ผมมีเพื่อนสนิทอยุ่คนหนึ่ง เราสนิทกันมาก เรามาเป็นเพื่อนกันจากการที่เราเรียนมัธยมห้องปลายห้องเดียวกัน
แต่อยู่คนละกลุ่ม เขาเป็นคนเงียบๆ แปลกๆ ชอบอยู่คนเดียว
เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเดินเข้าไปคุยและสนิทกัน
ด้วยความที่เข้าเป็นคนที่หน้าตาดี มีคนหลงไหลเยอะ
ทำให้แรกๆผมก็ไม่ได้อะไรมากมาย
เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นพอไกล้จะจบ ม.ปลาย เราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง
และเขาก็มักจะแชร์ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับเขาให้เราฟังเสมอ
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเราไม่ใช่ชายแท้ แต่ก็ยังยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเรา
จนบางครั้งเพื่อนๆเขาเองยังสงสัยเลยว่าตกลงสองคนนี้สนิทกันได้ยังไง
วันเรียนจบ เราไปเที่ยวกันยกห้องซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ด้วยกัน
เพราะเขาเอนท์ติดคนละที่กับผม และมหาลัยก็อยู่ไกลกันคนละภาค
วันนั้นเองเป็นวันที่ผมสารภาพกับเขาว่า ชอบเขา
แต่คำตอบที่ได้รับจากเขาคือ เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า คือไม่ได้ผิดหวังหรอก
เพราะยังดีที่เขาไม่ได้รังเกียจเรา และยังยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเรา
เราเริ่มห่างกันเมื่อแต่ละคนอยู่คนละมหาลัย คุยกันน้อยลง เพราะแต่ละคนได้เพื่อนใหม่ สังคมใหม่
นานๆครั้งที่เราจะได้คุยถามทุกข์ สุข ของกันและกัน จริงๆก็เกือบลืมเขาไปแล้วล่ะ
ทำไงได้ เขาเด็กวิศวะคงจะมีคนตามจีบเยอะแน่ๆ เหอะๆ แต่เราก็ยังตัดกันไม่ขาด
เพราะเวลาเขามีปัญหาแต่ละครั้ง เขามักจะโทรมาระบายที่ผมเป็นคนแรก
จึงทำให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับเขาหมด และเขาก็รู้เรื่องเราหมด เพราะต่างคนไม่ปิดกั้น
เคยถามเขาตอนนั้นว่าทำไมไม่มีแฟน เขาบอกว่ายังหาสาวๆที่ถุกใจไม่ได้
ยังจำได้เลยบางวันเราคุยกันตั้งแต่ 4 ทุ่ม ยันเช้าเลย 555+ ไม่รู้คุยอะไร
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมยังจำได้ดีคือ ในเวลาที่ผมลำบาก เขามักเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้ามาช่วย
โดยที่บางครั้งเราไม่ได้ขอร้อง 4 ปีที่เราเรียนคนละมหาลัย
โดยที่เขาไม่มีแฟนเลยทำให้เราสนิทกันมากขึ้นอีก
เพราะแต่ละคนต่างไม่ต้องเผื่อเวลาไปให้ใคร
เพราะความเป็นเพื่อนสนิทนี่แหละ มันทำให้เกิดความลังเลในตัวเราตลอด
เขารู้มาตลอดว่าผมชอบเขา แต่เราก็สนิทกับแบบนี้เรื่อยมาจนเรียนจบ
หลังเรียนจบ เขาได้งานก่อนผม 4 เดือน เป็นธรรมดา จบ วิศวะ หางานง่าย 555+
ช่วงที่เขาได้งานใหม่ๆนี่ เขาโทรหาผมทุกๆเวลาพักเลยล่ะ คือ เด็กเพิ่งจบ เริ่มงานใหม่ๆ มีปัญหาร้อยแปด
ผมนี่แหละที่คอยเป็นที่ระบายของเขา รับรู้ปัญหาทุกอย่าง มีอะไรที่แนะนำได้ก็แนะกันไป
จนผมได้งานบ้างแต่งานที่ผมได้นี่สิอยู่คนละประเทศกับเขา ทำให้เวลามีปัญหาอะไรเราก็คุยกันทาง วิดิโอคอล กันเลยทีเดียว
คิดดูสิ เวลาจะคุยกันก็ต้องมีวิดิโอคอลทุกครั้ง เราคุยกันทุกวัน จะไม่ให้ผมไม่ชอบเขามากขึ้นได้ยังไง
แต่ทุกครั้งที่ผมบินกลับมาเมืองไทยเขาจะเป็นคนไปรับที่สนามบิน และจะพักกับเขาทุกครั้ง
จากที่ผมเป็นคนไม่เคยดุแลใคร กลับมาต้อง ปัดกวาด ถูบ้าน รีดผ้า หาของกินให้
ชิวิตช่วงนี้ของผมกับเขาถือว่าผมมีความสุขมาก เวลาที่ทำงานต่างประเทศ เขาก็จะมีโทรมา โทรปลุกทุกเช้า มีแมสแสจทุกเช้า
แบบนี้จะไม่ให้มโนได้ไงคับ ผมคิดไปเองและมโนอย่างเต็มที่ในจังหวะนี้
มีวันนึงเราคุยกันถึงเรื่องอนาคตของแต่ละคน ผมเลยถามเขาว่า ยังไม่มีแฟนอีกหรอ เดี๋ยวจะมีลูกไม่ทันใช้นะ
เขาก็ตอบแบบ ก็ดุๆกันอยู่ คือเดาว่าน่าจะเป็นคนเรื่องมาก แล้วเขาก็ลองส่งรูปผุ้หญิงที่คุยๆกันให้ผมดุ
ผมก็ไม่คิดอะไรมาก แค่คิดว่ายังไงเขาก็ยังเป้นเพื่อนเรา ยังสนิทกับเราเหมือนเดิม
พฤติกรรมเขาไม่เปลี่ยน ยังแทคแคร์เราเหมือนเดิม
ในวันที่ผมตัดสินใจกลับมาทำงานที่เมืองไทย ก็มีเขานี่แหละที่คอยจัดการในทุกๆเรื่อง
ทั้งเรื่องที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกในกรุงเทพ
คือ ถึงแม้ว่าเราจะสนิทกันมากแค่ไหน ผมก็ยังอยากอยุ่คนเดียว กลัวจะมีปัญหาทีหลัง แต่มันไม่เป็นแบบนั้น
ผมทำงานในกรุงเทพ เขากลับเป็นคนมาหาผมทุกอาทิตย์ ดูแลผมอย่างดีมากกกกกกก
มารับ ไปส่ง พาไปกินข้าว มันเป็นแบบนี้ทุกวันจนบางทีผมก็อดใจที่จะคิดมากกว่านั้นอยุ่ตลอด
ถ้าถามว่ามีความสุขมั้ย มีมาก เพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่คอยแทคแคร์เราดีขนาดนี้
แต่แล้วทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขากับผู้หญิงคนนั้นเริ่มสนิทกันมากขึ้น
จนบางทีผมออกอาการหึง ทั้งที่ๆเรารู้ตลอดว่าเป็นได้แค่เพื่อน
เขาสนิทกันมากขึ้นถึงขนาดคุยเรื่องแต่งงานกัน
ส่วนผมหรอเป็นที่ปรึกษาอีกตามเคย เพราะเขาไว้ใจที่จะบอกผมทุกเรื่อง
แม้กระทั่งไปเจอญาติผุ้ใหญ่ของผุ้หญิงเขายังให้ผมช่วยดูเรื่องการแต่งตัวเลย
จากแต่ก่อนเวลาไปกินข้าวด้วยกันเราจะไม่ตอบไลน์คนอื่นเวลาที่เราอยุ่ด้วยกัน
ตอนนี้มันเปลี่ยนไปหมด แต่สิ่งที่เขายังทำไม่เปลี่ยนคือ มาหาที่ห้องประจำและพาไปกินข้าวทุกครั้ง
แต่ก็ไม่ปฏิเสทที่เขาจะคุยกับแฟนเขามากขึ้นเช่นเดียวกัน
ในขณะที่ผมเริ่มไม่คิดมากเรื่องเขาเพราะเห็นว่าเราคงเป็นได้แค่นี้จริง
แต่เขากลับทำตัวแปลกกับผม มาหาที่ห้องแต่ไม่พูด เงียบ พอผมคุยไลน์กับคนอื่นก็ทำสีหน้าไม่พอใจ
เวลานั่งรถจากที่คุยกันตลอด กลายเป็นว่า เขาตอบไลน์แฟน และผมก็เล่นในส่วนผมของ
บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
วันที่ผมเสียใจมากคือวันที่เขาไปหมั้นแฟนแต่ไม่เอ่ยปากชวนผมสักคำ
ทั้งๆที่เพื่อนคนอื่นๆเขาชวนกันไปหมดเลย ยอมรับเลยว่าเสียใจมาก
ทั้งๆที่เราเองรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับงานหมั้นเขา และช่วยจัดการทุกอย่าง
แต่เขากลับไม่เคยเอ่ยปากชวนผมเลย และเมื่อไม่กี่วันนี้เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน
ไม่ตอบไลน์ พอถามว่าเป็นอะไร ก็ได้รับคำตอบมาว่า ไม่ได้เป็นอะไร มารับ ไปส่งเรา แต่ไม่คุยกับเรา
คือผมรู้สึกอึดอัดมากเลยที่เขาเป็นแบบนี้ เพราะไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
เขาทำดีกับเราแต่ดุเหมือนชีวิตเขาไม่มีความสุขเลย ผมพยายามที่จะทำตัวห่างกับเขา
แต่บางทีก็อดไม่ได้ที่จะรักษาความสัมพันธ์ช่วงเวลาที่เราคอยแก้ปัญหาให้กัน
มันเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทแต่ในขณะเดียวกันก็อยากที่จะเดินไปไกลๆเดินออกจากชีวิตเขา
ณ ตอนนี้เขาก็ยังเงียบโดยที่ผมไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอะไร
หรือความสัมพันธ์ของเราจะจบลงแค่นี้จริงๆ เสียดายเวลาว่ะ
ช-ช 10 ปี ของคำว่าเพื่อนสนิทและความคลุมเครือกันในตอนนี้
แต่อยู่คนละกลุ่ม เขาเป็นคนเงียบๆ แปลกๆ ชอบอยู่คนเดียว
เป็นสาเหตุที่ทำให้เราเดินเข้าไปคุยและสนิทกัน
ด้วยความที่เข้าเป็นคนที่หน้าตาดี มีคนหลงไหลเยอะ
ทำให้แรกๆผมก็ไม่ได้อะไรมากมาย
เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นพอไกล้จะจบ ม.ปลาย เราสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง
และเขาก็มักจะแชร์ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับเขาให้เราฟังเสมอ
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเราไม่ใช่ชายแท้ แต่ก็ยังยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเรา
จนบางครั้งเพื่อนๆเขาเองยังสงสัยเลยว่าตกลงสองคนนี้สนิทกันได้ยังไง
วันเรียนจบ เราไปเที่ยวกันยกห้องซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้ใช้ชีวิตแบบนี้ด้วยกัน
เพราะเขาเอนท์ติดคนละที่กับผม และมหาลัยก็อยู่ไกลกันคนละภาค
วันนั้นเองเป็นวันที่ผมสารภาพกับเขาว่า ชอบเขา
แต่คำตอบที่ได้รับจากเขาคือ เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า คือไม่ได้ผิดหวังหรอก
เพราะยังดีที่เขาไม่ได้รังเกียจเรา และยังยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเรา
เราเริ่มห่างกันเมื่อแต่ละคนอยู่คนละมหาลัย คุยกันน้อยลง เพราะแต่ละคนได้เพื่อนใหม่ สังคมใหม่
นานๆครั้งที่เราจะได้คุยถามทุกข์ สุข ของกันและกัน จริงๆก็เกือบลืมเขาไปแล้วล่ะ
ทำไงได้ เขาเด็กวิศวะคงจะมีคนตามจีบเยอะแน่ๆ เหอะๆ แต่เราก็ยังตัดกันไม่ขาด
เพราะเวลาเขามีปัญหาแต่ละครั้ง เขามักจะโทรมาระบายที่ผมเป็นคนแรก
จึงทำให้เรารู้เรื่องเกี่ยวกับเขาหมด และเขาก็รู้เรื่องเราหมด เพราะต่างคนไม่ปิดกั้น
เคยถามเขาตอนนั้นว่าทำไมไม่มีแฟน เขาบอกว่ายังหาสาวๆที่ถุกใจไม่ได้
ยังจำได้เลยบางวันเราคุยกันตั้งแต่ 4 ทุ่ม ยันเช้าเลย 555+ ไม่รู้คุยอะไร
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมยังจำได้ดีคือ ในเวลาที่ผมลำบาก เขามักเป็นคนแรกที่ยื่นมือเข้ามาช่วย
โดยที่บางครั้งเราไม่ได้ขอร้อง 4 ปีที่เราเรียนคนละมหาลัย
โดยที่เขาไม่มีแฟนเลยทำให้เราสนิทกันมากขึ้นอีก
เพราะแต่ละคนต่างไม่ต้องเผื่อเวลาไปให้ใคร
เพราะความเป็นเพื่อนสนิทนี่แหละ มันทำให้เกิดความลังเลในตัวเราตลอด
เขารู้มาตลอดว่าผมชอบเขา แต่เราก็สนิทกับแบบนี้เรื่อยมาจนเรียนจบ
หลังเรียนจบ เขาได้งานก่อนผม 4 เดือน เป็นธรรมดา จบ วิศวะ หางานง่าย 555+
ช่วงที่เขาได้งานใหม่ๆนี่ เขาโทรหาผมทุกๆเวลาพักเลยล่ะ คือ เด็กเพิ่งจบ เริ่มงานใหม่ๆ มีปัญหาร้อยแปด
ผมนี่แหละที่คอยเป็นที่ระบายของเขา รับรู้ปัญหาทุกอย่าง มีอะไรที่แนะนำได้ก็แนะกันไป
จนผมได้งานบ้างแต่งานที่ผมได้นี่สิอยู่คนละประเทศกับเขา ทำให้เวลามีปัญหาอะไรเราก็คุยกันทาง วิดิโอคอล กันเลยทีเดียว
คิดดูสิ เวลาจะคุยกันก็ต้องมีวิดิโอคอลทุกครั้ง เราคุยกันทุกวัน จะไม่ให้ผมไม่ชอบเขามากขึ้นได้ยังไง
แต่ทุกครั้งที่ผมบินกลับมาเมืองไทยเขาจะเป็นคนไปรับที่สนามบิน และจะพักกับเขาทุกครั้ง
จากที่ผมเป็นคนไม่เคยดุแลใคร กลับมาต้อง ปัดกวาด ถูบ้าน รีดผ้า หาของกินให้
ชิวิตช่วงนี้ของผมกับเขาถือว่าผมมีความสุขมาก เวลาที่ทำงานต่างประเทศ เขาก็จะมีโทรมา โทรปลุกทุกเช้า มีแมสแสจทุกเช้า
แบบนี้จะไม่ให้มโนได้ไงคับ ผมคิดไปเองและมโนอย่างเต็มที่ในจังหวะนี้
มีวันนึงเราคุยกันถึงเรื่องอนาคตของแต่ละคน ผมเลยถามเขาว่า ยังไม่มีแฟนอีกหรอ เดี๋ยวจะมีลูกไม่ทันใช้นะ
เขาก็ตอบแบบ ก็ดุๆกันอยู่ คือเดาว่าน่าจะเป็นคนเรื่องมาก แล้วเขาก็ลองส่งรูปผุ้หญิงที่คุยๆกันให้ผมดุ
ผมก็ไม่คิดอะไรมาก แค่คิดว่ายังไงเขาก็ยังเป้นเพื่อนเรา ยังสนิทกับเราเหมือนเดิม
พฤติกรรมเขาไม่เปลี่ยน ยังแทคแคร์เราเหมือนเดิม
ในวันที่ผมตัดสินใจกลับมาทำงานที่เมืองไทย ก็มีเขานี่แหละที่คอยจัดการในทุกๆเรื่อง
ทั้งเรื่องที่พัก และสิ่งอำนวยความสะดวกในกรุงเทพ
คือ ถึงแม้ว่าเราจะสนิทกันมากแค่ไหน ผมก็ยังอยากอยุ่คนเดียว กลัวจะมีปัญหาทีหลัง แต่มันไม่เป็นแบบนั้น
ผมทำงานในกรุงเทพ เขากลับเป็นคนมาหาผมทุกอาทิตย์ ดูแลผมอย่างดีมากกกกกกก
มารับ ไปส่ง พาไปกินข้าว มันเป็นแบบนี้ทุกวันจนบางทีผมก็อดใจที่จะคิดมากกว่านั้นอยุ่ตลอด
ถ้าถามว่ามีความสุขมั้ย มีมาก เพราะไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่คอยแทคแคร์เราดีขนาดนี้
แต่แล้วทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขากับผู้หญิงคนนั้นเริ่มสนิทกันมากขึ้น
จนบางทีผมออกอาการหึง ทั้งที่ๆเรารู้ตลอดว่าเป็นได้แค่เพื่อน
เขาสนิทกันมากขึ้นถึงขนาดคุยเรื่องแต่งงานกัน
ส่วนผมหรอเป็นที่ปรึกษาอีกตามเคย เพราะเขาไว้ใจที่จะบอกผมทุกเรื่อง
แม้กระทั่งไปเจอญาติผุ้ใหญ่ของผุ้หญิงเขายังให้ผมช่วยดูเรื่องการแต่งตัวเลย
จากแต่ก่อนเวลาไปกินข้าวด้วยกันเราจะไม่ตอบไลน์คนอื่นเวลาที่เราอยุ่ด้วยกัน
ตอนนี้มันเปลี่ยนไปหมด แต่สิ่งที่เขายังทำไม่เปลี่ยนคือ มาหาที่ห้องประจำและพาไปกินข้าวทุกครั้ง
แต่ก็ไม่ปฏิเสทที่เขาจะคุยกับแฟนเขามากขึ้นเช่นเดียวกัน
ในขณะที่ผมเริ่มไม่คิดมากเรื่องเขาเพราะเห็นว่าเราคงเป็นได้แค่นี้จริง
แต่เขากลับทำตัวแปลกกับผม มาหาที่ห้องแต่ไม่พูด เงียบ พอผมคุยไลน์กับคนอื่นก็ทำสีหน้าไม่พอใจ
เวลานั่งรถจากที่คุยกันตลอด กลายเป็นว่า เขาตอบไลน์แฟน และผมก็เล่นในส่วนผมของ
บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
วันที่ผมเสียใจมากคือวันที่เขาไปหมั้นแฟนแต่ไม่เอ่ยปากชวนผมสักคำ
ทั้งๆที่เพื่อนคนอื่นๆเขาชวนกันไปหมดเลย ยอมรับเลยว่าเสียใจมาก
ทั้งๆที่เราเองรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับงานหมั้นเขา และช่วยจัดการทุกอย่าง
แต่เขากลับไม่เคยเอ่ยปากชวนผมเลย และเมื่อไม่กี่วันนี้เขาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน
ไม่ตอบไลน์ พอถามว่าเป็นอะไร ก็ได้รับคำตอบมาว่า ไม่ได้เป็นอะไร มารับ ไปส่งเรา แต่ไม่คุยกับเรา
คือผมรู้สึกอึดอัดมากเลยที่เขาเป็นแบบนี้ เพราะไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
เขาทำดีกับเราแต่ดุเหมือนชีวิตเขาไม่มีความสุขเลย ผมพยายามที่จะทำตัวห่างกับเขา
แต่บางทีก็อดไม่ได้ที่จะรักษาความสัมพันธ์ช่วงเวลาที่เราคอยแก้ปัญหาให้กัน
มันเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทแต่ในขณะเดียวกันก็อยากที่จะเดินไปไกลๆเดินออกจากชีวิตเขา
ณ ตอนนี้เขาก็ยังเงียบโดยที่ผมไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอะไร
หรือความสัมพันธ์ของเราจะจบลงแค่นี้จริงๆ เสียดายเวลาว่ะ