่มีใครทราบเลยว่าเราท้อง พอดีแม่เราเดินทางกลับมาจากต่างประเทศมาพักอยู่กับเรา ท่านเริ่มสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่างบนร่างกายเรา รวมถึงสังเกตเห็นว่าปจด.เราไม่มา อยู่ๆวันนึงท่านก็เรียกเราไปคุยส่วนตัวแล้วถามว่า
แม่ : กินยาคุมหรือฉีดยาคุมอยู่ป่าว ?
เรา : กินยาคุมอยู่
แม่ : ปจด.มาล่าสุดวันไหน เดือนนี้แม่ยังไม่เห็นมันมาเลย
เรา : (เงียบเนื่องจากไม่รู้จะตอบไงได้แต่ก้มหน้า)
แม่ : ท้องใช่ไหม ?
เรา : (เงียบน้ำตาเริ่มไหลพราก เนื่องจากกลัวความผิด กลัวแม่ด่า)
แม่ : กี่เดือนแล้ว
เรา : 3-4 เดือน (อึ้ง ! นึกว่าจะโดนด่า)
แม่ : ไปฝากครรภ์หรือยัง ?
เรา : ฝากแล้ว ที่โรงพยาบาล....
แม่ : พ่อรู้เรื่องยัง (พ่อกับแม่เราแยกทางกันตั้งแต่เรายังอยู่อนุบาล แต่ยังติดต่อกันอยู่)
เรา : ยัง ไม่รู้จะบอกยังไง ไม่กล้า
แม่ : ฝั่งผู้ชายว่าไงบ้าง
เรา : แม่เค้าบอกให้เก็บไว้ ถ้าคลอดแล้วเค้าจะช่วยเลี้ยงเอง ถ้าอยากไปเรียนก็ไป
แม่ : อืม งั้นแม่จะหาทางบอกพ่อเอง
จากวันนั้นก็เงียบหายไป จนล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่ 5 แม่เราเริ่มเห็นว่าท้องเริ่มออกมาแล้ว เลยตัดสินใจเข้าไปหาพ่อเราที่บ้าน คุยกับปู่กับย่าเรา ตอนนั้นคำที่ปุ่กับย่าเราบอกคือ "ทำไงได้ ในเมื่อมันท้องแล้ว ก็ต้องจัดงานแต่งให้เป็นพิธีไปจะได้รักษาหน้าของตระกูลบ้าง " แต่วันนั้นทันที่ที่พ่อเรารู้ พ่อเราไม่คุยกับเรา ไม่พูดไม่มองไม่หือไม่อือไม่อะไรเลย เรานั่งร้องไห้เลย แล้วแม่ก็พาเรากลับมาบ้าน มาตั้งต้นใหม่ ให้เราโทรไปบอกแม่แฟนว่าเอาไง เค้าก็คุยกันในโทรศัพท์ จากนั้นตกลงกันว่าแม่แฟนจะเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ทางบ้านเรา หลังจากนั้นอีกไม่กี่วันแม่แฟน พี่ชายแฟน และแฟนเราก็เข้าไปคุยกับทางบ้านเรา แบบเป็นทางการตกลงกันว่าจะจัดงานแต่งเล็กๆ แบบผูกข้อไม้ข้อมือ แล้วกินเลี้ยงในครอบครัวตอนเย็น แต่วันนั้นที่คุยตกลงกันไม่เห็นแม้กระทั่งวี่แววของพ่อเรา ดูเหมือนเรื่องจะคลี่คลายลง ย่าเรารับปากจะช่วยหาฤกษ์ให้
จากนั้นก็ผ่านไปจากต้นเดือนเข้าสู่ปลายเดือน แม่เราต้องเดินทางกลับต่างประเทศ แต่เกรงว่าถ้าไปทั้งๆที่เรื่องเป็นแบบนี้ ปัญหาจะไม่จบแน่ๆ แล้วเราก็ต้องเครียดต่อไป แม่เราเลยตัดสินใจเข้าไปเร่งปู่กับย่าเราให้จัดงานแต่งภายในอาทิตย์นั้นเลยทุกคนตอบตกลง เราเตรียมของใช้คร่าวๆ แฟนเราเอาเงินเก็บทั้งหมดมาเป็นสินสอด(ไม่เยอะหรอก) ซื้อชุดเดรสสวยๆมาใส่เป็นชุดเจ้าสาว แฟนก็ยืมชุดสูทเพื่อนมาใส่ ทุกอย่างดูดีมากวันนั้น พอวันงานพ่อเราไม่อยู่ เดินทางไปต่างจังหวัดทันทีเลย แต่งานก็ผ่านไปด้วยดี ทำให้เราหายเครียดไปอีกเรื่องนึง หลังจากนั้นไม่กี่วันพ่อเราก็กลับมา เรากับแฟนเลยเอาพานไปขอขมาพ่อ ตอนนั้นเครียดอีกรอบ กลัว กดดัน ต่างๆนานา แต่พ่อก็ยอมรับพาน แล้วบอกให้แฟนเราดูแลเราดีๆ
หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติ เราไปเรียนจนจบปี 1 แฟนก็เปลี่ยนมาเป็นสามี เค้าก็ดูแลเรากับลูกในท้องดีมาก อยากกินอะไรก็พาไปกิน ตามใจแทบทุกอย่าง แต่มีบางครั้งที่เราจับได้ว่าเค้าคุยกับอื่น สาวๆบางคนก็ดีคะ ทันทีที่รู้ว่าผู้ชายกำลังมีลูกและแต่งงานแล้ว เค้าก็จะเลิกยุ่งทันที เรื่องนี้เราไม่โทษฝ่ายหญิงอย่างเดียว ฝ่ายเราก็ผิดอันนั้นเราเข้าใจ เรื่องดูเหมือนจะปกติคะ วนเข้าลูปเดิมบ้างบางครั้ง มีกิ้ก มีกั๊ก ตามประสาผู้ชาย แต่สุดท้ายเค้าก็เลือกเรา
หลังจากเราคลอดลูก เรากับสามีก็เห่อลูกมาก สามีเราถึงขนาดพกเสื้อผูกลูกใส่กระเป๋าไปทำงานด้วย เอาไว้ดมเวลาคิดถึง ชีวิตครอบครัวตอนนั้นดี๊ดี ตื่นเช้ามาพร้อมลูก สามีเลิกงานพอดี มาช่วยเลี้ยงลูก อาบน้ำกินข้าว พอสามีนอนเราก็พักผ่อน ทำงานบ้านนู้นนี่นั้นต่อ เราเลือกจะเลี้ยงลูกเอง ย้ายออกมาอยู่กับสามีส่วนตัว เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ รู้สึกดีใจมากที่ได้เฝ้ามองพัฒนาการของเค้า มันทำให้เรากลับมานอนคิดย้อนดู ว่าถ้าวันนั้นเราเลือกทำร้ายเค้า วันนี้เราจะได้เห็นรอยยิ้มนี้ไหม เราจะได้รู้ไหมว่าความรักที่แท้จริงในโลกนี้คืออะไร เราจะไม่มีวันรู้เลยว่าสายสัมพันธ์ที่มองไม่เห็นระหว่างแม่กับลูกมันน่าตาเป็นยังไง มาถึงตรงนี้ เราอยากเป็นกำลังใจให้สำหรับคนที่ตั้งครรภ์ในขณะที่คิดว่าตัวเองไม่พร้อมเหมือนเรา เก็บเค้าไว้เถอะคะ แล้วคุณจะรู้เองว่าคุณสามารถดึงพลังต่างๆออกมาได้มากมาย ถ้าสิ่งเหล่านั้นล้วนทำเพื่อลูกคุณ พ่อแม่ถึงแม้ท่านจะโกรธ เสียใจบ้าง แต่เชื่อสิ ท่านไม่มีทางทำร้ายคุณและลูกคุณแน่นอน ไม่ว่าคุณจะผิดสักแค่ไหน ท่านก็พร้อมจะอภัยให้คุณเสมอ แค่คุณกล้ายอมรับ...
เราเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนล้วนมีสัญชาตญาณในตนเองทุกคน ยิ่งกับคนที่คุณรักแล้ว แค่อะไรเปลี่ยนไปนิดๆหน่อยๆไม่เหมือนเดิม คุณก็จะทราบในทันที แต่อยู่ที่ว่าจะหลอกตัวเองได้นานแค่ไหนหรือให้โอกาสเค้าได้นานแค่ไหนกัน
วันนึงขณะที่เรานอนเล่นกับลูกอยู่ห้องในนั่งเล่น แฟนเรานอนหลับอยู่ในห้องนอน เราก็เล่นไอแพดไปเรื่อยเปื่อยขณะลูกหลับ สักพักแชทเด้งขึ้นมา ทำให้เราตกใจมาก แต่ยังมีสติพอ เพราะเฟสนั้นใช้รูปสามีเรา รวมทั้งชื่อและนามสกุลเต็มๆของสามีเรา เราเข้าไปเช็คทามไลน์มีแต่รูปแฟนเราแค่ไม่กี่รูป ไม่มีอะไรมากมาย ไม่มีสเตตัส ไม่มีอัพเดทอะไร แต่เฟสเรามีรูปครอบครัว รูปลูก รูปเรากับสามีตอนแต่ง ครบทุกอย่าง แชทนั้นบอกเราว่า
แชทปริศนา : ฝากบอก....(สามีเรา)ด้วยนะ ว่ากลับมาเอาผ้าที่ห้องด้วย
เรา : ผ้าอะไร แล้วเธอเป็นใคร
แชทปริศนา : ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก รู้แค่ว่า.....(สามีเรา)มาอาบน้ำที่ห้องชั้ลทุกคืน เสื้อผ้าทำงานหลายชุดก็อยู่ที่นี้
ทันทีที่ได้เห้นประโยคนี้ยอมรับเลยว่าใจสั่น เพราะบางวันสามีเราบอกว่าจะไปอาบน้ำที่ทำงานเพราะสายแล้ว เสื้อผ้าบางชุดก็หายไปจริงๆ พอถามก็บอกว่า
ลืมไว้ที่ทำงานบ้างละ ส่งซักบ้างละ ลืมห้องเพื่อนบ้างละ
เรา : แน่จริงบอกมาสิว่าเธอเป็นใคร อยู่ที่ไหน ถ่ายรูปชุดมา
แชทปริศนา : ก็บอกแล้วไงว่าไม่ต้องรู้ว่าเป็นใคร ตอนนี้ถ่ายรูปให้ไม่ได้ เพราะอยู่ข้างนอก
พอทักไปหลังจากนั้นนางไม่ตอบละคะ เราเลยไปปลุกสามีเลย ถามตรงๆไปเลยว่าเรื่องมันเป็นยังไง พร้อมเอาแชทให้ดู เค้าดูปกติ ไม่แตกตื่นอะไร แล้วก็บอกว่าได้จะจัดการให้ ต้องมีคนมาแกล้งแน่ๆ เพราะเราเองก้มีคู่อริกับบรรดาเพื่อนๆกิ้กเค้าเยอะ เค้าเลยจะออกไปตามหาให้เลยว่าเป็นใครอะไรยังไงไม่ให้เราเครียด แล้วก็หายไป 2-3 ชม.ก็กลับมา บอกว่าแฟนเพื่อนเค้าที่เป็นอริกับเรามาแกล้ง เลยไปเคลียร์ให้ ด้วยความที่เราไว้ใจ เพราะไม่อยากมีปัญหา ตอนนั้นไม่คิดถึงเรื่องแยกทางอะไรเลย เรื่องก็เงียบไป ทุกอย่างเหมือนปกติ แต่เราเริ่มเอะใจละ เพราะหลังๆแฟนเราจะไม่ค่อยอยากให้เรากับลูกตามไปที่ทำงานเท่าไร บวกกับเราเริ่มได้ยินข่าวมาว่าเค้าเล่นกัญชาและสารเสพติด วันนึงก่อนเค้าไปทำงาน เราก็พูดตรงๆเลยว่า เราขอได้ไหมทำเพื่อเราเพื่อลูก เลิกของพวกนั้นสะ แต่แล้วเค้าก็ไม่ยอมเลิก กลับกลายเป็นแอบเราไปดูดทุกวัน จนเราไม่ไหว เรายิ่นคำขาดให้เค้า ณ ตอนนั้นว่า "ถ้าเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกตัวเองว่าพ่อของคน" ณ ตอนนั้นเราทำใจไว้แล้วหลายๆเรื่องเลย คิดมาหลายตลบ เพราะความรู้สึกเรามันฟ้องว่าเค้าไม่ได้มีแค่เรื่องยาแน่นอน แล้วก็พาลให้คิดไปถึงเรื่องแชทคืนนั้น เราตัดสินใจ ไม่ปรึกษาใคร นั่งคิดทบทวนทุกคืน บางคืนก็นอนร้องไห้คนเดียว
ผ่านมาได้ประมาณเดือนนึงหลังแชทปริศนานั้นเกิด ขณะสามีเราออกไปทำงานตามปกติ เราก็กำลังจะเข้านอนเพราะลูกหลับแล้ว ลูกเรากำลังเข้า 9 เดือนคะ เสียงประตูห้องถูกเคาะดังสนั่นตอนตี 1 พร้อมกับเสียงพี่สะใภ้เราตะโกนให้เปิด แล้วเร่งให้เราแต่งตัวและอุ้มลูกทั้งๆที่หลับมา นางบอกเราว่ารีบตามมา ผัว
**ต่อด้านล่าง**