สวิสเซอร์แลนด์ : การเมืองเป็นเรื่องอาสา / กษิต ภิรมย์
ตั้งแต่นานนมมา มักจะมีคำกล่าวว่า "หากไม่มีสตางค์ ก็อย่าริไปเล่นการเมือง"
ฟังแล้วคนไม่เข้าใจอาจจะคิดไปว่า การเมืองเป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้น แต่
ข้อเท็จจริงนั้น เขาน่าจะตั้งใจจะบอกเราว่า "การเมืองเป็นเรื่องต้องเสียสละ"
มากกว่า และวิธีการง่ายๆ ที่คนจะเข้าใจก็คือความรวย คนรวยน่าจะมีเวลาเยอะ
และไม่ต้องการเงินทองเพิ่มอีก พร้อมจะเสียสละเพื่อชาติ สามารถทำงานที่ได้
ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าได้
ซึ่งเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความเข้าใจแต่เพียงผิวเผินนี้ ส่งผลให้คนรวยเข้ามากระจุก
อยู่ในสภา มีนักธุรกิจเต็มไปหมด หลายๆ คนก็ไม่ได้เป็นคนรวยที่พอเพียง กลับร่วมมือ
หาทางเพิ่มความรวยของตนผ่านอาชีพนักการเมืองเสียอีก จนเมื่อมันฉาวโฉ่มากๆ
ประชาชนทนไม่ได้ ก็ออกมาขับไล่ ร้อนจนกองทัพต้องออกมาทำการยึดอำนาจ วนไป
วนมาไม่รู้จบ
บทความนี้เลยอยากแก้ไขความเข้าใจเสียใหม่ ว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องของคนรวย
แต่เป็นเรื่องของคนที่มีจิตใจดี พอเพียงกับความมีของตน และพร้อมจะอาสาสมัครเข้า
มาทำงานหนักที่ได้ผลตอบแทนต่ำ เผื่อหลังการปฏิรูปแล้ว จะมีคนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้
อาสาเข้ามาสมัครรับเลือกตั้ง และกลายเป็นนักการเมืองน้ำดี แล้วทำให้การเมืองไทย
ดีขึ้นในสายตาประชาชนได้
สวิสเซอร์แลนด์ : การเมืองเป็นเรื่องอาสา / กษิต ภิรมย์ kasitfb@gmail.com
หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2558
คอลัมน์การเมือง / เขียนเพื่อคิด
การได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งในรัฐสภา และองค์การการเมืองต่างๆ นั้นถือเป็น
เกียรติ โดยเฉพาะการมีโอกาสได้เข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงในการบริหาร และขับเคลื่อน
ประเทศ จึงเป็นงานที่ต่างคนต่างอาสาสมัครเข้ามาเอง โดยไม่ต้องมีใครไปเชิญชวน
ขอร้อง วิงวอน และด้วยเหตุนี้ งานทางการเมืองจึงมิใช่งานวิชาอาชีพ หากแต่เป็นงาน
อาสาสมัคร ซึ่งสมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของเรื่องจิตสำนึกต่อส่วนรวม และอุดมคติที่อยาก
จะทำงานช่วยชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องการเข้ามาเพียงเพื่อหาความนับหน้าถือตา หาผล
ประโยชน์ เพื่อเพิ่มอิทธิพลและบารมีจากยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะถ้าใครอยากจะมั่งมี ก็
สมควรเบนเข็มไปประกอบธุรกิจ ใครอยากจะมียศถาบรรดาศักดิ์ มีสายสะพาย ก็น่าจะไป
สมัครงานราชการ ใครอยากมีเงินเดือนประจำแน่นอนก็ควรไปหางานประจำทำเสีย อย่า
มาเสียเวลากับงานอาสาเช่นงานการเมืองเลย เพราะงานอาสานั้น ไม่ได้มีโครงสร้างบริหาร
เป็นพิรามิดสามเหลี่ยม (มีชั้น มีวรรณะ มีเจ้านาย มีลูกน้องเป็นลำดับขั้น) หากแต่ฐานะ
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องอยู่ในแนวราบเคียงข้างเพื่อรับใช้ประชาชน
โดยไม่ได้เหนือกว่าแต่อย่างใด
ผมเองได้ไปเยือนสวิสเซอร์แลนด์มาเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ศกนี้ และได้เขียนบทความ
เกี่ยวกับสวิสเซอร์แลนด์ไปแล้ว 2 เรื่อง ลงใน นสพ. แนวหน้า (เก็บตกจากสวิสเซอร์แลนด์
วันที่ 24 มิถุนายน และสวิสเซอร์แลนด์ กำลังไปในทิศทางไหน วันที่ 25 มิถุนายน) ก็ขอถือ
โอกาสพูดคุยเกี่ยวกับสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้ง ว่าด้วยการเมืองอาสาของสวิสเซอร์แลนด์
ความว่าผู้แทนรัฐสภา ทั้งสภาสูง (Council of States/Ständerat) และสภาล่าง
(National Council/Nationalrat) ส่วนใหญ่เป็นผู้แทนกึ่งเวลา (Part time) โดยต่างมีอาชีพ
ประจำของตนเอง เช่น เป็นครู ทหาร ตำรวจ หรือแพทย์ เป็นต้น คือมีเงินเดือนประจำ
หรือรายได้ของตนเอง แล้วค่อยมาทำงานเป็นนักการเมือง หรือเป็นผู้แทนควบคู่ไปด้วย
ดังนั้นนักการเมืองสวิสเซอร์แลนด์จึงไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐสภา แต่จะได้ค่าตอบแทนจาก
จำนวนวันที่มาทำงาน หรือมีภารกิจอยู่ที่รัฐสภาเท่านั้น คล้ายๆ กับลูกจ้างรายวัน และนอกจากนั้น
รัฐก็ไม่ได้จ่ายเงินให้กับการว่าจ้างผู้ช่วยหรือเลขานุการให้กับนักการเมืองแต่ละคนของเขาแต่
อย่างใด ทำให้เมื่อเทียบกับนักการเมืองของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกแล้ว นักการเมืองสวิสเซอร์แลนด์
เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อรัฐน้อยมาก
ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับกรณีของไทย ที่ตำแหน่งผู้แทนในรัฐสภามีเงินเดือนเป็นแสน แถมรัฐ
ยังใจดีจ่ายเงินเดือนกับบรรดาผู้ช่วย ที่ปรึกษา และเลขา (รวม 8 ตำแหน่ง) ของสมาชิกรัฐสภา
แต่ละท่าน แล้วไหนยังจะมีค่าเบี้ยประชุมยุบยั่บ แล้วยังมีออพชั่นเป็นค่าเดินทางภายในประเทศฟรี
โดยรัฐจ่ายให้หมด รวมถึงมีงบเดินทางไปดูงานต่างประเทศให้เป็นระยะๆ และเมื่ออยู่ในตำแหน่ง
ไปสักพัก ไม่ว่าจะทั้งตำแหน่งผู้แทน ตำแหน่งวุฒิสภา และบรรดาลิ่วล้อ ก็จะได้รับการเชิดชูเกียรติ
เป็นเหรียญตราและสายสะพายอีกด้วย
ที่ผ่านมา นักการเมืองน้ำดีก็มีการหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาขอให้พิจารณา ทบทวนเรื่องความฟุ้งเฟ้อ
ฟุ่มเฟือย ที่เกินความจำเป็นของตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ รวมถึงค่าตอบแทนทางการเมืองในรัฐสภา
แต่ก็จะโดนล้มโต๊ะทุกทีไป เนื่องจากไปทุบหม้อข้าวเขา ก็เลยไม่สำเร็จเสียที ดังนั้นในขณะนี้ ที่เรา
กำลังอยู่ในสภาวะปฏิรูปกัน ท่านผู้นำที่บอกว่าตนเองไม่ใช่นักการเมือง แต่อาสามาแก้ไขปัญหาประเทศ
และประกาศว่าจะทำในสิ่งที่นักการเมืองทำไม่สำเร็จ จึงน่าจะได้นำเรื่องนี้มาพิจารณา หาความสมดุลย์
ระหว่างหลักการอาสาสมัคร กับหลักการเรียกร้องผลตอบแทนให้สมเหตุสมผลกันเสียที
ที่ผ่านๆ มา การเมืองของสวิสเซอร์แลนด์อยู่บนหลักคานอำนาจกันระหว่างพรรคการเมือง ด้วยการ
อำนวยให้พรรคการเมืองต่างๆ มีโอกาสมีที่นั่งรัฐสภา ผ่านทางการเลือกตั้งระบบสัดส่วน รัฐบาลทุก
รัฐบาลของเขาจึงเป็นรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคใดเป็นใหญ่ ผูกขาดอำนาจเป็นเสียงข้างมากเด็ดขาดแต่
เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นกลไกป้องกันระบบเสียงข้างมากลากไป หรือเผด็จการรัฐสภา และเมื่อเขาเป็นรัฐบาล
ผสม ก็เป็นรัฐบาลผสมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นในการปรึกษาหารือ เพื่อการหาฉันทมติร่วมกัน
ให้ปรากฏออกมา ซึ่งถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สำคัญยิ่งของการเมืองสวิสเซอร์แลนด์
อีกทั้งสวิสเซอร์แลนด์ยังได้พัฒนาการเมืองแบบประชาธิปไตยทางตรงให้งอกเงยขึ้นมาเป็นลำดับ ไม่ว่า
จะเป็นทั้งในระดับชาติ ระดับมณฑลจังหวัด (Canton) ระดับเทศบาล หรือระดับเขตชุมชน โดยจัดให้มี
การลงประชามติในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละระดับอย่างสม่ำเสมอ
อำนาจทางการเมืองที่แท้จริงของประเทศเขาจึงมิได้กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง รัฐสภา และข้าราชการ
ทุกระดับต้องฟังเสียงของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญของท้องถิ่น หรือในส่วนกลางของชาติ
ก็ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินด้วยการลงประชามติทั้งสิ้น
การกระจายอำนาจอย่างกว้างขวางและทั่วถึงของสวิสเซอร์แลนด์ทำให้รัฐบาลและผู้บริหารส่วนกลาง
มีงานน้อยลงไปเรื่อยๆ จนขนาดทำให้คณะรัฐมนตรีมีเพียงแค่ 7 คนก็เพียงพอต่อการบริหารประเทศ
และยังกำหนดให้ผลัดเวียนกันเป็นประธานาธิบดีคนละ 1 ปี เพื่อรับผิดชอบงานรัฐพิธีต่างๆ ซึ่งทั้งหมด
นี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศของเขา เสียงของประชาชนเป็นใหญ่จริงๆ เพราะสามารถเป็นผู้ควบคุมกำกับ
ภาครัฐทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นอย่างเบ็ดเสร็จ
ซึ่งที่ประชาชนของเขาสามารถควบคุมรัฐบาลได้ ก็เพราะพลเมืองมีองค์ความรู้ และโอกาสในการ
การเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของกิจการรัฐ ซึ่งฝ่ายรัฐทุกระดับมีหน้าที่ที่จะต้องป้อนข้อมูล
และเปิดโอกาสให้ประชาชนรับรู้ และจัดให้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ระหว่างผู้เสนอกับผู้คัดค้าน
ต่อเรื่องหนึ่งเรื่องใด จนประชาชนสามารถมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ โดยทั้งนี้ทั้งนั้น ฝ่าย
การเมืองของเขาเชื่อมั่น (Trust) ในตัวประชาชน และในทางกลับกัน ประชาชนเองก็เชื่อว่า ผู้ที่อาสา
เข้ามาเล่นการเมืองของเขา จะเล่นตามกติกาด้วยความซื่อสัตย์ และปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
หันกลับมามองเมืองไทย ผมเองไม่เห็นด้วยกับความคิดว่า คนไทยเป็นผู้มีความรู้น้อย มีเพียงผู้นำ
หรือชนชั้นผู้นำเท่านั้นที่รู้ดี ประชาชนจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำอย่างสุดหัวใจ เพราะหากท่านเชื่อ
เช่นนั้น ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในวัฐจักรเหล่านี้ต่อไปอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ที่คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล
แล้วสักพักคนเมืองก็ล้มรัฐบาล อยู่กันไม่ทันครบเทอม ทำงานไม่ทันเห็นผล สังคมแบ่งเป็นคนเมือง
คนรากหญ้า บลัฟกันไปบลัฟกันมา ต่างก็คิดว่าเอ็งโง่ ข้าฉลาด ขาดความสามัคคี
ผมเองยังเชื่อว่า หากคนไทยได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาตนเองทางประชาธิปไตยที่
เหมาะสม ได้รับการปลูกฝังจิตสำนึกสาธารณะ รวมถึงสิทธิและหน้าที่พลเมือง ที่มาพร้อมๆ กัน
มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของรัฐ และได้รับการอธิบายความ ชาวไทยทั้งหลายก็จะเป็นผู้ที่มีความ
สามารถ เนื่องจากกลายเป็นผู้รู้ลึก และรู้จริง ในวันนั้น ประชาชนชาวไทยก็จะสามารถตัดสินใจอนาคต
ของตนเองได้เอง กลายเป็นประชาธิปไตยแบบยั่งยืน ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ต้องรอ
ให้ชนชั้นปกครองมาชี้นิ้วนำอยู่ร่ำไปในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ บรรดาสมาชิกรัฐสภา
ก็จะได้มีภาระที่น้อยลง ไม่ต้องเปลืองงบจากภาษีประชาชนมาจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงประชุม และค่าอื่นๆ
จิปาถะมากมาย เพราะทำหน้าที่บริหารเป็นหลัก ไม่ใช่หน้าที่ปกครอง ส่วนเรื่องการตัดสินใจก็ปล่อย
ให้ประชาชนว่ากันไป
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะกลายเป็นเพียงฝันกลางวัน หากประชาชนไทย ไม่ร่วมมือร่วมใจกันใน
การปฏิรูปครั้งนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญนั้นอยู่ที่ทัศนคติของท่านผู้นำ ผู้ที่อาสาเข้ามาปฏิรูปประเทศ ว่า
ท่านจะเชื่อเหมือนผมหรือไม่ ว่าโดยพื้นฐานแล้ว คนไทยเป็นคนที่มีคุณภาพ เพียงแต่ขาดโอกาส
เท่านั้นเอง
การเมืองเป็นเรื่องงานอาสา .... ความฝันไหมสำหรับบ้านเรา ? ..../sao..เหลือ..noi
ตั้งแต่นานนมมา มักจะมีคำกล่าวว่า "หากไม่มีสตางค์ ก็อย่าริไปเล่นการเมือง"
ฟังแล้วคนไม่เข้าใจอาจจะคิดไปว่า การเมืองเป็นเรื่องของคนรวยเท่านั้น แต่
ข้อเท็จจริงนั้น เขาน่าจะตั้งใจจะบอกเราว่า "การเมืองเป็นเรื่องต้องเสียสละ"
มากกว่า และวิธีการง่ายๆ ที่คนจะเข้าใจก็คือความรวย คนรวยน่าจะมีเวลาเยอะ
และไม่ต้องการเงินทองเพิ่มอีก พร้อมจะเสียสละเพื่อชาติ สามารถทำงานที่ได้
ผลตอบแทนไม่คุ้มค่าได้
ซึ่งเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความเข้าใจแต่เพียงผิวเผินนี้ ส่งผลให้คนรวยเข้ามากระจุก
อยู่ในสภา มีนักธุรกิจเต็มไปหมด หลายๆ คนก็ไม่ได้เป็นคนรวยที่พอเพียง กลับร่วมมือ
หาทางเพิ่มความรวยของตนผ่านอาชีพนักการเมืองเสียอีก จนเมื่อมันฉาวโฉ่มากๆ
ประชาชนทนไม่ได้ ก็ออกมาขับไล่ ร้อนจนกองทัพต้องออกมาทำการยึดอำนาจ วนไป
วนมาไม่รู้จบ
บทความนี้เลยอยากแก้ไขความเข้าใจเสียใหม่ ว่า การเมืองไม่ใช่เรื่องของคนรวย
แต่เป็นเรื่องของคนที่มีจิตใจดี พอเพียงกับความมีของตน และพร้อมจะอาสาสมัครเข้า
มาทำงานหนักที่ได้ผลตอบแทนต่ำ เผื่อหลังการปฏิรูปแล้ว จะมีคนที่มีคุณสมบัติเหล่านี้
อาสาเข้ามาสมัครรับเลือกตั้ง และกลายเป็นนักการเมืองน้ำดี แล้วทำให้การเมืองไทย
ดีขึ้นในสายตาประชาชนได้
สวิสเซอร์แลนด์ : การเมืองเป็นเรื่องอาสา / กษิต ภิรมย์ kasitfb@gmail.com
หนังสือพิมพ์แนวหน้า วันพุธที่ 1 กรกฎาคม 2558
คอลัมน์การเมือง / เขียนเพื่อคิด
การได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งในรัฐสภา และองค์การการเมืองต่างๆ นั้นถือเป็น
เกียรติ โดยเฉพาะการมีโอกาสได้เข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงในการบริหาร และขับเคลื่อน
ประเทศ จึงเป็นงานที่ต่างคนต่างอาสาสมัครเข้ามาเอง โดยไม่ต้องมีใครไปเชิญชวน
ขอร้อง วิงวอน และด้วยเหตุนี้ งานทางการเมืองจึงมิใช่งานวิชาอาชีพ หากแต่เป็นงาน
อาสาสมัคร ซึ่งสมควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของเรื่องจิตสำนึกต่อส่วนรวม และอุดมคติที่อยาก
จะทำงานช่วยชาติบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องการเข้ามาเพียงเพื่อหาความนับหน้าถือตา หาผล
ประโยชน์ เพื่อเพิ่มอิทธิพลและบารมีจากยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะถ้าใครอยากจะมั่งมี ก็
สมควรเบนเข็มไปประกอบธุรกิจ ใครอยากจะมียศถาบรรดาศักดิ์ มีสายสะพาย ก็น่าจะไป
สมัครงานราชการ ใครอยากมีเงินเดือนประจำแน่นอนก็ควรไปหางานประจำทำเสีย อย่า
มาเสียเวลากับงานอาสาเช่นงานการเมืองเลย เพราะงานอาสานั้น ไม่ได้มีโครงสร้างบริหาร
เป็นพิรามิดสามเหลี่ยม (มีชั้น มีวรรณะ มีเจ้านาย มีลูกน้องเป็นลำดับขั้น) หากแต่ฐานะ
นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ต้องอยู่ในแนวราบเคียงข้างเพื่อรับใช้ประชาชน
โดยไม่ได้เหนือกว่าแต่อย่างใด
ผมเองได้ไปเยือนสวิสเซอร์แลนด์มาเมื่อกลางเดือนมิถุนายน ศกนี้ และได้เขียนบทความ
เกี่ยวกับสวิสเซอร์แลนด์ไปแล้ว 2 เรื่อง ลงใน นสพ. แนวหน้า (เก็บตกจากสวิสเซอร์แลนด์
วันที่ 24 มิถุนายน และสวิสเซอร์แลนด์ กำลังไปในทิศทางไหน วันที่ 25 มิถุนายน) ก็ขอถือ
โอกาสพูดคุยเกี่ยวกับสวิสเซอร์แลนด์อีกครั้ง ว่าด้วยการเมืองอาสาของสวิสเซอร์แลนด์
ความว่าผู้แทนรัฐสภา ทั้งสภาสูง (Council of States/Ständerat) และสภาล่าง
(National Council/Nationalrat) ส่วนใหญ่เป็นผู้แทนกึ่งเวลา (Part time) โดยต่างมีอาชีพ
ประจำของตนเอง เช่น เป็นครู ทหาร ตำรวจ หรือแพทย์ เป็นต้น คือมีเงินเดือนประจำ
หรือรายได้ของตนเอง แล้วค่อยมาทำงานเป็นนักการเมือง หรือเป็นผู้แทนควบคู่ไปด้วย
ดังนั้นนักการเมืองสวิสเซอร์แลนด์จึงไม่ได้รับเงินเดือนจากรัฐสภา แต่จะได้ค่าตอบแทนจาก
จำนวนวันที่มาทำงาน หรือมีภารกิจอยู่ที่รัฐสภาเท่านั้น คล้ายๆ กับลูกจ้างรายวัน และนอกจากนั้น
รัฐก็ไม่ได้จ่ายเงินให้กับการว่าจ้างผู้ช่วยหรือเลขานุการให้กับนักการเมืองแต่ละคนของเขาแต่
อย่างใด ทำให้เมื่อเทียบกับนักการเมืองของประเทศอื่นๆ ทั่วโลกแล้ว นักการเมืองสวิสเซอร์แลนด์
เป็นภาระค่าใช้จ่ายต่อรัฐน้อยมาก
ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับกรณีของไทย ที่ตำแหน่งผู้แทนในรัฐสภามีเงินเดือนเป็นแสน แถมรัฐ
ยังใจดีจ่ายเงินเดือนกับบรรดาผู้ช่วย ที่ปรึกษา และเลขา (รวม 8 ตำแหน่ง) ของสมาชิกรัฐสภา
แต่ละท่าน แล้วไหนยังจะมีค่าเบี้ยประชุมยุบยั่บ แล้วยังมีออพชั่นเป็นค่าเดินทางภายในประเทศฟรี
โดยรัฐจ่ายให้หมด รวมถึงมีงบเดินทางไปดูงานต่างประเทศให้เป็นระยะๆ และเมื่ออยู่ในตำแหน่ง
ไปสักพัก ไม่ว่าจะทั้งตำแหน่งผู้แทน ตำแหน่งวุฒิสภา และบรรดาลิ่วล้อ ก็จะได้รับการเชิดชูเกียรติ
เป็นเหรียญตราและสายสะพายอีกด้วย
ที่ผ่านมา นักการเมืองน้ำดีก็มีการหยิบยกเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาขอให้พิจารณา ทบทวนเรื่องความฟุ้งเฟ้อ
ฟุ่มเฟือย ที่เกินความจำเป็นของตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ รวมถึงค่าตอบแทนทางการเมืองในรัฐสภา
แต่ก็จะโดนล้มโต๊ะทุกทีไป เนื่องจากไปทุบหม้อข้าวเขา ก็เลยไม่สำเร็จเสียที ดังนั้นในขณะนี้ ที่เรา
กำลังอยู่ในสภาวะปฏิรูปกัน ท่านผู้นำที่บอกว่าตนเองไม่ใช่นักการเมือง แต่อาสามาแก้ไขปัญหาประเทศ
และประกาศว่าจะทำในสิ่งที่นักการเมืองทำไม่สำเร็จ จึงน่าจะได้นำเรื่องนี้มาพิจารณา หาความสมดุลย์
ระหว่างหลักการอาสาสมัคร กับหลักการเรียกร้องผลตอบแทนให้สมเหตุสมผลกันเสียที
ที่ผ่านๆ มา การเมืองของสวิสเซอร์แลนด์อยู่บนหลักคานอำนาจกันระหว่างพรรคการเมือง ด้วยการ
อำนวยให้พรรคการเมืองต่างๆ มีโอกาสมีที่นั่งรัฐสภา ผ่านทางการเลือกตั้งระบบสัดส่วน รัฐบาลทุก
รัฐบาลของเขาจึงเป็นรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคใดเป็นใหญ่ ผูกขาดอำนาจเป็นเสียงข้างมากเด็ดขาดแต่
เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นกลไกป้องกันระบบเสียงข้างมากลากไป หรือเผด็จการรัฐสภา และเมื่อเขาเป็นรัฐบาล
ผสม ก็เป็นรัฐบาลผสมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจำเป็นในการปรึกษาหารือ เพื่อการหาฉันทมติร่วมกัน
ให้ปรากฏออกมา ซึ่งถือเป็นประเพณีปฏิบัติที่สำคัญยิ่งของการเมืองสวิสเซอร์แลนด์
อีกทั้งสวิสเซอร์แลนด์ยังได้พัฒนาการเมืองแบบประชาธิปไตยทางตรงให้งอกเงยขึ้นมาเป็นลำดับ ไม่ว่า
จะเป็นทั้งในระดับชาติ ระดับมณฑลจังหวัด (Canton) ระดับเทศบาล หรือระดับเขตชุมชน โดยจัดให้มี
การลงประชามติในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของแต่ละระดับอย่างสม่ำเสมอ
อำนาจทางการเมืองที่แท้จริงของประเทศเขาจึงมิได้กระจุกตัวอยู่ที่ส่วนกลาง รัฐสภา และข้าราชการ
ทุกระดับต้องฟังเสียงของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสำคัญของท้องถิ่น หรือในส่วนกลางของชาติ
ก็ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินด้วยการลงประชามติทั้งสิ้น
การกระจายอำนาจอย่างกว้างขวางและทั่วถึงของสวิสเซอร์แลนด์ทำให้รัฐบาลและผู้บริหารส่วนกลาง
มีงานน้อยลงไปเรื่อยๆ จนขนาดทำให้คณะรัฐมนตรีมีเพียงแค่ 7 คนก็เพียงพอต่อการบริหารประเทศ
และยังกำหนดให้ผลัดเวียนกันเป็นประธานาธิบดีคนละ 1 ปี เพื่อรับผิดชอบงานรัฐพิธีต่างๆ ซึ่งทั้งหมด
นี้สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศของเขา เสียงของประชาชนเป็นใหญ่จริงๆ เพราะสามารถเป็นผู้ควบคุมกำกับ
ภาครัฐทั้งส่วนกลางและท้องถิ่นอย่างเบ็ดเสร็จ
ซึ่งที่ประชาชนของเขาสามารถควบคุมรัฐบาลได้ ก็เพราะพลเมืองมีองค์ความรู้ และโอกาสในการ
การเข้าถึงซึ่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ของกิจการรัฐ ซึ่งฝ่ายรัฐทุกระดับมีหน้าที่ที่จะต้องป้อนข้อมูล
และเปิดโอกาสให้ประชาชนรับรู้ และจัดให้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง ระหว่างผู้เสนอกับผู้คัดค้าน
ต่อเรื่องหนึ่งเรื่องใด จนประชาชนสามารถมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ โดยทั้งนี้ทั้งนั้น ฝ่าย
การเมืองของเขาเชื่อมั่น (Trust) ในตัวประชาชน และในทางกลับกัน ประชาชนเองก็เชื่อว่า ผู้ที่อาสา
เข้ามาเล่นการเมืองของเขา จะเล่นตามกติกาด้วยความซื่อสัตย์ และปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง
หันกลับมามองเมืองไทย ผมเองไม่เห็นด้วยกับความคิดว่า คนไทยเป็นผู้มีความรู้น้อย มีเพียงผู้นำ
หรือชนชั้นผู้นำเท่านั้นที่รู้ดี ประชาชนจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำอย่างสุดหัวใจ เพราะหากท่านเชื่อ
เช่นนั้น ประเทศไทยก็จะตกอยู่ในวัฐจักรเหล่านี้ต่อไปอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ที่คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล
แล้วสักพักคนเมืองก็ล้มรัฐบาล อยู่กันไม่ทันครบเทอม ทำงานไม่ทันเห็นผล สังคมแบ่งเป็นคนเมือง
คนรากหญ้า บลัฟกันไปบลัฟกันมา ต่างก็คิดว่าเอ็งโง่ ข้าฉลาด ขาดความสามัคคี
ผมเองยังเชื่อว่า หากคนไทยได้รับโอกาสอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาตนเองทางประชาธิปไตยที่
เหมาะสม ได้รับการปลูกฝังจิตสำนึกสาธารณะ รวมถึงสิทธิและหน้าที่พลเมือง ที่มาพร้อมๆ กัน
มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ของรัฐ และได้รับการอธิบายความ ชาวไทยทั้งหลายก็จะเป็นผู้ที่มีความ
สามารถ เนื่องจากกลายเป็นผู้รู้ลึก และรู้จริง ในวันนั้น ประชาชนชาวไทยก็จะสามารถตัดสินใจอนาคต
ของตนเองได้เอง กลายเป็นประชาธิปไตยแบบยั่งยืน ที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ไม่ต้องรอ
ให้ชนชั้นปกครองมาชี้นิ้วนำอยู่ร่ำไปในทุกๆ เรื่อง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ บรรดาสมาชิกรัฐสภา
ก็จะได้มีภาระที่น้อยลง ไม่ต้องเปลืองงบจากภาษีประชาชนมาจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงประชุม และค่าอื่นๆ
จิปาถะมากมาย เพราะทำหน้าที่บริหารเป็นหลัก ไม่ใช่หน้าที่ปกครอง ส่วนเรื่องการตัดสินใจก็ปล่อย
ให้ประชาชนว่ากันไป
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะกลายเป็นเพียงฝันกลางวัน หากประชาชนไทย ไม่ร่วมมือร่วมใจกันใน
การปฏิรูปครั้งนี้ ซึ่งปัจจัยสำคัญนั้นอยู่ที่ทัศนคติของท่านผู้นำ ผู้ที่อาสาเข้ามาปฏิรูปประเทศ ว่า
ท่านจะเชื่อเหมือนผมหรือไม่ ว่าโดยพื้นฐานแล้ว คนไทยเป็นคนที่มีคุณภาพ เพียงแต่ขาดโอกาส
เท่านั้นเอง