ฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่องแห่งจักรวาล ตอนที่ 4 .... (เรื่องสั้น 5 ตอนจบ)

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ตอนที่ 4


            ยักษ์หนุ่มร่างใหญ่โตกว่าตัวที่พวกเขาสังหารก้าวย่างมาหาพวกเขาด้วยความโกรธแค้นชิงชัง แววตามันโหดเหี้ยมไร้ปรานี มันกู่ร้องก้องด้วยความเจ็บปวดทรมานใจเมื่อมองเห็นร่างเมียรักของมันนอนจมกองเลือด คืนนี้มันจะไม่ปล่อยให้ใครรอดไปได้แม้แต่คนเดียว มันจะจับทุกคนกินให้เกลี้ยงเพื่อสังเวยให้กับเมียรักของมัน มันพุ่งทะยานหาพวกเขาผ่านอากาศเย็นยะเยือกยามค่ำคืนที่มืดมิดมีเพียงแสงจันทร์ที่ทอแสงลงมาส่องจับทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องล่าง ด้วยคามเร็วที่ไม่ใครจะหยุดมันได้ ทุกคนที่ยืนอยู่ไม่มีใครทันตั้งตัวที่จะสู้กับเจ้ายักษ์ที่ตัวใหญ่มหึมาเช่นนี้ ทุกคนต่างยืนมองอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงปนหวาดกลัว

“วิ่ง” ทิมมี่ตะโกนบอกทุกคน แต่ดูเหมือนพวกเขาจะยืนฝังรากอยู่ตรงนั่น ด้วยความตกใจและสยองเกล้าร่างกายพวกเขาหยุดการตอบสนองใดๆ หยุดแม้แต่จะคิดวิ่งหนี

             เจ้ายักษ์หนุ่มถอนต้นไม้ที่อยู่ข้างทางโยนใส่พวกเขาอย่างบ้าคลั่ง และนั่นการเป็นเรียกสติพวกเขากลับมาอีกครั้ง ทุกคนวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต บีน่ากับอดัมถูกต้นไม้หล่นทับขา ส่วนชานและอันโตนิโอต่างช่วยกันรีบดึงทั้งสองออกมา แต่ช้าไป เจ้ายักษ์หนุ่มยกเท้าขึ้นสูงหวังจะปดขยี้พวกเขาทั้งสี่ให้แหลกละเอียดใต้ฝ่าเท้าของมัน

             วินาทีนั่นเองลูกกระสนปืนเลเซอร์พุ่งทะยานแหวกม่านอากาศยามค่ำคืนด้วยความเร็วแสง ทะลุทะลวงเข้าสู่ร่างกายใหญ่โตของมัน ร่างของยักษ์หนุ่มแตกละเอียดเศษชิ้นส่วนของมันกระเด็นกระจายไปทั่วสารทิศ มือของมันตกลงมาตรงกลางที่คนทั้งสี่ยืนอยู่ เลือดสีเขียวเข้มเหนียวเหนอะร่วงหล่นลงอาบตัวพวก อันโตนิโอและอีกสามคนต่างเบ้ปากอย่างรังเกียจเลือดสีเขียวเข้มเหม็นคาวนั่น
เซ็กตันยืนมองผลงานตัวเองด้วยความพออกพอใจ นัดเดียวเอาอยู่มันคือความแม่นยำที่ทหารเก่าอย่างเขาถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เขาสอดปืนเก็บเข้ากระบอกปืนที่คาดไว้ข้างเอว แล้วเดินกลับบ้านอย่างสบายอารมณ์พลางกับเดินผิวปากไปตลอดทาง

********************************************


             เมืองเล็กๆแห่งไซเทนดาวชายขอบที่ล้าสมัยและโดดเดี่ยวเงียบเหงา ถูกทิ้งร้างจากสหพันธ์อวกาศมานานแรมปี ตั้งแต่ที่สหพันธ์อวกาศค้นพบว่าดาวแห่งนี้ไม่แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเลย พวกสหพันธ์ก็ปล่อยให้ชาวเมืองมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก พวกเขาหยุดพัฒนาหยุดส่งเครื่องมือที่ทันสมัยมาให้ชาวเมือง หยุดการส่งเครื่องเวชภัณฑ์หรือแม้แต่อาหารในยามที่พวกเขาประสบปัญหาขาดแคลนเครื่องอุปโภคบริโภค
ชาวเมืองในไซเทนต้องช่วยตัวเองดิ้นรนเอาตัวรอดในทุกวันอย่างยากลำบาก ความเจ็บซ้ำและทุกข์ทรมานเกิดขึ้นในหัวใจของชาวเมืองทุกคน หลายปีที่ความทุกข์กัดกินหัวใจพวกเขา ไม่มีเสียงหัวเราะไม่มีเสียงร้องเพลงหรืองานรื่นเริงต่างๆ ความทุกข์ยากลำบากัดกินความสุขของพวกเขาไปทีละนิดทีละน้อย
และแล้วความหวังก็ทอประกายขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อค่ำคืนแห่งการสังหารยักษ์ร้ายจบสิ้นลง ชาวเมืองเรียนที่รู้ที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เรียนรู้ถึงความสามัคคีที่จะทำให้ดาวเล็กๆแห่งนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง การร่วมมือร่วมใจกันในการปราบยักษ์ครั้งนี้ทำให้ชาวเมืองมีความรักที่แน่นเฟ้นให้แก่กันมากยิ่งขึ้น

            ชาวเมืองจัดงานฉลองกันอย่างครึกครื้น พวกเขาร้องรำทำเพลงด้วยความสนุกสนาน พลุหลายลูกถูกจุดลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แล้วแตกกระจายเป็นรูปร่างสวยงามแปลกตา อันโตนิโอได้แต่คิดว่าเขาไม่เคยเห็นพลุที่สวยงามเท่านี้มาก่อนเลย ตลอดทั้งคืนเสียงเพลงยังคงดังกึกก้องไปทั่วดาวดวงน้อย ความสุข ความรื่นรมย์ และความหวังเข้ามาอยู่ในหัวใจของชาวไซเทนเรียบร้อยแล้ว

อาสาสมัครใจกล้าทั้งหลายถูกจารึกให้เป็นวีรบุรุษและวีรสตรี ไม่เว้นแม้แต่ เซ็กตัน ทิมมี่และอันโตนิโอ

            เซ็กตันออกจะประหม่าอยู่บ้างเมื่อเดินไปไหนมาไหนจะมีคนร้องตะโกนทักเขาตลอดทาง ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่ทุกคนแทบจะหลบหน้าเขา หรือไม่ก็จะทำหน้าบูดบึ้งใส่ บางคนก็เบ้ปากใส่อย่างเกลียดชัง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เขากลายเป็นฮีโร่ของชาวเมือง เขาจึงต้องแวะทักทายผู้คนตลอดทาง

“คุณเซ็กตันไปไหนเหรอครับ คืนนี้จะกรุณาแวะทานข้าวที่บ้านผมไหมครับ ผมทำอาหารพิเศษเพื่อเลี้ยงคุณโดยเฉพาะเลยนะครับ คุณเป็นฮีโร่ในใจผมเลยครับ” เสียงนอบน้อมจากชายเจ้าของร้านขายอุปกรณ์การเกษตรร้องทักเซ็กตัน เมื่อเห็นเขาเดินผ่าน เซ็กตันไม่แน่ใจว่าชายคนนี้ทำดีด้วยเพราะเห็นว่าเขามีปืนหรือเปล่า แต่เซ็กตันก็ตกลงแวะทานข้าวที่บ้านเขาจนอิ่มหนำสำราญ

“คุณเซ็กตันคะ วันนี้ฉันทำสตูเนื้อสูตรพิเศษมาเผื่อคุณด้วยคะ”หญิงสาวัยกลางคน วิ่งเอากล่องข้าวที่จัดเตรียมไว้อย่างน่ารักยื่นให้เซ็กตัน เธอส่งยิ้มหวานให้เขา

เซ็กตันทำตัวไม่ถูกได้แต่รีบรับของแล้วรีบเดินจากไปด้วยความขัดเขิน ตลอดทางทุกคนต่างโบกไม้โบกมือให้เขาด้วยความเป็นมิตร กว่าจะกลับถึงบ้านแต่ละทีก็เล่นเอาเซ็กตันเหนื่อยกับการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับชาวเมือง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่เขาปลื้มอกปลื้มใจต้องกลับมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่บ้านลำพัง

            สถานการณ์ของทิมมี่ก็ไม่ต่างอะไรกับเซ็กตันมากมายนัก ทิมมี่ได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะไปที่ไหนทุกคนจะเชิญทิมมี่ให้เข้าไปรับประทานอาหารด้วยหรือเข้าไปนั่งเล่นในบ้านกับลูกๆของพวกเขา ทิมมี่กลายเป็นฮีโร่ของเด็กๆไปโดยปริยาย
            ไม่เว้นแม้แต่จอร์นผู้เกลียดชังทิมมี่เป็นที่สุดยังแอบส่งยิ้มให้ทิมมี่หลายครั้ง บางครั้งก็วิ่งมาจับมือทิมมี่เขย่าทีสองทีแล้วก็วิ่งหายไป ชาวเมืองทุกคนเริ่มเรียนรู้ที่จะรักเด็กน้อยกำพร้าผู้นี้อย่างหมดหัวใจ

“หนูน้อยทิมมี่ ฉันมีเสื้อตัวใหม่มาให้เธอ ลองใส่ดูนะเสื้อตัวนี้ฉันเย็บมันเองกับมือเลย” หญิงชราวัยหกสิบยื่นเสื้อตัวใหม่เยี่ยมให้ทิมมี่
ทิมมี่รับเสื้อนั่นมาอย่างาซาบซึ้ง เขาพยายามข่มน้ำบ่อน้อยที่อยู่ใต้ตาไม่ให้ไหลออกมา ตลอดชีวิตเขาไม่เคยได้สวมใส่เสื้อผ้าตัวใหม่เลย เขาไม่เคยรู้เลยว่าเสื้อผ้าตัวใหม่เป็นอย่างไร  เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ในตอนนี้เป็นผ้าที่เขาเก็บมันมาจากถังขยะ บางตัวเขาก็ต้องใช้เศษผ้าหลายๆชิ้นเย็บรวมกันให้เป็นชุดที่เขาพอสวมใส่ได้

“ขอบคุณมากครับคุณนายกินเบิร์ต” ทิมมี่กล่าวขอบคุณหญิงชราพร้อมกับน้ำใสๆที่ไหลลงอาบแก้มสุดจะห้ามได้
หญิงชราดึงทิมมี่เข้ามาสวมกอดไว้แน่น
“ฉันไม่เคย ไม่เคยเลยที่จะคิดช่วยเหลือเด็กน้อยอย่างเธอ” หญิงชราพูดกับเขา น้ำเสียงเธอสั่นคลอ เธอรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เด็กกำพร้าใช้ชีวิตอย่างลำพังมายาวนาน โดยที่เธอไม่คิดจะหยิบยื่นความช่วยเหลือไปให้เด็กน้อยผู้ยากไร้คนนี้เลย
“ฉันขอโทษนะทิมมี่ที่ปล่อยให้เธอใช้ชิวิตอย่างโดดเดี่ยวบนดาวดวงนี้” หญิงชราหันมาสบตาทิมมี่แล้วพูดอย่างผ่าเบา
“ไม่เป็นไรฮะ ผมเข้าใจ” ทิมมี่บอกหญิงชราด้วยความตื้นตัน และทิมมี่อดนึกสงสัยถึงรอยกอดของพ่อกับแม่ว่าจะเหมือนกับหญิงชราคนนี้หรือเปล่า  
             พ่อกับแม่จะรู้ไหมว่าเขามีชีวิตที่ยากลำบากเพียงใด นึกๆแล้วทิมมี่ก็ต้องแอบปาดน้ำตาตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่หญิงจะพาเขาไปอาบน้ำแล้วพลัดเปลี่ยนชุดใหม่

             อันโตนิโอกลายเป็นจุดสนใจของคนที่นี้ ผู้คนต่างเข้ามารุมล้อมเขาเป็นจุดเดียว ราวกับว่าเขาเป็นดารายิ่งผู้ใหญ่ที่ใครๆก็ต่างอยากเข้าใกล้ เด็กน้อยหลายคนถือกล้องมาขอถ่ายรูปกับเขา บางคนขอลายเซ็นเก็บเป็นที่ระลึก บางคนกระโดดกอดเขา หอมแก้ม หรือแม้แต่จุ๊บไปที่ปากของเขาอย่างชื่นชม  อันโตนิโอประหม่าอย่างบอกไม่ถูก เขาเดินทางไปทั่วจักรวาลพบปะผู้คนก็มากมายแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะได้รับการชื่นชมและต้อนรับมากมายล้นหลามขนาดนี้

“คืนนี้คุณจะเล่าเรื่องอะไรให้พวกเราฟังฮะ” เด็กน้อยวัยเจ็ดขวบ นั่งอยู่ด้านหน้าสุดถามอันโตนิโออย่างตื่นเต้นดีใจ อันโตนิโอยื่นมือไปขยี้ผมเด็กน้อยเล่นด้วยความเอ็นดู
“ฉันจะเล่าเรื่อง ดินแดนแห่งดอกไม้ มีใครสนใจอยากฟังไหมน่า”  อันโตนิโอบอกกับเด็กๆและผู้ปกครองของเด็กน้อยที่นั่งรอฟังอยู่ด้วย
“ฟังค่ะ/ครับ” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน น้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“หนูชอบดอกไม้ค่ะ มันสวยมากเลย แต่หนูไม่เคยเห็นมันจริงๆหรอกนะคะ หนูดูจากรูปถ่าย” เด็กหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆแม่พูดขึ้นมา น้ำเสียงแสดงความรอบรู้แต่แฝงไปด้วยความผิดหวังเล็กๆที่เขาเองเกิดมายังไม่เคยได้เห็นดอกไม้ของจริงเลย

“ใช่จ้ะ มันหอมสวยงาม และสีของมันก็สดใสน่ามองมากเลยจ้ะ มันมีหลากสีสันทั้งสีแดง ชมพูเหลือง เขียว ส้ม ฟ้า ขาว น้ำเงิน สีทองก็มีนะจ้ะ โอ๊ย..ฉันว่ามันเยอะมากจนฉันเองก็จำได้ไม่หมด ฉันมีรูปถ่ายดอกไม้เก็บไว้ที่ยานด้วยล่ะ ไว้ฉันจะเอามาให้หนูดูนะฉันอาจฝากรูปถ่ายสวยๆไว้ให้หนูซักใบ หนูอยากได้ไหมจ้ะ” อันโตนิโอพูดกับเด็กหญิง เด็กหญิงนั่งอมยิ้มด้วยความดีใจพลางพยักหน้ารับอย่างตื่นเต้น
  
           อันโตนิโอพูดต่อด้วยความงุนงงสงสัย เพราะตั้งแต่ที่เขามาอยู่ที่ดาวดวงนี้เป็นเวลาสองวัน เขายังไม่เห็นมีดอกไม้ซักต้นเลย มันน่าแปลกมากจนเขาอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“แล้วทำไมที่นี้ไม่มีดอกไม้เลยล่ะ ผู้คนที่นี้เขาไม่ปลูกดอกไม้กันหรือ” อันโตนิโอหันไปถามแม่ของเด็กหญิงที่นิ่งฟังอย่างตั้งใจ อันโตนิโอจับได้ถึงแววตาที่เธอแสดงออกถึงความสนอกสนใจเป็นยิ่งนัก

“มันปลูกไม่ได้คะ ฉันลองปลูกมาหลายครั้งแล้วแต่ก็มันไม่เจริญงอกงามเลย มันเน่าตายในที่สุดฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ ทั้งๆที่นี้ก็ปลูกพืชได้เกือบจะทุกชนิดแต่กลับไม่สามารถปลูกดอกไม้ได้เลย” แม่ของเด็กหญิงตอบ อันโตนิโอพยักหน้ารับฟังอย่างเข้าใจใบหน้าแสดงถึงความเห็นใจ
“ฉันอยากปลูกดอกไม้ขาย ลูกสาวฉันก็ชอบดอกไม้คะ ฉันคิดว่าบางทีฉันอาจจะเอาดอกไม้มาทำเป็นน้ำหอมส่งไปขายที่เมืองอื่นคงดีไม่น้อย” แม่ของเด็กหญิงเล่าต่อแววตาของเธอเต็มไปด้วยความหวังและมีความสุขเมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอวาดฝันไว้

“มันต้องมีคนมาช่วยตรวจสอบ สำรวจและวิจัยดูว่ามีอะไรที่เป็นปัจจัยทำให้ดอกไม้ไม่สามารถเติบโตในเมืองนี้ คุณลองขอความช่วยเหลือไปยังนักพฤกษศาสตร์แห่งสหพันธ์อวกาศหรือยังครับ บางทีพวกเขาอาจรู้วิธีการที่จะทำให้ดอกไม้ปลูกได้ หรือหาสาเหตุที่ไม่สามารถปลูกดอกไม้ได้” อันโตนิโอแนะนำ แม่ของเด็กหญิง

เธอระบายลมหายใจออกอย่างเบื่อหน่ายก่อนพูดออกไป

“ฉันเขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือจากสำนักงานพฤกษศาสตร์แห่งสหพันธ์อวกาศแล้วคะ แต่พวกเขาไม่สนใจไม่คิดที่จะมาช่วยเลยคะ พวกเขาเขียนจดหมายตอบกลับมาว่า พวกเขาไม่มีนักพฤกษศาสตร์มากมายพอที่จะมาช่วยได้ ทุกคนต่างมีงานล้นมือ ไม่มีใครว่างมาทำเรื่องไร้สาระที่ไม่มีค่าตอบแทนหรอกค่ะ” เธอบอกอันโตนิโอด้วยน้ำเสียงดุดัน เคลือบแฝงไปด้วยความเกลียดชังสหพันธ์

“ผมมีเพื่อนเป็นนักพฤกษศาสตร์อยู่คนหนึ่ง เขาทำงานเพื่อนสังคมไม่หวังค่าตอบแทน ผมจะแนะนำเขาให้มาช่วยหาสาเหตุที่ไม่สามารถปลูกดอกไม้ให้เจริญงอกงามได้ ผมว่าเขาต้องรีบมาแน่ๆเลยครับ เขาเป็นคนที่ทำงานไม่รู้จักหยุดพักเลย เขาคงตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุดหากผมเล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง” อันโตนิโอบอกหญิงสาวเมื่อนึกหาทางช่วยเหลือได้

หญิงสาวมีท่าทางดีอกดีใจเป็นปลื้มที่สุดเมื่อเรื่องราวของเธอมีคนใส่ใจและเสนอทางช่วยเหลือมาให้แก่เธอ

“ขอบคุณมากค่ะ คุณอันโตนิโอ ฉันซาบซึ้งในน้ำใจของคุณมากเลยคะ” เธอตอบน้ำเสียงสั่นคลอ เด็กๆที่นั่งฟังอยู่ต่างอมยิ้มดีใจไปตามๆกัน

            เรื่องราวของ ฮัน อันโตนิโอถูกเล่าขานในดาวดวงนี้เป็นเวลาเนิ่นนาน ชาวเมืองจารึกให้เขาเป็นบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์แก่ไซเทน นำพาสิ่งสวยงามที่เรียกว่าดอกไม้มาสู่เมืองนี้จากการแนะนำนักพฤกษศาสตร์ใจบุญที่สุดมาช่วยพวกเขา เมืองไซเทนที่จืดชืดกลับกลายเป็นเมืองที่สดใสหอมหวนอบอวลไปด้วยกลิ่นของดอกไม้นานาพันธุ์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่