
สวัสดีครับ
พ่อแม่คุยกับเพื่อนไว้ก่อนที่จะไปทางโทรศัพท์ ใจความหลักคือ
ประมาณนี้ >>> อยู่สวนผึ้ง มาเที่ยวนะ อากาศดีมากเลย อยู่กลางเขา นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
ตั้งต้นก่อนเลยว่าก่อนที่เราจะเข้าไปพื้นที่ตรงกลางป่าเขา
ไม่รู้ว่าด้วยซ้ำเราจะต้องบุกเข้าไปกลางป่าขนาดนั้น
แต่พอกลับออกมาแล้วคิดว่าคุ้มมากครั้งนึงในชีวิต
ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเก็บภาพมาตั้งกระทู้นี้เลย
แต่รูปที่ถ่ายมาคิดว่าน่าจะพออวดได้พอเจ้าใจอะไรหลายๆอย่าง
จึงอยากที่จะอยากให้ชาว Pantip ได้เห็นกัน
ชีวิตกลางป่าเขา ที่ไร้ไฟฟ้า ไร้ระบบการประปา ไร้สัญญาณโทรศัพท์
มีแต่ธรรมชาติแท้ๆ รอบตัว
อย่าได้ถามถึงร้านสะดวกซื้ออะไรใดๆทั้งสิ้น
Facebook Line หนะหรอ ไม่มีทาง
พ่อแม่เป็นคนเมืองไปมีเพื่อนเป็นชาวบ้านกลางป่าเขาได้ไงหละ >>>
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพื่อนของพ่อแม่เคยใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมืองกับพ่อแม่เรานี่แหละ แต่กลับอยากไปใช้ชีวิตที่ธรรมชาติแท้ๆ
โดยเค้าไปหาที่ดินเอง คือเป็นที่แบบเช่าจากราชพัสดุหนะครับ
เราเลยมุ่งหน้าขับรถขึ้นสวนผึ้งในวันที่ 31/7/58
ขับไปตามทางที่เพื่อนพ่อแม่บอกจุดสำคัญๆ
ขึ้นไปตามทางเดอะรีสอร์ทสวนผึ้งขับเลยมาไม่ไกล
เลี้ยวที่ทางแยกเข้า สำนักสงฆ์แปดเหลี่ยม
พอถึงจุดนี้เท่านั้นแหละะะะ
ฮึ้ยยยยย เค้าบอกทางเราผิดรึเปล่าหว่าาาาาาาา

(ขออนุญาตใช้รูปจาก Google Map นะครับ ตอนนั้น อึนอยู่เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา)
รีบติดต่อเพื่อนคุณแม่ (ติดต่อยังไงในเมื่อเค้าอยู่กลางป่า อันนี้เดี๋ยวบอกต่อตามลำดับ)
ใช่แล้วทางนี้แหละ เข้ามาเลย เข้ามาแล้วจะต้องลุยน้ำผ่านหกห้วยนะ
ฝนมันเพิ่งตกขับรถระวังๆนะ ดินมันลื่น มีทางชันขึ้นลงเพราะมันเส้นทางบนเขา
สู้ๆกันนะ ถ้าบอกก่อนว่าทางเข้าลำบากกลัวจะไปมากัน ฮ่าๆๆๆ
รับทราบตามนี้แล้ว ขับรถเข้าไปลุยต่อเลยยยยย
สภาพการเดินทางจนกว่าจะเข้าไปถึงมีแค่นี้แหละ นานๆทีจะเจอบ้านสักหลัง
นับห้วยที่ต้องขับรถผ่านไปเรื่อยจนครบหกห้วย อื้อหือคือไม่ใกล้เลยยยยยยย
ไกลจากถนนสายหลักมาก
และแล้วก็ถึงสักที
นี่คือสภาพบ้านปลายทางของการเดินทางครั้งนี้
มีอาหารเช้าแบบบ้านๆ ต้อนรับ การกินไม่มีอะไรยุ่งยาก บ้านๆไทยแท้ๆนี่แหละ
(เพื่อนคุณแม่จัดแกงใต้ของโปรดแม่เรารอไว้)
กินไร นั่งคุยกันสักพักเริ่มอยากสำรวจ ลุยกันเลยยยยย
ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าจากทางการเข้าถึงใช้เพียงแผงโซล่าเซลล์
ซึ่งเครื่องใช่ไฟฟ้ามีเพียง หลอดไฟ LED และตัวแปลงไฟจากโซล่าเซลล์เป็นไฟบ้าน 220 โวลล์ เพื่อใช้ชาร์จโทรศัพท์
น้ำใช้นั้นใช้น้ำจากน้ำบนเขาที่ไหลลงมาตามห้วย
ดื่มน้ำฝนกัน
นี่คือหลอดไฟที่ใช้ให้แสงสว่าง
นี่ครับโทรศัพท์ ถ้าเป็นโทรศัพท์ธรรมดาๆสัญญาณจะไม่ถึง ต้องดัดแปลงโทรศัพท์ต่อสายขึ้นไปบนเสาสูง
เราเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเสานั่นมา ลักษณะจะเป็นแบบเสาอากาศโทรทัศน์แหละครับ
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเสา และดัดแปลงโทรศัพท์ ราคาประมาณ 4 พันบาท
ให้บริการโดยช่างๆแถวๆหมูบ้านแหละ
ถึงจะกลางป่าเขาห้องนำก็ไม่มั่วนะครับ
ดูดี ได้บรรยากาศยังกับรีสอร์ท (น้ำแรงมากครับเพราะต่อท่อมาจากบนเขาสูงขึ้นไปตามทางอีก 1 กม.)
เข้าป่า เข้าสวนกันเถอะะะ
บ่อเลี้ยงปลา
ไม่ง่ายเลยแหละะะะ
มีพริกปลูกไว้แบบนี้เยอะมากตามไหล่ทางเดิน
ต้นนี้ถ้าผมจำไม่ผิดคือต้นทุเรียนนะครับ
ระหว่างทางก็เจอสิ่งสวยงามที่ธรรมชาติสร้าง
ดงตะไคร้ครับ
ทั้งกล้าย อ้อย อะไรหลายๆอย่าง
อันนี้ต้นข่าครับ กำลังออกดอกพอดี
ข้างหน้ามีสวนยางพารา รูปบ้านนั่นคือบ้านของคนงาน
ดงมะละกอ
ดงพริกไทย
ต้นลองกอง
ฝรั่งขี้นก
ขนุน
ปาล์ม
มะเขือ
อัญชัน
มีคนใช้ชีวิตกลางป่าแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนแม่เราเท่านั้น
มีอีกหลายๆหลังแต่ไม่เกินสิบหลังนะ แต่ละหลังห่างกันเกิน 500 เมตรแน่นอน
ชีวิตการกินอยู่คือธรรมชาติแท้ๆ
กินกันส่วนใหญ่จะเป็นผัก พวกเนื้อสัตว์นั้นก็ปลาที่เลี้ยง
ส่วนหมูถ้าออกไปในเมืองจึงจะซื้อเข้ามาแล้วต้องนึ่งไว้เพื่อเป็นการถนอม
ผู้คนแถวนี้น่ารัก มีอะไรกินแบ่งกัน แลกกัน
อาชีพของคนแถวนี้คือการเกษตรแหละครับ
จะมีพ่อค้าเข้ามารับซื้อตามกำหนด
ต้นนี้ของใครปลูกไม่ใช่ประเด็นเลย ขอแค่เอาไปแต่พอกินก็พอแล้ว
และการปลูกอะไรที่นี่นั้นไม่มีการใส่ปุ๋ยอะไรทั้งสิ้น
ธรรมชาติล้วนๆเลยจริงๆ
อีกอย่างนึงเรื่องการบริการทางการแพทย์
หากเจ็บป่วยก็ต้องออกไปในเมืองแแหละครับการเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง (โดยรถยนต์นะ)
เป็นอนามัยชุนชนครับ
เหนื่อยนะครับกับการลุยเข้าไปลึกกขนาดนั้น
แต่สิ่งที่ได้มันคือความสุข
มันคือครั้งนึงของชีวิต ครั้งแรกเลยแหละ ที่ได้เข้ามาในดินแดนแห่งนี้
ที่เป็นธรรมชาติแท้ไร้การปรุปแต่ง
สูดลมหายใจเข้าไปแล้วมันมีความสุขมาก มากกว่าสังคมเมือง
บางทีเราหายไปในนั้นไร้การติดต่อทางสังคมออนไลน์ที่ใช้อยู่ทุกวัน
ก็มีความสุขในแบบที่เราพบเจอ ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง อยู่กับคนรอบข้าง
คนแถวนั้นบอกว่าคนเมืองอยู่กันได้ไงรถเยอะ ผู้คนเยอะเยะ ดูมันวุ่นวายมาก
มันไม่ใช่สังคมในแบบที่เค้าเจอ เวลาเค้าเข้าเมืองกันมันคือความทุกข์ของเค้าๆเลยก็ว่าได้
และท้ายสุด ธรรมชาติที่น่ารัก
ขอบคุณโอกาสครั้งนี้จริงๆ ที่ทำให้ได้พบธรรมชาติที่แสนงดงามไร้การปรุงแต่งใดๆ
ขอเวลาพักมือสักครู่
แล้วจะพาไปต่ออีกที่นึง นั่นคือศูนย์ลี้ภัยทางการสู้รบชายแดนไทยพม่า เดินทางต่อจากจุดที่เข้าไปนั้นไปอีกไกลพอสมควร
แต่อยากไปเลยต้องลุย

ที่นี่สวนผึ้ง ราชบุรี แต่ไม่ใช่รีสอร์ทหรือฟาร์ม แต่มันคือ กลางป่าเขาธรรมชาติที่ไร้การปรุงแต่ง (น้อยคนนักที่จะเข้าไปถึง)
พ่อแม่คุยกับเพื่อนไว้ก่อนที่จะไปทางโทรศัพท์ ใจความหลักคือ
ประมาณนี้ >>> อยู่สวนผึ้ง มาเที่ยวนะ อากาศดีมากเลย อยู่กลางเขา นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
ตั้งต้นก่อนเลยว่าก่อนที่เราจะเข้าไปพื้นที่ตรงกลางป่าเขา
ไม่รู้ว่าด้วยซ้ำเราจะต้องบุกเข้าไปกลางป่าขนาดนั้น
แต่พอกลับออกมาแล้วคิดว่าคุ้มมากครั้งนึงในชีวิต
ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเก็บภาพมาตั้งกระทู้นี้เลย
แต่รูปที่ถ่ายมาคิดว่าน่าจะพออวดได้พอเจ้าใจอะไรหลายๆอย่าง
จึงอยากที่จะอยากให้ชาว Pantip ได้เห็นกัน
ชีวิตกลางป่าเขา ที่ไร้ไฟฟ้า ไร้ระบบการประปา ไร้สัญญาณโทรศัพท์
มีแต่ธรรมชาติแท้ๆ รอบตัว
อย่าได้ถามถึงร้านสะดวกซื้ออะไรใดๆทั้งสิ้น
Facebook Line หนะหรอ ไม่มีทาง
พ่อแม่เป็นคนเมืองไปมีเพื่อนเป็นชาวบ้านกลางป่าเขาได้ไงหละ >>> [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราเลยมุ่งหน้าขับรถขึ้นสวนผึ้งในวันที่ 31/7/58
ขับไปตามทางที่เพื่อนพ่อแม่บอกจุดสำคัญๆ
ขึ้นไปตามทางเดอะรีสอร์ทสวนผึ้งขับเลยมาไม่ไกล
เลี้ยวที่ทางแยกเข้า สำนักสงฆ์แปดเหลี่ยม
พอถึงจุดนี้เท่านั้นแหละะะะ
ฮึ้ยยยยย เค้าบอกทางเราผิดรึเปล่าหว่าาาาาาาา
(ขออนุญาตใช้รูปจาก Google Map นะครับ ตอนนั้น อึนอยู่เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา)
รีบติดต่อเพื่อนคุณแม่ (ติดต่อยังไงในเมื่อเค้าอยู่กลางป่า อันนี้เดี๋ยวบอกต่อตามลำดับ)
ใช่แล้วทางนี้แหละ เข้ามาเลย เข้ามาแล้วจะต้องลุยน้ำผ่านหกห้วยนะ
ฝนมันเพิ่งตกขับรถระวังๆนะ ดินมันลื่น มีทางชันขึ้นลงเพราะมันเส้นทางบนเขา
สู้ๆกันนะ ถ้าบอกก่อนว่าทางเข้าลำบากกลัวจะไปมากัน ฮ่าๆๆๆ
รับทราบตามนี้แล้ว ขับรถเข้าไปลุยต่อเลยยยยย
สภาพการเดินทางจนกว่าจะเข้าไปถึงมีแค่นี้แหละ นานๆทีจะเจอบ้านสักหลัง
นับห้วยที่ต้องขับรถผ่านไปเรื่อยจนครบหกห้วย อื้อหือคือไม่ใกล้เลยยยยยยย
ไกลจากถนนสายหลักมาก
และแล้วก็ถึงสักที
นี่คือสภาพบ้านปลายทางของการเดินทางครั้งนี้
มีอาหารเช้าแบบบ้านๆ ต้อนรับ การกินไม่มีอะไรยุ่งยาก บ้านๆไทยแท้ๆนี่แหละ
(เพื่อนคุณแม่จัดแกงใต้ของโปรดแม่เรารอไว้)
กินไร นั่งคุยกันสักพักเริ่มอยากสำรวจ ลุยกันเลยยยยย
ที่นี่ไม่มีไฟฟ้าจากทางการเข้าถึงใช้เพียงแผงโซล่าเซลล์
ซึ่งเครื่องใช่ไฟฟ้ามีเพียง หลอดไฟ LED และตัวแปลงไฟจากโซล่าเซลล์เป็นไฟบ้าน 220 โวลล์ เพื่อใช้ชาร์จโทรศัพท์
น้ำใช้นั้นใช้น้ำจากน้ำบนเขาที่ไหลลงมาตามห้วย
ดื่มน้ำฝนกัน
นี่คือหลอดไฟที่ใช้ให้แสงสว่าง
นี่ครับโทรศัพท์ ถ้าเป็นโทรศัพท์ธรรมดาๆสัญญาณจะไม่ถึง ต้องดัดแปลงโทรศัพท์ต่อสายขึ้นไปบนเสาสูง
เราเสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเสานั่นมา ลักษณะจะเป็นแบบเสาอากาศโทรทัศน์แหละครับ
ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเสา และดัดแปลงโทรศัพท์ ราคาประมาณ 4 พันบาท
ให้บริการโดยช่างๆแถวๆหมูบ้านแหละ
ถึงจะกลางป่าเขาห้องนำก็ไม่มั่วนะครับ
ดูดี ได้บรรยากาศยังกับรีสอร์ท (น้ำแรงมากครับเพราะต่อท่อมาจากบนเขาสูงขึ้นไปตามทางอีก 1 กม.)
เข้าป่า เข้าสวนกันเถอะะะ
บ่อเลี้ยงปลา
ไม่ง่ายเลยแหละะะะ
มีพริกปลูกไว้แบบนี้เยอะมากตามไหล่ทางเดิน
ต้นนี้ถ้าผมจำไม่ผิดคือต้นทุเรียนนะครับ
ระหว่างทางก็เจอสิ่งสวยงามที่ธรรมชาติสร้าง
ดงตะไคร้ครับ
ทั้งกล้าย อ้อย อะไรหลายๆอย่าง
อันนี้ต้นข่าครับ กำลังออกดอกพอดี
ข้างหน้ามีสวนยางพารา รูปบ้านนั่นคือบ้านของคนงาน
ดงมะละกอ
ดงพริกไทย
ต้นลองกอง
ฝรั่งขี้นก
ขนุน
ปาล์ม
มะเขือ
อัญชัน
มีคนใช้ชีวิตกลางป่าแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อนแม่เราเท่านั้น
มีอีกหลายๆหลังแต่ไม่เกินสิบหลังนะ แต่ละหลังห่างกันเกิน 500 เมตรแน่นอน
ชีวิตการกินอยู่คือธรรมชาติแท้ๆ
กินกันส่วนใหญ่จะเป็นผัก พวกเนื้อสัตว์นั้นก็ปลาที่เลี้ยง
ส่วนหมูถ้าออกไปในเมืองจึงจะซื้อเข้ามาแล้วต้องนึ่งไว้เพื่อเป็นการถนอม
ผู้คนแถวนี้น่ารัก มีอะไรกินแบ่งกัน แลกกัน
อาชีพของคนแถวนี้คือการเกษตรแหละครับ
จะมีพ่อค้าเข้ามารับซื้อตามกำหนด
ต้นนี้ของใครปลูกไม่ใช่ประเด็นเลย ขอแค่เอาไปแต่พอกินก็พอแล้ว
และการปลูกอะไรที่นี่นั้นไม่มีการใส่ปุ๋ยอะไรทั้งสิ้น
ธรรมชาติล้วนๆเลยจริงๆ
อีกอย่างนึงเรื่องการบริการทางการแพทย์
หากเจ็บป่วยก็ต้องออกไปในเมืองแแหละครับการเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง (โดยรถยนต์นะ)
เป็นอนามัยชุนชนครับ
เหนื่อยนะครับกับการลุยเข้าไปลึกกขนาดนั้น
แต่สิ่งที่ได้มันคือความสุข
มันคือครั้งนึงของชีวิต ครั้งแรกเลยแหละ ที่ได้เข้ามาในดินแดนแห่งนี้
ที่เป็นธรรมชาติแท้ไร้การปรุปแต่ง
สูดลมหายใจเข้าไปแล้วมันมีความสุขมาก มากกว่าสังคมเมือง
บางทีเราหายไปในนั้นไร้การติดต่อทางสังคมออนไลน์ที่ใช้อยู่ทุกวัน
ก็มีความสุขในแบบที่เราพบเจอ ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง อยู่กับคนรอบข้าง
คนแถวนั้นบอกว่าคนเมืองอยู่กันได้ไงรถเยอะ ผู้คนเยอะเยะ ดูมันวุ่นวายมาก
มันไม่ใช่สังคมในแบบที่เค้าเจอ เวลาเค้าเข้าเมืองกันมันคือความทุกข์ของเค้าๆเลยก็ว่าได้
และท้ายสุด ธรรมชาติที่น่ารัก
ขอบคุณโอกาสครั้งนี้จริงๆ ที่ทำให้ได้พบธรรมชาติที่แสนงดงามไร้การปรุงแต่งใดๆ
ขอเวลาพักมือสักครู่
แล้วจะพาไปต่ออีกที่นึง นั่นคือศูนย์ลี้ภัยทางการสู้รบชายแดนไทยพม่า เดินทางต่อจากจุดที่เข้าไปนั้นไปอีกไกลพอสมควร
แต่อยากไปเลยต้องลุย